เมื่อนั้น สองร่างกระทบสบประสาน
ดั่งพบพานสันนิบาตฟาดกลางอุรา สองนัยน์ตาสวยคู่เวียนบรรจบ
ดุจทวิภพเปิดออกคล้องสายใย บันดาลให้สองใจได้กลมเกลียว
“มิอาจเหลียวสายตาไปทางใด”
“สิ่งใดเล่าคือย่าโอ๊ย?”
“Yaoi ก็แบบ...ผู้ชายรักกับผู้ชายด้วยกันไงท่าน” ฉันพยายามอธิบาย “ท่านเคยได้ยินไหมชายได้ชายคือเหนือชายอะไรอย่างงี้อ่ะ…”
“นครของเรามิมีเรื่องผิดวิปริตเช่นนั้นดอก…เหตุใดเจ้าจึงถามเราเช่นนี้” แต่อีกฝ่ายก็รีบเอ่ยแทรกตอบกลับมาแบบไม่รอฟังจนจบ
“ก็แหม...วันนี้ท่านทำอะไรกับฉันล่ะ ตั้งใจให้ฉันเห็นภาพของกุมภัณฑ์ไม่ใช่เหรอ?” ฉันย้อนโดยพยายามเพ่งสายตาจับผิดสีหน้าคนตัวใหญ่ไปด้วย
“ใช่ นั่นคือประสงค์ของเรา หมายให้เจ้าได้ล่วงรู้อดีตชาติของตัวเองเพียงสักนิดก็ยังดี คำมั่นระหว่างเราจะได้สิ้นลงโดยเร็วไว” เอ้า! คือเขาต้องการให้ฉันเห็นอดีตตัวเองจนมั่นใจ เพื่อฆ่ากันทิ้งได้เร็วๆงั้นอ่ะดิ!?
“กะ...ก็นั่นน่ะแหละ ที่ที่ท่านให้ฉันไปเห็นน่ะ มันก็เลยทำให้ฉันจิ้นอะไรนิดหน่อย…” ฉันเงียบเสียงลงครู่หนึ่ง และพอสังเกตได้ว่าเขาคงไม่เข้าใจภาษาของยุคสมัยปัจจุบัน ฉันจึงรีบเอ่ยแทรกเป็นหนที่สองอย่างรู้ทันอีกฝ่าย “จิ้น หมายถึงการจับคู่ บอกไว้ก่อนเผื่อท่านไม่เข้าใจ”
“จับคู่เรางั้นรึ?” เขาย้อน “กับไอ้อีตนไหน?”
“ก็ท่านกับกุมภัณฑ์ยังไงล่ะ” ว่าแล้วฉันก็ขมวดคิ้วแสร้งทำเป็นครุ่นคิดเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกตามไปด้วย “ตอนนี้ยังเดาไม่ออกเลยนะเนี่ยว่าใครจะรุกใครจะรับ” แต่เอาเข้าจริงที่ทำให้เขาเห็นน่ะ มันก็แค่การแสดงเท่านั้นแหละ เพราะที่สนใจตอนนี้มีเพียงแค่ปฏิกิริยาของคนฟังแต่เพียงเท่านั้น
“เจ้าเห็นภาพนิมิตของเรากับไอ้กุมภัณฑ์งั้นรึ?”
“ใช่...ทำไมคะท่าน?” แต่น่าแปลกที่เขาไม่ยักจะแสดงความมีพิรุธผ่านสีหน้าให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันดันเป็นท้าวอสุเรนทร์เองนั้นแหละที่ขยับยิ้มร้ายกาจอย่างยักษ์เจ้าเล่ห์ขณะให้คำตอบ
“จริงอยู่...ที่เราใช้อำนาจบันดาลให้เจ้ารู้เห็นอดีตชาติ แต่การณ์และเหตุที่เจ้าจักได้ยลยินหลังจากนั้น มันขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกลึกๆของตัวเจ้าสองภพ ทั้งยามเป็นมนุษย์และยักษ์ มิเกี่ยวกับอำนาจเวทของเราแต่อย่างใด”
ไม่เกี่ยวกับพลังที่เขาบันดาลให้เห็นงั้นเหรอ...
งั้นก็แปลว่าการที่ฉันมองเห็นภาพเหล่านั้นได้ก็เพราะสำนึกคิดของกุมภัณฑ์ในภพอดีตยังติดอยู่ที่ตัวงั้นสิ!?
เดี๋ยวสิ! แบบนี้ก็เท่ากับว่า ฉันเองก็ได้คำตอบว่าอดีตชาติฉันคือยักษ์มารที่ท้าวอสุเรนทร์ตามลงมาปราบงั้นอ่ะดิ!
ไม่รู้ว่าตอนคิด ฉันแสดงสีหน้าออกไปให้คนตัวใหญ่ได้เห็นในลักษณะใด จู่ๆเขาถึงได้เอ่ยขึ้นมาแบบนั้น
“เท่ากับว่าวาจาจับคู่ของเจ้าเมื่อครู่...มีประสงค์ให้เราลงเอย เลือกเจ้าเป็นคู่ครองงั้นรึ?” ที่บ้าที่สุดก็คือ ทั่วหน้าจู่ๆกับร้อนวูบขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ หลังสิ้นเสียงดังทวงถามดังกล่าวของคนตัวใหญ่
“ท่านอย่ามาพูดมั่วๆ!” เพราะไม่ทันคิดเรื่องอดีตชาติเก่าของตัวเองมาก่อน ทำให้การถูกยอกย้อนของยักษ์หนุ่มตรงหน้าทำฉันเริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างงั้น “เป็นยักษ์ยังไง ทำไมหลงตัวเอง!”
