“อย่าห่วงไปใยนารีแสนเขลา
เรามิมีวันพลอดรักกับศัตรูให้เสียชาติเกิดดอก...”
เขาทิ้งคำพูดไว้เพียงแค่นั้นพร้อมเสียงหัวเราะเยาะน่ากลัวๆเหมือนพวกยักษ์ในละครพื้นบ้าน ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้วี่แววใดๆ อีกหลังจากนั้น ที่ลุกโชนอยู่ในยามนี้ก็คงมีเพียงไฟแค้นเท่านั้นที่ลุกโหมท่วมหัวเพราะการแกล้งคืนอันแสนแยบยลที่ยักษ์หนุ่มตนนั้นกระทำใส่
คอยดูเถอะท่านท้าวอสุเรนทร์ เดี๋ยวเราจะได้เห็นดีกัน!
วันต่อมา...
เวลา ๑๑.๑๗ นาฬิกา
วันนี้ฉันไม่ได้มีนัดกับคนในกองถ่าย เพราะการถ่ายทำวันนี้ไม่ได้มีคิวงานของฉันถูกลงบันทึกไว้ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันว่างวันหนึ่งในแบบที่นางเอกสาวเบอร์หนึ่งอย่างฉันควรได้รับ
[เม! วันนี้ก็ยังทันนะ รับงานเถอะ ถ่ายแบบแป๊บเดียวเองเดี๋ยวก็จบแล้ว] แม้ว่าการพักผ่อนจะถูกเสียงของผู้จัดการอย่างเจ๊ขวัญคร่ำครวญผ่านสายให้รู้สึกรำคาญใจนิดหน่อยก็ตาม
“ไม่ได้ค่ะ วันนี้เมมีนัดแล้ว” ฉันบอกเธอผ่านโทรศัพท์โดยใช้หูฟังในการพูดโต้ตอบ โดยที่มือสองข้างยังประคองพวงมาลัยขับรถไปบนถนนใหญ่อย่างมีเป้าหมาย “เมเคยบอกแล้วนี่คะ ว่าไม่รับงานเร่งด่วน อยากให้เมถ่ายจริงๆทำไมผู้จัดการเขาถึงไม่ติดต่อมาตั้งแต่เนิ่นๆล่ะ”
[โธ่เม! นิตยสารของที่นี่ขายดีจะตาย ทีมงานของเขาอาจจะวุ่นๆก็ได้ น่านะ...มาเถอะ]
“ไม่ค่ะ เมไม่ไป! เจ๊ขวัญบอกแคลเซินคนพวกนั้นไปเลยนะคะ...ถ้ายังไงเมขอขับรถก่อนนะคะ”
[ดะ เดี๋ยวสิเม…ตู๊ดดด] ฉันไม่ได้รอฟังเสียงโอดครวญของผู้จัดการส่วนตัวจนจบ แต่เลือกตัดสายเธอทิ้งไปเสียอย่างงั้น เพื่อใช้สมาธิทั้งหมดที่มีในการขับรถพาตัวเองไปให้ถึงที่หมาย
ตั้งแต่เมื่อคืนที่ท้าวอสุเรนทร์กลั่นแกล้งฉันคืนได้เป็นผลสำเร็จ เขาก็หายตัวไปไม่ปรากฏร่อยรองการกลับมาให้พบเห็นในรูปแบบใด ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ กลิ่น หรือเสียง แม้ว่าการหายตัวไปจะทำให้เขาดูบกพร่องหน้าที่ของเจ้ากรรมนายเวรที่ดีก็ตาม แต่ฉันคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเขาหายไปแล้วไม่หวนกลับมาอีก
นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าวันพักผ่อนอันแสนสดใส!
