“เจ๊ว่า...ยุคสมัยของท้าวอสุเรนทร์น่ะ จะมีเรื่องเกี่ยวกับพวกชายรักชายไหม?” เจ๊ขวัญรีบใช้มือตีใส่แขนฉันเบาๆ หนึ่งทีทันทีหลังสิ้นเสียง พร้อมทั้งยังต่อว่า
“เมถามอะไรแบบนี้ได้ยังไง เดี๋ยวก็ถูกท่านท้าวอสุเรนทร์ลงโทษหรอก”
ลงโทษเหรอ? เฮอะ! ทุกวันนี้มันดูต่างจากคำว่าโดนลงโทษตรงไหนกันล่ะ!
“เมก็ถามเฉยๆเองอ่ะ เจ๊ไม่เห็นต้องตีกันเลยนี่” พอบ่นคืนบ้าง คนตัวระดับพอๆกันก็หลุดหัวเราะเบาๆ คล้ายกับชอบใจ จากนั้นก็พูด
“ก็เมดันถามอะไรแปลกๆออกมาเองนี่...แล้วก็นะ...เรื่องแบบนั้นน่ะ จะไปมีได้ยังไงกันล่ะ...” ทว่า ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเจ๊ขวัญดี จังหวะเดียวกันก็มีเสียงเข้มของใครอีกคนดังแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาท
“รู้ได้ยังไงว่าในยุคสมัยนั้นจะไม่มีเรื่องชายรักชาย?” ซึ่งเสียงดังกล่าวนั้นก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นไอ้ณภัทร บุคคลที่ทั้งฉันและเจ๊ขวัญไม่ค่อยชอบขี้หน้านั่นแหละ “เรื่องแบบนี้น่ะมันมีมาตั้งนานแล้ว เพียงแค่มันเปิดเผยมากไม่ได้เหมือนยุคสมัยปัจจุบันต่างหากล่ะ”
“ใครถามความเห็นของนายไม่ทราบ!?” ฉันขัดความหวังดีที่ไม่ต้องการของอีกฝ่ายทันทีแบบไม่รอให้เขาพูดจบ หากแต่นั้นกลับทำให้คนฟังขยับยิ้ม
“ฉันก็แค่กลัวเธอจะมีความเชื่อผิดๆติดตัวไปจนแก่ตาย..ถึงได้บอกให้เอาบุญหรอกนะ” ครั้นจะเถียงณภัทรกลับไปก็ดูจะยาก เพื่อถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่า เขาเองก็ชื่นชอบเรื่องตำนานประวัติของท้าวอสุเรนทร์มากถึงขั้นศึกษาไม่ต่างไปจากทับทิมเพื่อนฉันนั่นแหละ
ทั้งที่ฉันเงียบ แต่คนที่เลือกจะแสดงอาการแปลกๆออกมาตอนอยู่ต่อหน้าณภัทรนั้นดันกลับเป็นใครอีกคนซึ่งยืนอยู่ข้างๆกันแทนเสียนี่
“เม...เจ๊ขอตัวไปเอาของในรถก่อนนะจ๊ะ ซีนต่อไปเล่นให้ดีล่ะจะได้ไม่ถูกพี่ช้างบ่น” เจ๊ขวัญเอ่ยกำชับใส่ด้วยอาการคล้ายกับรีบร้อนก่อนจะเดินปลีกตัวออกจากวงสนทนาไป
ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า ว่านับตั้งแต่ที่ฉันได้รับบทนางเอกของละครเรื่องนี้ จนกระทั่งเปิดกล้องจนถึงวันนี้ เจ๊ขวัญดูไม่ค่อยเข้ามามีบทบาทกับฉันซึ่งอยู่ในการปกครองเท่าไหร่ ทั้งที่ปกติแล้วเธอมักจะเดินตามชิดติดตัวฉันแจเพื่อคอยดูแลและเทคแคร์เรื่องการอยู่การกิน
พอคิดมาถึงตรงนี้ สายตาก็เผลอเหลือบมองไปยังคนตัวสูงซึ่งยืนอยู่ใกล้กัน ก่อนพบว่าณภัทรตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรในตัวฉันนัก เขาไม่คิดจะเอ่ยปากพูดจาหาเรื่องเหมือนอย่างทุกที เพราะสิ่งที่สายตาเขากำลังให้ความสนใจน่ะ มันคือคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินคล้อยหลังออกไปต่างหาก
ไม่นาน เหมือนว่าเขาจะรู้ตัว จู่ๆถึงได้พูดขึ้น ทั้งที่สายตายังคงมองตามหลังเจ๊ขวัญออกไป
“เธอกับผู้จัดการเนี่ย ก็ดูรักกันดีนี่นะ…”
“ใช่! ฉันกับเจ๊ขวัญรักกันมาก มีปัญหาอะไรไหม?” แต่ครั้งนี้พอย้อน ณภัทรกลับไม่ได้ใช้คำพูดรุนแรงเพื่อต่อปากต่อคำกลับมาเหมือนทุกที เขาเลือกที่จะยิ้มนิดๆมุมปากและเลื่อนสายตากลับมามองหน้าฉันแทนแล้วเอ่ยปากรับสั้นๆ
“งั้นเหรอ?” ใช่... เขาตอบโต้กลับมาเพียงเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นฝ่ายหันหลังปลีกตัวเดินออกไป เล่นเอาคนที่เคยกัดกันทุกครั้งที่ต้องเจอหน้า รู้สึกแปลกขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล...
