“แท้จริงแล้ว...การแตะต้องเรือนร่างนารีมันง่ายเพียงนี้เองรึ?”
นอกจากท้าวอสุเรนทร์จะใช้คำพูดบ้าๆนั่น ทำความรู้สึกฉันให้ตื่นตกใจแล้ว นัยน์ตาคมตรงหน้ายังถือวิสาสะไม่ต่างจากมือกวาดสำรวจไปทั่วไปใบหน้าในระยะใกล้อย่างฉวยโอกาสด้วยเช่นกัน
“ปล่อยฉันนะท่าน!” ฉันโวยวาย พลางใช้มือผลักอกคนตัวใหญ่ออก
แต่ดูเหมือนว่าแรงเพียงเท่านั้นจะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอะไรมากนัก ดูอย่างตอนที่ฉันเขวี้ยงกระเป๋าสะพายใส่หน้าเขาเมื่ออาทิตย์ก่อนสิ ยังไม่ทำให้คนตัวใหญ่แสดงอาการเจ็บปวดอะไรออกมาซ้ำร้ายยังยืนนิ่งเป็นหุ่น แรงผลักในตอนนี้ ก็คงไม่ต่างจากไปจากการสะกิดเบาๆ
เมื่อใช้แรงทำอะไรเขาไม่ได้ ปากที่มีจึงถูกใช้ให้เป็นประโยชน์
“ไหนท่านบอกไม่เคยแตะต้องผู้หญิงยังไงล่ะ ทำแบบนี้เขาเรียกฉวยโอกาสนะ!” บดริมฝีปากต่อว่าด้วยถ้อยคำที่พอจะนึกออกแต่ก็ไม่วายถูกอีกฝ่ายย้อนจนดูเหมือนการขุดหลุมฝังตัวเองเสียได้
“ก่อนหน้านี้ เจ้ายังทำกริยาเหมือนประสงค์เชื้อเชิญเราแตะเนื้อต้องกายอยู่เลยมิใช่รึ เหตุใดยามนี้ จึงร้องแรกแหกกระเชอเช่นนี้เล่า?”
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะท่าน!” และด้วยการถูกยอกย้อนจึงทำให้ฉันหมดคำที่จะโต้เถียง เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นแค่แกล้งเขาก็เถอะ จึงพยายามใช้แรงที่มีผลักอกเขาอีกครั้งโดยพยายามเลี่ยงที่จะมองสีหน้าเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย
ซึ่งผลที่ตามมาก็เหมือนเดิม คนตัวใหญ่ไม่สะทกสะท้านอะไร ซ้ำร้ายยังเอ่ยถาม
“ไหนถ้อยคำตอบที่เราถามเจ้าล่ะ?”
“คะ คำตอบอะไร!?”
“ภาพนิมิตอดีตชาติที่เจ้ายลยินมา ต้องประสงค์อยากให้เราเคียงคู่ร่วมชีวาเคียงคู่เจ้างั้นรึ?”
“โอ๊ยยท่าน! ฉันก็แกล้งพูดไปงั้นแหละ ใครจะไปกล้าคิดอกุศลแบบนั้นล่ะ บาปตายชัก!” แถค่ะ...คนยุคนี้เรียกคำพูดและกริยาเหล่านี้ของฉันว่าการแถเอาตัวรอด “ฉันก็แค่อยากจะแซวท่านแค่นั้นเอง ไม่ชอบก็บอกได้นะท่าน ฉันจะได้ไม่พูดแบบนั้นอีก อะ...”
ไม่รู้ว่าคนตัวใหญ่จะล่วงรู้ถึงคำลวงเพื่อหาทางพ้นผิดให้ตัวเองหรือเปล่า จู่ๆเขาก็เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสลงบริเวณข้างแก้มอย่างแผ่วเบา รับรู้ได้ถึงการเกร็งของฝ่ามือใหญ่ขณะที่เขาแตะลงมา แต่ก็แค่ชั่วเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เมื่อเขาใช้แรงนิดหน่อยจากฝ่ามือบังคับให้ฉันหันกลับไปมองหน้าเขาแบบตรงๆ
“เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยเช่นนั้นเล่า...เมรี?” อีกครั้งที่เสียงเข้มๆและคำถามของเขาทำฉันทั่วหน้าเห่อร้อนไปหมด นอกจากใบหน้าคมคายดูดีของเขาที่สายตามองเห็นจะเป็นหนึ่งในเหตุผลของอาการร้อนวูบทั่วใบหน้าแล้ว ชื่อที่เขาเอ่ยเรียกออกมานั่นก็ด้วย
ขะ เขาเรียกชื่อฉันงั้นเหรอ!?