“ไชโย!” พอรู้สึกดีใจขึ้นมา มันก็อดส่งเสียงร้องออกมาอย่างคนมีความสุขไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าความสุขนั้นมักจะอยู่กับคนเราได้ไม่นาน เพราะเมื่อสิ้นเสียงร้องด้วยความดีอกดีใจ ภายในรถซึ่งเคยเงียบไร้ซึ่งเสียงรบกวนก็เริ่มปรากฏเงาของเจ้ากรรมนายเวรให้รู้สึก
“เจ้าโห่ร้องด้วยเพราะสาเหตุอันใดรึ?” หน้าฉันเหมือนถูกตั้งบังคับให้หันขวับไปยังเจ้าของคำถามทันทีด้วยความตกใจ ก่อนภาพที่เห็นจะเปลี่ยนแปลงรอยยิ้มบนใบหน้าให้กลายเป็นบึ้งตึง
“นึกถึงนิดหน่อยก็โผล่มาเชียว ตายยากจังเลยนะคะท่านเนี่ย...”
“ชีวีเราเคยหาได้เคยวอดวายไม่ หากแต่เราก็ใช่จะคงกระพัน”
จ้าพ่อคนไม่เคยตาย นอกจากจะไม่เคยตายแล้ว ยังกวนช่วงล่างเก่งซะด้วย!
“แล้วนี่เจ้าจักเดินทางไปแห่งหนใดงั้นรึ?” อีกหนที่ท้าวอสุเรนทร์เอ่ยถามขึ้น เมื่อฉันลดละความสนใจกับการปรากฏตัวของเขามายังพื้นถนนใหญ่ตรงหน้า
“เรือนของสหายฉันเองอ่ะ” คราวนี้ฉันจงใจตอบโดยพยายามคงสำเนียงการเลียนแบบเขากลับไปบ้าง แต่ก็น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ยักจะโวยวายหรือต่อว่าใดด้วยคำพูดแปลกๆ
การที่เป็นเช่นนั้นจึงทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะลอบมองเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายเพื่อดูทีท่า ก่อนพบว่า ท้าวอสุเรนทร์ยามนี้ก็ดูไม่ได้สนใจฉันเช่นกัน แต่เขาเลือกที่จะเบนสายตามองออกไปทางนอกกระจกรถมากกว่า
ทำไมวันนี้ดูเรียบร้อยผิดปกติ ไม่เห็นปากคอเลาะร้ายเหมือนทุกที
แปลกแฮะ...
แต่ไม่ได้ ฉันไว้ใจเขาไม่ได้ ยังไงเสีย แค้นนี้มันต้องได้รับการชำระอยู่ดี!
หลังจากนั้น ฉันก็ใช้เวลาขับรถอยู่บนถนนอยู่เกือบสามสิบนาที ท่ามกลางความเงียบสงบไร้การก่อกวนหรือเสียงพูดคุยกวนใจของเจ้ากรรมนายเวร ก่อนจะพาตัวเลี้ยวรถเข้ามายังซอยเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งนี่มันก็นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้แวะกลับมาที่ซอยเล็กซอยนี้ และใช่ค่ะ ที่นี่คือซอยบ้านของพ่อกับแม่ฉันเอง
เพราะไม่ได้กลับมานาน ฉันจึงขับรถเรื่อยๆไปตามถนนเส้นเล็กๆแบบไม่คิดอะไร ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อชมวิวทิวทัศน์โดยรอบ ที่ไม่ได้เห็นมาสักพักใหญ่นับตั้งแต่มีงานเข้ามาล้นมือจนคิวงานแน่นเอี้ยดทุกวัน อีกทั้งภายในซอยเล็กๆแห่งนี้ ยังมีบ้านของทับทิมและไวเกลอยู่ใกล้ๆ กันอีกด้วย
ทว่า ทั้งที่กำลังชื่นชมบรรยากาศเก่าๆ ภายในซอยบ้าน จู่ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อวินาทีที่ฉันละสายตาจากขอบข้างทางกลับมายังเส้นถนนเบื้องหน้า ที่ตรงนั้นกลับมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ กว่าจะหันไปเห็นและทันได้เหยียบเบรค รถที่ขับมาด้วยความเร็วพอประมาณก็พุ่งเข้าชนผู้ชายคนดังกล่าวอย่างเต็มแรง
เอี๊ยดดดด! โครมมม!