เวลา ๒๑.๔๐ นาฬิกา
ค่ำนั้นหลังจากทำงานในกองถ่ายจนเสร็จ ฉันก็ขับรถกลับมายังคอนโดห้องพักของตัวเองเพียงลำพัง ใช่ค่ะ ย้ำว่าลำพัง นับตั้งแต่เหตุการณ์ประหลาดเมื่อช่วงสายตอนถ่ายซีนแรกที่คล้ายกับว่าท้าวอสุเรนทร์จงใจให้ฉันเห็นอดีตชาติของตัวเอง
ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็หายตัวไป ไม่ว่าจะในร่างของผีหรือร่างจำแลงมนุษย์ เพราะณภัทรดันพูดเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นในห้องน้ำวันก่อนขึ้นมาต่อหน้าคนในกองนั่นแหละ ฉันจึงไม่ได้ถามใครว่าเขาหายไปไหน
อีกทั้งการทำงานวันนี้ตลอดทั้งวันจนถึงช่วงค่ำ มันก็เหนื่อยมากพอที่ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉันจะหยุดทำงาน ทันทีที่พาตัวเองกลับมาถึงภายในห้องได้ สิ่งแรกที่ฉันทำคือพาตัวเองไปยังห้องนอน ก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดพาดลงใส่เตียงนุ่มๆเพื่อพักเหนื่อยด้วยการนอนโง่ๆ หลับตาอยู่บนเตียงนิ่งๆ ทว่า
กึก...
ยังไม่ทันที่ร่างกายจะได้พักจนหายเหนื่อย จู่ๆ พื้นเตียงนุ่มๆก็เกิดแรงยวบลงอย่างหนัก จำต้องปรือตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูสถานการณ์ ก่อนพบว่าบนพื้นที่ว่างเปล่าข้างกายกำลังปรากฏร่างของผู้ชาย ซึ่งหายหน้าหายตาไปทั้งวันกำลังนั่งอยู่ข้างกาย เนื่องจากตอนนี้ฉันต้องการพักให้ร่างกายรู้สึกหายเหนื่อย
พอเห็นว่าคนที่เป็นเจ้าของแรงยวบดังกล่าวเป็นใคร จึงแสร้งทำเป็นนอนนิ่ง เพราะเดาได้ว่า ขืนขยับตัวหรือลุกขึ้นมาประจันหน้าตรงๆ มีหวังต้องถูกตะเพิดลงไปนอนบนพื้นข้างเตียงแน่ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำคือเรื่องผิดพลาด ก็คงเป็นตอนที่บริเวณข้างแก้มรับรู้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วแกร่งที่พยายามเกลี่ยปอยผมปรกหน้าฉันไปทัดกับใบหูนั่นแหละ
สัมผัสแปลกๆ ดังกล่าวจากท้าวอสุเรนทร์ทำฉันไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมองภาพที่กำลังเกิดขึ้น ทำได้แค่นอนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้อยู่แบบนั้นจนกระทั่ง เขาเป็นฝ่ายละปลายนิ้วออกไป แต่ก็ใช่ว่าหลังจากสัมผัสดังกล่าวจนสิ้นลง ทุกอย่างรอบตัวจะสงบสุขเสียที่ไหน
กึก..
