เวลาต่อมา...
“ดูสิ เป็นสาวเป็นนาง ทำไมไม่รู้จักระมัดระวังตัวบ้างเลย”
เสียงของแม่บ่นดังขึ้นภายในห้องรับแขก ทันทีเมื่อท่านเห็นหน้าลูกสาวของตัวเองเข้ามานั่งหน้าจ๋อยอยู่บนโซฟาภายในบ้าน และหลังได้เห็นรอบบุบหน้ารถที่ดูคล้ายกับเพิ่งผ่านการพุ่งชนอะไรมาอย่างรุนแรง
“แล้วนี่ต้องเสียค่าซ่อมรถอีกเท่าไหร่ล่ะเนี่ยลูก?”
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ คงต้องรอให้ช่างมาเอารถไปก่อน...ว่าแต่แม่เถอะ...” ฉันจงใจเว้นเสียงพูดของตัวเองลงครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจโผเข้าสวมกอดหญิงวัยกลางคนข้างกายด้วยความคิดถึง พร้อมกันนั้นปากก็เริ่มขยับ “คิดถึงหนูบ้างไหมคะ...”
“อะไรกันลูกคนนี้...ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ” แต่ดูเหมือนว่าการออดอ้อนของฉันจะไม่ได้ช่วยให้แม่หยุดบ่นลงได้
ครั้นจะเล่าให้ท่านว่า ความจริงแล้วฉันไม่ได้เอารถไปประสบอุบัติเหตุที่ไหนมาหรอก แต่ขับชนยักษ์ เชื่อได้เลยว่าแม่คงคิดว่าลูกสาวตัวเองทำงานหนักจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ดูสิ ข่าวพูดถึงลูกทุกวัน ทั้งเรื่องงาน เรื่องผู้ชาย แม่ไม่สบายใจเลยรู้ไหม ดูสิแต่งตัวอะไรมาเนี่ยทำไมโป๊นักล่ะ?”
และนี่คงเป็นข้อเสียอีกเรื่องของการเป็นคนที่มีชื่อเสียง จริงอยู่ที่ฉันไม่สนใจหรอกว่าใครจะพูดถึงตัวเองไม่ดีไว้ว่าอย่างไร แต่นั้นก็ไม่ได้รวมถึงคนที่อยู่ข้างหลังอย่างแม่ที่ต้องมานั่งเสพข่าวไม่ดีของลูกสาวตัวเองแบบนี้
“แล้วเรื่องที่เขาพูดกันว่าหนูกำลังคบหากับลูกชายอธิบดีกรมศิลป์น่ะ มันเรื่องจริงหรือเปล่า?”
“แม่พูดเรื่องอะไรคะ เมไม่เห็นรู้เรื่องเลย?” เพราะไม่ค่อยชอบเปิดโทรทัศน์ดูข่าว เพราะเดาได้ว่าในบรรดาข่าวสายบันเทิงน่ะ มันคงต้องมีสักเรื่องบ้างแหละที่เกี่ยวกับฉัน การที่ได้ฟังแม่ถามอะไรแบบนี้ เลยทำให้คนฟังรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
“เอ้า ก็ข่าวเมื่อคืนไง ที่บอกว่าลูกกำลังปลูกต้นรักกับคุณเรนทร์ลูกชายอธิบดีกรมศิลป์ สรุปแล้วมันจริงหรือเปล่า” คราวนี้สีหน้าแม่ตอนพูดฟังดูจริงจังกว่าตอนแรกมากนัก และการที่แม่แสดงสีหน้าให้เห็นเช่นนั้นประกอบกับสิ่งที่ท่านพูดออก มันพอทำให้ฉันรู้ได้ทันที ว่าข่าวบ้าๆ พวกนั้นเกิดขึ้นได้ยังไงหากไม่ใช่ฝีมือไอ้ณภัทร
“แม่ก็อย่าไปเชื่อข่าวที่ออกมากสิคะ นักข่าวเลวๆสมัยนี้มันมีเยอะ…โอ๊ย!” ทั้งที่พยายามบอกแม่ให้เข้าใจ แต่ว่าเสียงที่บอกกลับกลายเป็นเสียงหวีดร้องเมื่อหญิงวัยกลางคนบรรจงตีลงมาบริเวณต้นแขนฉันอย่างเต็มแรงและต่อว่า
“ยังจะมาไขสืออีก แล้วผู้ชายที่นั่งรถมากับลูกเมื่อกี้ล่ะ ไม่ใช่คุณเรนทร์หรือไง?”
“มะ แม่พูดอะไร หนูมาคนเดียว” ซึ่งสิ่งที่แม่พูดออกมานั้นก็ทำเอาคนฟังช็อกไปนิดหน่อย
“มาคนเดียวอะไร แม่เห็นมากันตั้งสามคน” ท่านเถียงซ้ำร้ายยังถาม “แล้วนี่พวกเขาไปไหนกันแล้วล่ะ?”