“บางที...เราอาจจักโปรดการถูกเจ้าจับคู่ให้เช่นนี้ก็ได้..ไม่คิดเช่นนั้นเหมือนเรารึ?” ยิ่งได้ฟัง ทั่วหน้าก็ยิ่งเห่อร้อนไม่หยุด โดยเฉพาะกับหัวใจ ที่ตอนนี้เริ่มเต้นผิดจังหวะเกินการควบคุม ทุกอาการและทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ฉันต้องการจะหนีออกห่างโดยไวที่สุด
ตุบ!
“ปะ ปล่อยฉันนะท่าน!” อีกครั้งที่ฉันตัดสินใจทุบฝ่ามือทั้งสองข้างใส่อกของคนตัวใหญ่อย่างเต็มแรง ทว่า จังหวะที่ตั้งใจจะชักมือกลับมานั้นร่างกายก็คล้ายกับถูกแรงมหาศาลของสิ่งที่มองไม่เห็น กดตรึงให้ทาบลงบนอกกว้างของอีกฝ่ายอย่างแนบสนิท
สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ทำฉันตัดสินใจช้อนมองหน้าคนตัวใหญ่ทันทีอย่างไม่ชอบใจ ตรงกันข้ามกับคนตัวใหญ่ซึ่งกำลังหลุบตามองลงมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างร้ายกาจ
“ท่านเลิกทำแบบนี้สักที ฉันจะไปนอนแล้ว!” เห็นแล้วมันก็อดโวยวายออกมาเพื่อแก้อาการเขินให้ตัวเองไม่ได้
“ใยเจ้าจักต้องรีบร้อนเช่นนั้น เจ้าควรจักปรีดาไม่ใช่รึ ที่เรายอมสัมผัสเนื้อตัวนารีชนเช่นเจ้าเป็นนางแรก”
“ฮึ้ย! มันน่าดีใจตรงไหน แบบนี้น่ะเขาเรียกว่าผีทะเล!” ฉันว่า
“ผีทะเลงั้นรึ?”
“หมายถึงลวนลาม ที่ท่านทำอยู่น่ะเขาเรียกลวนลามผู้หญิง รู้ไว้ซะด้วย!!”
คราวนี้พอสิ้นเสียงต่อว่า คนฟังก็ขยับยิ้ม ก่อนทำเรื่องไม่คาดฝันยิ่งขึ้นกว่าเก่า ด้วยการขยับฝ่ามืออุ่นซึ่งถือวิสาสะแตะลงบนแก้มเลื่อนมาหยุดอยู่บริเวณปลายคาง โดยเปลี่ยนมาใช้เพียงหัวแม่โป้งมือและนิ้วชี้เท่านั้นในการเชยคางฉันให้หน้าเชิดขึ้น ขณะโน้มใบหน้าลงมาหาอย่างเชื่องช้า และหยุดเมื่อระยะห่างระหว่างเราย่นเหลือเพียงแค่ปลายจมูกแตะกัน ซึ่งนั่นมาพร้อมเสียงกระซิบ
“อย่าห่วงไปใย เรามิได้หมายจะล่วงเกินเจ้า...” ยามพูดน่ะ ท้าวอสุเรนทร์ขยับยิ้มมุมปากอยู่ตลอดเวลาคล้ายกับชอบใจอะไร อีกทั้งยังใช้นัยน์ตามองล้วงลึกเข้ามาในตาฉันราวกับต้องการใช้แววตาช่วยยืนยันคำพูดดังกล่าวอีกแรง “เจ้ามิคิดบ้างรึ ว่าที่เรากระทำกับเจ้าเช่นนี้ อาจเป็นความปรารถนาของใจเราเองก็เป็นได้...”
หัวใจฉันเหมือนถูกคลื่นคำพูดลูกใหญ่ของเขาซัดโถมเข้าใส่แบบไม่ยั้งแรง อีกทั้งยังถูกนัยน์ตาตรงหน้าโจมตีเข้าใส่อย่างรัวๆ จนเริ่มเก็บสีหน้าที่ปั้นเป็นบึ้งโกรธเอาไว้แทบไม่ไหว และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็น่าจะสังเกตได้ ถึงได้ใช้คำพูดไถ่ถามออกมาแบบนั้น
“ใยแก้มเจ้าจึงแดงเช่นนี้เล่าเมรี...เขินอายสิ่งใดอยู่รึ?”