เพราะในหัวหมดสิ้นคำแถเถียง ที่ทำได้คือการสะบัดหน้าหนี และเลือกจ้ำเท้าเดินไวออกจากห้องนอนเพื่อเลี่ยงสถานการณ์น่าอายดังกล่าวลง โดยที่พักใจใหม่ที่ฉันพาตัวเองหนีมานั้นคือบริเวณหลังเคาน์เตอร์ภายในห้องครัว ทว่า
วินาทีที่เท้าก้าวเข้ามายังพื้นที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ ร่างกายซึ่งเคยเคลื่อนไหวอย่างฉับไวดันมีอันต้องหยุดนิ่งลง เมื่อสิ่งที่รอคอยอยู่ภายในคือภาพของชายตัวสูงในชุดเครื่องทรงยักษ์กำลังยืนเท้าแขนข้างเคาน์เตอร์สำหรับทำครัว ท่าคล้ายกับรอคอยอะไร และดูท่าเหมือนว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ก่อนที่ฉันจะพาตัวเองมาถึงเสียอีก
“เรายังมิได้ถ้อยคำตอบจากเจ้าเลย…” พร้อมกันนั้นก็เอ่ยเร่งด้วยสีหน้าซึ่งไม่ลดความเจ้าเล่ห์ลงเลย
สัมผัสได้ในทันทีว่า ฉันกำลังถูกเอาคืน!
ร่างกายตอบรับคำถามดังกล่าวด้วยการหมุนตัวกลับหันหลังเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ห้องครัว ตรงไปยังห้องรับรองสำหรับนั่ง ซึ่งมันก็เช่นเคย เพราะวินาทีที่โผล่หน้าเข้าไป ภายในห้องรับรองก็ปรากฏร่างสูงของท้าวอสุเรนทร์กำลังนอนเอนกายเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ในท่าใช้มือเท้าหัวตัวเองไว้
“คำตอบของเราล่ะ?” และใช่ การปรากฏตัวของเขามาพร้อมกับคำถามเดิม จนต้องคำรามกรอดพลางกระทืบเท้าอย่างนึกขัดใจ
“โอ๊ยยท่าน! ฮึ้ย! ฉันจะนอนพัก!” แต่ก็ใช่ว่าจะทนอยู่ต่อเพื่อประจันหน้ากับเขาตรงๆที่ไหน เพราะรู้ตัวว่าหากได้ปะทะวาจา สุดท้ายฉันก็ต้องแพ้พ่ายเขาอยู่ดี เพราะงั้นทางเลือกสุดท้ายคือการเดินกลับไปตายรังในที่เก่า
กว่าจะรู้ตัวว่าฉันกำลังหนีสิ่งที่สามารถตามติดตัวเป็นเงาเหมือนผีไปได้ทุกที่ ก็คงเป็นตอนที่เท้าสองข้างหยุดชะงักลงเป็นหนที่สาม
กึก!
เมื่อคนตัวใหญ่ซึ่งเคยนอนเหยียดกายอยู่บนโซฟายามนี้ได้มาปรากฏตัวขวางประตูทางเข้าห้องนอนไว้พร้อมคำพูดสื่อใจความเดิมๆ
“เจ้าจักพักได้เช่นไร เมื่อยามนี้ เรายังมิได้คำตอบจากเจ้าเพียงสักถ้อยวลี...” คิ้วสองข้างขมวดย่นชิดกันเป็นปมพร้อมเสียงจิ๊ปากด้วยความขัดใจ
เพราะเลี่ยงก็แล้ว หนีก็แล้วแต่เขายังตามเอาคืนกันไม่หยุดแบบนี้ เพราะงั้นฉันจึงเลือกที่จะไม่สนใจ ก่อนตัดสินใจก้าวเท้า เดินผ่านร่างโปร่งแสงของคนตัวใหญ่เข้าไปภายใน ทว่า
ตุบ!
สิ่งที่คิดไว้มันดันผิด เมื่อร่างสูงซึ่งคิดว่าน่าจะโปร่งแสงเหมือนพวกผีในหนังในละครจนสามารถเดินทะลุผ่านไปได้กลับกลายเป็นร่างกายหยาบเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไปเสียอย่างงั้น นั่นเลยทำให้คนตัวสูงซึ่งถูกฉันจงใจเดินชนหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายกับไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
เพราะรู้ตัวว่าผิดที่เดินชนเขาจังๆแบบนั้น ฉันจึงรีบกล่าวคำขอโทษออกไปทันที
“ขะ ขอโทษค่ะ...ฉันนึกว่าท่านจะเป็นเหมือนพวกผีในละครซะอีก..อะ” ทว่า ยังไม่ท่านได้เอ่ยกล่าวจนสิ้นเสียงดี จู่ๆคนตัวใหญ่ตรงหน้ากลับทำเรื่องไม่คาดฝันและดูขัดกับท่าทางเกร็งในช่วงเวลาที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
ฟึ่บ!
เมื่อเขาใช้ฝ่ามือแกร่งและรวดเร็วกว่าสอดเข้าโอบรอบเอว อีกทั้งยังใช้เรียวแรงที่มีเหนือกว่าดึงตัวฉันให้เข้าไปใกล้จำต้องรีบใช้มือดันอกกว้างของคนตัวใหญ่ไว้เสียเองเพื่อเว้นระยะห่างของเราสองคนไว้ และการกระทำฉวยโอกาสของเขาก็มาพร้อมกับคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งกระตุกใจคนฟังอย่างฉันสิ้นดี
“แท้จริงแล้ว...การแตะต้องเรือนร่างนารีมันง่ายเพียงนี้เองรึ?”