“หนะ หนูไม่คุยกับแม่แล้ว พูดอะไรก็ไม่รู้น่ากลัว” เพราะเถียงหรือพูดความจริงให้อีกฝ่ายฟังไม่ได้ สิ่งที่ฉันเลือกทำตอนนี้จึงเป็นการลุกพรวดพราดออกจากโซฟาเพื่อหลบหนี
มันก็อย่างที่แม่พูดนั่นแหละ นับตั้งแต่เกิดเรื่องไม่คาดฝันภายในซอยจนได้พบกับยักษ์อีกตนมาปรากฏกายให้เห็น สิ่งที่ฉันทำหลังจากนั้นคือการแบกอาการช็อกนิดๆขับรถที่มีรอยยุบตรงดิ่งมายังบ้านของแม่ โดยมียักษ์สองตนโดยสารมาด้วย แต่พอขับรถเข้ามาในบ้านยักษ์ทั้งสองตนก็อันตรธานหายตัวไป
ซึ่งมันก็น่าแปลกนะที่แม่ดันเห็นพวกเขาทั้งสองคนได้แบบนี้...
“แล้วนี่ลูกจะเดินไปไหนน่ะเมรี!?” อีกหนที่เสียงของแม่เอ่ยดังขึ้นไล่หลัง เมื่อเห็นฉันเร่งเท้าเดินห่างออกไป
“หนูจะแวะไปหาทับทิมค่ะแม่” และใช่ค่ะ นอกจากเป้าหมายในวันพักผ่อนวันนี้จะเป็นการกลับมาหาแม่ที่บ้านแล้ว คนที่ฉันอยากพบหน้าไม่แพ้กับแม่ของตัวเองคือทับทิม ซึ่งระยะห่างระหว่างบ้านฉันกับทับทิมนั้นไม่ได้ไกลกันเลย เพราะอยู่กันคนละฝั่งเพียงกำแพงกั้นเท่านั้น
ทันทีที่เดินพ้นเขตรั้วบ้านของตัวเองออกมา สิ่งที่รอคอยอยู่นอกรั้วบ้านคือร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มตัวสูง กำลังยืนกอดอกด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ พอเขาเหลือบตามาเจอฉันซึ่งเดินเปิดประตูรั้วบ้านออกมา ก็เริ่มโวยวายคล้ายกับคอยท่าที่จะทำแบบนี้มาสักพักแล้ว
“เจ้าจงใจกลั่นแกล้งเรารึ!?”
“อะ อะไร!?” เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะสื่ออะไร หรือเพียงแค่หาเรื่องกันเฉยๆ ฉันจึงไม่รอช้าที่จะต่อปากต่อคำกลับไป
“ใยเจ้าจึงไม่วอนขอภูมิเทวดาให้เราเข้าเยี่ยมเยือนเรือนหลังนี้!” ถ้าจับใจความไม่ผิดรู้สึกว่า เขาจะเข้ามาในบ้านฉันไม่ได้เพราะพระภูมิเจ้าที่ซึ่งคอยปกปักรักษาบ้านล่ะมั้ง พอเข้าใจไปในทางนั้นฉันจึงถาม
“ทะ ทำไมฉันต้องขอด้วยล่ะ ในเมื่อที่คอนโดท่านยังไปไหนมาไหนตามใจชอบได้เลย”
ความเชื่อของคนไทยของการตั้งศาลพระภูมิและศาลตายายน่ะ ก็เพื่อให้ท่านปกปักรักษาความสงบสุขของคนในบ้านรวมถึงทุกพื้นที่ของบริเวณบ้านให้ปลอดภัยและร่มเย็น ป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายต่างๆย่างกรายเข้ามาภายในพื้นที่ของบ้าน
นั่นเลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยักษ์อย่างเขาไม่สามารถเข้ามาได้ล่ะมั้ง หากเจ้าของบ้านไม่อนุญาต
“ภูมิเทวดาอนุญาตเรา แต่ตายายท่านไม่อนุญาต!” ท้าวอสุเรนทร์เงียบลงเล็กน้อยพลางตวัดหางตามองไปยังศาลหลังเล็กข้างศาลพระภูมิใหญ่ภายในบ้าน คล้ายกับว่าเขากำลังมองใครอยู่ จากนั้นก็คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดคล้ายกับจะต่อว่าสิ่งที่เขากำลังพูดถึง “เรามิได้คิดประสงค์ร้าย เหตุใดท่านตา ท่านยายจึงใช้ไม้ตะพดทุบตีเราเช่นนี้เล่า!!”