“พะ พอได้แล้ว! ฉันอยากจะนอนพัก!” นอกจากหัวใจที่ใช้อัตราการเต้นที่เปลืองแรงแล้ว แม้แต่เสียงที่พยายามพูดตอบโต้ท้าวอสุเรนทร์ออกไปก็ดูขาดๆเกินๆ เช่นกัน
“หากเรามิปล่อยเจ้าล่ะ?”
“ท่าน!” ครั้นจะใช้เสียงโวยวายเพื่อแย้งและยุติการกระทำบ้าๆที่อีกฝ่ายมอบให้ แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็น่าจะเดาทางออก ถึงได้เอ่ยแทรก
“หากปรารถนาของเรายามนี้ คือการชมเชยริมฝีปากอิ่มของเจ้าสักคราล่ะ...เจ้าจักทำเช่นไร?” ไม่ใช่แค่พูด แต่คนตัวใหญ่ยังถือโอกาสในช่วงที่เอ่ยจนสิ้นเสียงทำในสิ่งที่ปากเอ่ยแบบไม่รอคำตอบ โน้มใบหน้าลงมาหายังอย่างเชื่องช้า โดยใช้นัยน์ตาคู่เดิมเท่านั้นในการสะกดสายตาฉันให้มองตอบดั่งต้องมนต์
ฉันเคยผ่านการจูบตามบทบาทกับนักแสดงชายมาหลายต่อหลายคน และทุกครั้งที่ต้องเล่นบทพวกนั้น เชื่อเถอะว่าความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่เคยต้องรู้สึกหน้าร้อนเพราะความเขินมากขนาดนี้มาก่อน ไม่แม้แต่จะรู้สึกเกร็งจัดต่อสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้
หากแต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ตอนนี้กำลังถูกทำลายลงด้วยฝีมือของบุคคลที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรเก่าซึ่งตามมาจากภพชาติเดิมทั้งสิ้น...
ในเวลานี้ นอกจากร่างกายที่เกร็งจัดของตัวเองกับเสียงหัวใจที่เต้นดังจนเหมือนจะหลุดมานอกอกแล้ว อีกสิ่งที่ฉันรู้สึกได้ชัดไม่น้อยไปกว่ากันก็คงจะเป็น ลมหายใจอุ่นร้อนที่เขาเป่ารดลงมายามที่ลดระยะห่างระหว่างริมฝีปากสองเราให้หดสั้นลงนั่นล่ะ
แต่แล้ววินาทีที่ริมฝีปากล่างรับรู้ถึงแรงสัมผัสจากผิวปากอุ่นของคนตัวใหญ่ ทุกอย่างที่ท้าวอสุเรนทร์ทำมาทั้งหมดกลับมีอันนิ่งชะงักลง ซึ่งนั่นมาพร้อมคำถามแกมเยาะเย้ย
“ใยเจ้าจึงเกร็งไปทั้งตัวเช่นนั้นเล่าเมรี
เราแค่เกี้ยวเจ้าเล่นเท่านั้น...คิดว่าเราจักพลอดรักกับศัตรูเช่นนี้จริงๆรึ?” สิ้นเสียงถามปนเสียงหัวเราะเยาะ ร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มซึ่งเคยใช้ร่างกายของตัวบีบบังคับร่างกายฉันไว้กลับอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา พานให้แรงกดทับประหลาดบริเวณฝ่ามือเลือนหายไปด้วย
แม้จะเป็นอิสระแต่อัตราการเต้นของหัวใจนั้นยังคงอยู่ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่วายที่จะตะคอกเสียง ตอบรับเสียงเยาะเย้ยเหมือนผู้ได้รับชัยชนะของท้าวอสุเรนทร์กลับไปอยู่ดี
“ท่านอย่ามาเล่นบ้าๆแบบนี้นะ!” โดยใช้สายตากวาดมองไปรอบๆตัวเพื่อหาเจ้าของเสียงไปด้วย แต่ก็ไร้วี่แวว เขาไม่ได้ปรากฏตัวให้ฉันเห็นหลังจากหายตัวไป ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเสียงของเขาโต้ตอบกลับมาอยู่ดี
“อย่าห่วงไปใยนารีแสนเขลา
เรามิมีวันพลอดรักกับศัตรูให้เสียชาติเกิดดอก...”