เมื่อเตียงทั้งหลังเกิดแรงยวบหนักๆขึ้นอีกครั้ง หากแต่คราวนี้การยวบของเตียงดันมาพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ ของใครอีกคนซึ่งเป่าลดลงบนใบหน้าจากในระยะห่างที่ห่างออกไปเล็กน้อยก่อนขยับเข้ามาใกล้ขึ้น
ใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้นจนรู้สึกถึงไอร้อนของลมหายใจอีกฝ่ายได้ชัดเจน...
ด้วยสถานการณ์ที่อีกฝ่ายบีบบังคับ ส่งผลให้ฉันยุติความรู้สึกทั้งหมดลงด้วยการเบิกตาขึ้นแบบไม่สนว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นอย่างไร และการทำเช่นนั้นจึงทำให้สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตายามนี้ คือภาพใบหน้าคมเข้มหากแต่ดุดันของท้าวอสุเรนทร์ซึ่งอยู่ในระยะไม่ใกล้หรือไกลโดยที่เขาใช้ร่างกายท่อนบนคร่อมกายไว้จากด้านข้างโดยใช้มือหยัดตัวไว้แทนหลักยึด
แม้จะอยู่ในลักษณะท่าทางหมิ่นเหม่ ถึงอย่างนั้นคนตัวใหญ่ก็ยังคงเว้นระยะห่างระหว่างเราไว้โดยไม่ให้เนื้อกายของเราสองคนแตะต้องกัน ภาพที่เห็นทำฉันซึ่งเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ รีบขยับตัวเพื่อเตรียมจะหนี ทว่า
“จะ เจ้าอย่าเพิ่งขยับ!” เขากลับออกปากสั่งออกมาเช่นนั้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
อาการของท้าวอสุเรนทร์ยามนี้ดูไม่สมเป็นยักษ์เจ้าเมืองผู้เรืองอำนาจเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังพยายามขยับตัวหลบด้วยอาการเกร็งจัด เมื่อวินาทีที่มือฉันทำท่าจะพลาดพลั้งไปถูกเนื้อกายอีกฝ่าย
“ทะ ท่านก็เขยิบออกไปสิ!” เมื่อไม่กล้าขัดคำสั่งของคนตัวใหญ่ สิ่งที่ทำได้เลยเป็นการนอนนิ่งและโวยวาย ซึ่งท้าวอสุเรนทร์เองก็ใช่ว่าไม่รีบขยับเคลื่อนออกไปตามเสียงร้องบอกที่ไหน
เขาพยายามเกร็งแขนเอาไว้ราวกับกลัวว่าเนื้อกายของเราจะสัมผัสเสียดสีกัน ทว่า วินาทีที่เขาหยัดกายเพื่อผละตัวออกไปนั้น ร่างกายฉันกลับถูกแรงมหาศาลดังกล่าวฉุดดึงให้ลุกตามไปด้วยพานให้คนตัวใหญ่เสียหลักล้มทับลงมาแทบจะทันที
ฟึ่บ! กึก!
ถึงจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่ถึงอย่างนั้นท้าวอสุเรนทร์ก็ยังคงสติของตัวเองเอาไว้ ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างหยัดลงกับพื้นนุ่มๆของเตียงนอนเพื่อกันการล้มทับมาโดยตัวอย่างทันท่วงที
โดยทิ้งระยะห่างระหว่างเราสองคนไว้เพียงแค่ปลายจมูกเฉียด
ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวรับมือ เลยพลอยให้บรรยากาศภายในห้องนอนถูกความเงียบเข้าปกคลุมไปโดยปริยาย อีกทั้งระยะที่ห่างกันเพียงลมหายใจ มันก็ไม่สามารถทำให้ฉัน กล้าที่จะมองตอบนัยน์ตาคมตรงหน้าได้อีกต่อไป จำต้องเป็นฝ่ายเบือนสายตาหลบไปก่อน
“สะ สังวาลประดับกายเรา...มันขัดอาภรณ์เจ้า..” แต่แล้วมันก็เป็นเขานั่นแหละที่ทำลายความเงียบระหว่างเราลงด้วยน้ำเสียงซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากทุกครั้ง ไร้ความดุดันและมาดร้าย แต่ว่ากำลังเต็มไปด้วยความประหม่าและความเขิน
ไม่อยากพูดก็คงต้องพูด นอกจากบทบาทที่ต้องใช้ในการแสดงแล้ว ไอ้การล้มทับในชีวิตจริงเนี่ย นี่ก็เพิ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเป็นครั้งแรกเหมือนกันนั่นแหละ แต่นั่น...มันก็ทำให้ฉันมองเห็นความแตกต่างระหว่างผู้ชายในยุคอดีตกาลกับสมัยปัจจุบันได้ชัดเจนเช่นกัน
หากเป็นผู้ชายสมัยนี้ นิดๆหน่อยๆ ก็เข้าถึงเนื้อถึงตัวกันแล้ว เผลอๆได้กันเลยด้วยซ้ำไป! แต่กับผู้ชายคนนี้ หากไม่นับเรื่องที่เขาเคยใช้มือบีบปากฉันหรือช่วงเวลาที่เขาคิดจะขู่ฆ่าแล้วล่ะก็... ไม่เคยมีวินาทีไหน ที่เขาไม่เว้นระยะห่างระหว่างเราไว้อย่างให้เกียรติเลยสักครั้ง แม้กระทั่งตอนนี้...ตอนที่เราอยู่ใกล้กันเพียงแค่การมองตา...