ฉันเบิกตากว้างด้วยอาการตกใจอย่างขีดสุด แม้ว่ารถทั้งคันจะนิ่งสนิทเพราะการเหยียบเบรกในช่วงหลังก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นการขับรถชนใครสักคนจังๆแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนขับเป็นคนที่มีชื่อเสียง แม้จะช็อกและตกใจ ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูลงจากรถด้วยอาการเรียบร้อน
“คุณคะ! เป็นอะไรหรือเปล่า!?” แต่ว่าทันทีที่วิ่งมาบริเวณหน้ารถเพื่อดูอาการคนเจ็บ ฉันกลับต้องเจอสิ่งที่ช็อกยิ่งกว่า เมื่อร่างคนเจ็บซึ่งน่าจะนอนโอดครวญอยู่บนพื้นถนนกลับหายไป!
หระ หรือว่าฉันจะขับรถทับเขาไปแล้ว!?
อาการสติแตกส่งผลให้ฉันรีบก้มมองดูใต้ท้องรถทันทีเพื่อหาร่างคนเจ็บ แต่ไม่ว่าจะก้มมอง ตะแคงคอมองหาชายคนดังกล่าวแค่ไหน ก็ดูจะไร้วี่แวว
พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอาจจะกำลังเผชิญกับสิ่งที่มองไม่เห็นนอกเหนือจากท้าวอสุเรนทร์ มือข้างถนัดก็รีบยกมือไหว้ท่วมหัวทันทีอย่างนึกหวาด
“เจ้าประคู๊ณณ ขอให้อย่ามีเจ้ากรรมนายเวรตัวใหม่โผล่ออกมาเลยนะ หนูสัญญาหนูจะพยายามแบ่งเวลาไปทำบุญให้!” โดยไม่ลืมบนบานวอนขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบตัวไปด้วย ทว่า
กึก...
“เจ้ากำลังกราบไหว้สิ่งใดรึ?” เสียงดังกล่าวคือเสียงของท้าวอสุเรนทร์ ฉันจำได้ดี ดังนั้นปฏิกิริยาตอบรับจึงตอบสนองคำถามดังกล่าวกลับไปอย่างรวดเร็ว รีบเหลียวหน้าเงยเพื่อให้คำตอบเขากลับไป
“เมื่อกี้ท่านไม่เห็นเหรอ ฉันขับรถชนอะไรก็ไม่รู้…” ยังไม่ทันได้พูดจนสิ้นเสียงดี คนที่ต้องอ้าปากค้างกลับกลายเป็นฉันเสียเอง
เมื่อที่ข้างกายเขามีใครอีกคนยืนขนาบข้างอยู่ด้วย เขาแต่งกายด้วยเครื่องทรงยักษ์สีนวลดูเข้ากันดีกับเครื่องประดับกายสีทอง ที่น่าตกก็คือฉันรู้สึกคับคล้ายคับคลาเหมือนว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนเสียด้วย
แล้วก็เหมือนว่าเขาน่าจะรู้ตัวว่าถูกฉันมอง ชายคนดังกล่าวจึงขยับยิ้มให้ด้วยท่าทางที่ดูใจดีและเป็นมิตร พร้อมกันนั้นก็เอ่ยปากขึ้นเหมือนรู้ทันความคิด
“เราคือคนที่เจ้าควบม้าเหล็กพุ่งปะทะใส่เมื่อครู่ แต่มิต้องกังวลไปใย เรามิเป็นไรมากดอก เป็นห่วงม้าเหล็กของเจ้าจักดีกว่า คงจักปวดระบมน่าดู...”
สิ้นเสียงบอกกล่าวอันน่าตกใจซึ่งมีสำเนียงการพูดจาเช่นเดียวกับท้าวอสุเรนทร์ สายตาฉันก็เหมือนถูกคำบอกเล่าดังกล่าวสั่งให้เบนไปยังไฟหน้ารถอีกฝั่งทันทีก่อนพบกับรอยบุบขนาดใหญ่เหมือนกับว่าเพิ่งผ่านการชนกระแทกอะไรแรงๆ มาสักอย่าง
หนะ นี่อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนี้ก็เป็น...
ยักษ์!