พอเห็นคนตัวสูงกำลังหัวเสียใส่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคอยปกป้องดูแลบ้านแม่ฉันแบบนี้ มันก็หลุดยิ้มอย่างนึกตลกไม่ได้ และการที่เขาหันไปโวยวายแบบนั้น มันเลยทำให้ฉันสังเกตเห็นรอยช้ำแดงๆบริเวณหางคิ้วซึ่งดูคล้ายกับถูกทุบตีอย่างที่ท้าวอสุเรนทร์กล่าวไว้จริงๆ
“โอ๋เอ๋ๆ ไหนท่านเจ็บตรงไหน?” เห็นดังนั้นฉันจึงแสร้งทำเสียงปลอบประโลมแบบเด็ก พร้อมกันนั้นก็ถือวิสาสะเอื้อมมือแตะรอยจ้ำแดงบริเวณหางคิ้วอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ที่ทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะอยากจะลามปาม แต่อยากจะบรรเทาอาการเกรี้ยวกราดของอีกฝ่ายลงต่างหาก ทว่า
ฟึ่บ!
ก่อนที่ปลายนิ้วจะทันได้สัมผัสลงบริเวณรอยช้ำ คนตัวใหญ่ซึ่งไวกว่าก็รีบพุ่งคว้าข้อมือฉันเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่นัยน์ตาคมเหลียวกลับมาสบสายตาแบบตรงๆ
ภาพรอบกายของเราทั้งคู่ก็เริ่มเกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสภาพแวดล้อมภายในซอยหมู่บ้านที่พักอาศัยเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นพื้นที่ป่า มีต้นไม้แปลกขึ้นสูงปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่พร้อมด้วยเสียงที่ลอดผ่านจากปากของฉันเอง
‘ท่านท้าวระบมแผลมากหรือเปล่าขอรับ...’ ทั้งที่ปากฉันขยับแท้ๆ หากแต่เสียงที่ผ่านออกมาให้ได้ยินนั้น กลับเป็นเสียงของผู้อื่น ‘ให้กระหม่อมดูบาดแผลเถิดนะขอรับท่านท้าว’
‘เรามิเป็นอะไรมาก มิต้องเป็นห่วงไปใยกุมภัณฑ์’ หูได้ยินเสียงของท้าวอสุเรนทร์ตอบกลับคำพูดประโยคดังกล่าว มือของเขากำลังจับข้อมือฉันในสภาพของยักษ์กุมภัณฑ์ขณะจะเอื้อมมือแตะบริเวณบาดแผลบนดวงหน้าของคนตัวใหญ่ และแล้วมันก็เป็นฉันเองอีกนั่นแหละที่ต้องสะดุ้งเมื่อท้าวอสุเรนทร์เอ่ยปากถาม
‘แล้วมึงเล่า ปวดเนื้อกายส่วนใดหรือไม่...’ ก่อนต้องเบิกตากว้างเมื่อร่างสูงใหญ่ตรงหน้าลดมือฉันลงแล้วใช้ปลายนิ้วของตัวเองเอื้อมเช็ดบางอย่างบริเวณใต้ตาออกให้อย่างไม่ถือตัว
แต่แล้วภาพเหตุการณ์แปลกราวกับกำลังทบทวนความทรงจำในอดีตชาติเก่าก็ค่อยเจือจางหายไปอย่างช้าๆคล้ายกับกลุ่มควัน เหลือเพียงภาพที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาปัจจุบัน โดยที่ตรงหน้ามีร่างสูงของยักษ์หนุ่มตนเดิมยืนอยู่
เขาลดมือฉันที่พยายามเอื้อมสัมผัสบาดแผลลง ไม่ต่างไปจากในภาพนิมิตมโนเมื่อครู่ อีกทั้งยังกระทำสิ่งเดียวกันด้วยการใช้หัวแม่โป้งมือแตะลงมายังบริเวณใต้ตาราวกับต้องการจะตอกย้ำว่าภาพที่เห็นเมื่อครู่คือเรื่องที่เคยขึ้นระหว่างเรามาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่า การกระทำดังกล่าวก็มีอันต้องหยุดชะงักลง เพราะเสียงเรียกของใครอีกคนที่ฉันตั้งใจจะมาหานั่นล่ะ
“อ้าว! เมรี!” เสียงเรียกของทับทิมทำเราทั้งคู่สะดุ้งรีบผละตัวห่างกันคล้ายกับว่ากลัวใครจะเห็น ส่วนฉันก็รีบหันขวับมองไปยังเจ้าของเสียงแบบคนทำหน้าไม่ถูก “มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียวอ่ะ เข้ามาก่อนสิ”
ทับทิมไม่ใช่แค่พูด แต่ยังรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาเปิดประตูรั้วบ้านตัวเองให้เพื่อต้อนรับ
“ลมอะไรพาแกกลับมาได้เนี่ย...” ทับทิมถามพลางใช้มือเกาะแขนฉันด้วยท่าทางดีอกดีใจ และนี่ก็เป็นนิสัยจริงของทับทิมยามเธออยู่นอกเวลางาน
“ฉะ ฉันมีเรื่องอะไรอยากรบกวนเธอหน่อยน่ะ”
“อ้าวเหรอ งั้นเข้าไปนั่งคุยกันข้างในก่อนสิ...”