“ท่านอยู่นิ่งๆล่ะ...” ฉันบอกคนตรงหน้าอย่างไม่ชินสถานการณ์ รีบหลุบตาลงมองหาจุดของเสื้อผ้าที่ท้าวอสุเรนทร์บอกกล่าวไว้ ก่อนพบว่าส่วนของสังวาลหนึ่งในเครื่องประดับเครื่องทรงยักษ์กำลังเกี่ยวเข้ากับกระดุมเสื้อเชิ้ตของฉันอยู่จริงๆ
เห็นดังนั้นฉันจึงเริ่มขยับมือทั้งสองข้างเอื้อมไปยังต้นเหตุ และเชื่อเถอะว่าทุกครั้งที่มือทั้งสองข้างของฉันเคลื่อนไหวน่ะ ฉันรับรู้ได้ถึงการเกร็งไปทั้งร่างของคนตัวใหญ่อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเม็ดกระดุมถูกบิดจนหลุดจากสายสังวาล คนตัวใหญ่ซึ่งเคยใช้มือหยัดพื้นเตียงไว้เพื่อเว้นระยะห่างระหว่างเราก็อันตรธานหายตัวไปต่อหน้าต่อตา ก่อนปรากฏกายหยาบให้เห็นอีกครั้งเมื่อเขาทิ้งระยะห่างระหว่างเราออกไปเล็กน้อย
พอเห็นเขาแสดงอาการประหม่าออกมามากๆเข้า ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแกล้ง
“ไหนท่านบอกว่าไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิงคนไหนมาก่อนไง แล้วทำไมถึงได้กล้าจู่โจมฉันตอนหลับแบบนี้ล่ะ?”
“ปรักปรำ!” คนตัวใหญ่รีบตะคอกเสียงสวนกลับมาทันทีเหมือนไม่คิด ทั้งที่เสียงบ่งบอกถึงความหนักแน่นและดุดันแท้ๆ แต่กับแก้มเขาซึ่งกำลังขึ้นสีระเรื่อน่ะ...มันไม่ใช่ ยิ่งเห็นเขาเป็นแบบนั้น ฉันก็ยิ่งรู้สึกอยากแกล้งเข้าไปใหญ่
“ถ้าอย่างงั้นท่านคร่อมฉันทำไมอ่ะ หรือว่า อยากลองแตะเนื้อตัวผู้หญิงดูบ้างไรงี้เหรอคะท่าน?” ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่แค่พูดแกล้ง แต่เลือกที่จะขยับตัวลุกขึ้นมายืนข้างเตียง แสร้งทำเป็นแอ่นหน้าแอ่นหลัง บิดตัวไปมาโชว์สรีระของตัวเองให้อีกฝ่ายได้เห็น และการแสดงท่าทางออกไปเช่นนั้นมันก็ทำให้ผู้ชายตรงหน้าตะคอกต่อว่าออกมาแทบจะทันที
“ปะ เป็นผู้หญิงยิงเรือ...เหตุใดเจ้าจึงแสดงกริยาไม่งามเช่นนี้เล่า!? หรือแท้จริงแล้วเจ้าเป็นพวกไม้งามกระรอกเจาะ!?” ฮะ...อะไรเจาะๆนะ
“ท่านก็ตอบมาก่อนสิ” เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่คนตัวใหญ่กำลังโวยวาย ฉันจึงเลือกที่จะแกล้งเขาต่อ ด้วยการใช้มือกุมหน้าอกตัวเองไว้แล้วก้าวเท้ากระโดดเข้าหาเขาหนึ่งก้าว
และเชื่อไหมว่า การทำเพียงแค่นั้น มันก็เพียงพอแล้วทำให้ยักษ์หนุ่ม ผู้ซึ่งเคยแสดงนิสัยเกรี้ยวกราดอยู่ตลอดเวลาเลือกที่จะหายตัวหลบหนีจากการถูกคุกคาม ไปอยู่อีกฟากฝั่งของของเตียงนอนทันที คล้ายกับต้องการแบ่งเขตแดนระยะห่างจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เจ้าหัวร่อสิ่งใด!?” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำถามซึ่งฟังคล้ายกับว่าเขากำลังเขินจัดนั่นด้วย ฉันยิ่งหัวเราะดังขึ้นเข้าไปใหญ่
ใช่ค่ะ ! และนี่คือเสียงหัวเราะของคนที่พบจุดอ่อนของศัตรูยังไงล่ะ!
และพอเห็นเขาเป็นฝ่ายหนี ฉันจึงรู้สึกไม่อยากหยุดและพยายามจะแกล้งเขาต่อไปให้รู้สึกสะใจมากกว่านี้ ตอนแรกก็คิดแบบนี้แหละ แต่ทันทีที่ตั้งท่าจะเดินเข้าไปหา คนตัวใหญ่ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าก็เริ่มเสกอาวุธคู่กายอย่างธนูสีทองให้ปรากฏตรงหน้าพร้อมลูกศรในมือเล็งมายังฉันพร้อมเสียงคำสั่งเกรี้ยวกราดราวกับกำลังป้องกันตัวเอง
“หยุดหัวร่อเราบัดเดี๋ยวนี้!” และนั่นแหละ คือสาเหตุที่ทำให้เสียงหัวเราะและการแกล้งกันเล่นของฉันหยุดลงโดยฉับพลันเหมือนคนแบตเตอรี่หมด เมื่อท้าวอสุเรนทร์เห็นว่าฉันยอมสงบนิ่งเป็นเขาจึงเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นเองอีกหน “เรามิมีความประสงค์จักลองสัมผัสเรือนร่างเจ้าหรือนารีนางไหนยามหลับ…”
แม้ว่าตรงหน้าจะมีคันธนูกับลูกศรสีทองจ่อชี้มาตรงหน้า แต่พอได้ฟังสิ่งที่เขาพูดแล้ว ฉันก็อดที่จะปริปากถามไม่ได้
“ถ้าไม่ได้อยากแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง งั้นก็แปลว่าท่านอยากแตะตัวผู้ชายด้วยกันงั้นสิ?” สิ้นเสียงถาม คนฟังก็ถึงขั้นชะงักคันธนูในมือลงเล็กน้อยก่อนบันดาลให้อาวุธคู่กายสลายหายวับไปต่อหน้า แต่นั่นไม่ใช่กับปากที่เอ่ยว่า
“ผีห่าตนใด เจาะปากเจ้าให้พูดเช่นนี้!?”
“ก็ไม่รู้สินะ...” ฉันไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระคำต่อว่า
ทว่า พอเหลือบมองหน้าของคนตัวใหญ่ซึ่งยืนคนละฟากฝั่งข้างเตียงแล้ว จู่ๆ ในหัวดันนึกถึงภาพสีหน้าของท้าวอสุเรนทร์ภายของห้องโถงกว้างซึ่งถูกจัดข้าวของไว้อย่างโอ่อ่าขณะดูอาการของกุมภัณฑ์ที่บาดเจ็บ ซึ่งนั่นดันเป็นจังหวะเดียวกับที่ท้าวอสุเรนทร์กล่าวขึ้นอีกครั้งพอดี
“ยามเห็นเจ้านอนเพลียแรง มันชวนเราหวนนึกถึงเรื่องอดีต จนพลั้งเผลอทำเกินงามก็เท่านั้น...” จนอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมานั้นจะใช้เรื่องเดียวกับสิ่งที่ฉันกำลังนึกถึงอยู่ในหัวตอนนี้หรือเปล่า…
“นี่ท่าน...” พอรู้สึกตัว ปากก็กำลังขยับเอ่ยถามจนฟังคล้ายกับเป็นการล่วงเกิน “ที่ที่ท่านอยู่อ่ะ มีใครมีความสัมพันธ์กันแนวๆ Yaoi บ้างป่ะ?”
ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาทันควันเช่นกัน
“สิ่งใดเล่าคือย่าโอ๊ย?”
ย่าโอ๊ยก็มา...