เมื่อนั้น ท้าวอสุเรนทร์เรืองศรี
ฟังถ้อยวจีแสนดาลเดือด กระทืบบาตรหมายเชือดให้สมหมาย
ชาติที่แล้วดัสกรชีวาวาย ชาตินี้ไซร้คงมลายไม่ต่างกัน
ว่าแล้วจึงลั่นวาจาประกาศไป เหวยไอ้กุมภัณฑ์นับวันยิ่งผยอง
ไม่ไตร่ตรองดูตัวชั่วหนักหนา อุบัติใหม่ไร้ฤทธิ์เดชเรืองเดชา
“ยังปากกล้าไม่สำนึกระลึกกรรม”
“เป็นแค่พวก Extar ยักษ์ประกอบฉาก อย่าเยอะค่ะ พี่ไม่ชอบ!”
ใครจะรู้ ว่าทันทีเอ่ยประโยคแสดงอารมณ์ของตัวเองจนจบ สิ่งที่ตามมาจะเป็นการกระทืบเท้าหนักๆ จนพื้นที่บริเวณที่เราทั้งคู่ยืนอยู่เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ โดยฉันเองก็สามารถรู้สึกได้
หากแต่แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวก็ตกอยู่ในความรู้สึกได้ไม่นาน เมื่อคนตัวใหญ่กว่าตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดบอกอารมณ์ที่มีไม่ต่างกันออกมาดังลั่น
“สามหาว!”
สิ้นเสียงตะคอกดุดันแกมต่อว่า ปากฉันก็เริ่มกระตุกประหนึ่งสันนิบาตกิน แม้จะพยายามปั้นหน้ายิ้มให้สมเป็นนางเอกชื่อดังตามอย่างที่เจ๊ขวัญบอกไว้ ตอนนี้ดูเหมือนมันจะทำยากเสียเหลือเกิน
เพราะรู้อารมณ์ตัวเองดีและเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันระหว่างดาราตัวประกอบกับนางเอกสมัยนิยม ฉันจึงเลือกที่จะข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้เป็นหนสุดท้ายแล้วพูดออกมาอย่างใจเย็น
“นี่...ขอทีเถอะ ถ้าไม่ช่วยก็อย่ากวนประสาท ฉันต้องรีบไปแต่งตัวแต่งหน้าเข้าพิธี...” พูดจบฉันก็ไม่ได้รอให้เขาต่อปากต่อคำต่อแต่อย่างใด แต่เลือกที่จะเป็นฝ่ายเดินสวนเขาออกไปยังเส้นทางซึ่งเป็นเป้าหมาย
แต่ดูท่าว่าชายแปลกหน้าจะไม่ยอมให้ทำแบบนั้นโดยง่าย เมื่อเขายังคงลั่นวาจาแปลกๆออกมาไม่หยุด
“ไอ้กุมภัณฑ์ มึงมันขลาดนัก!” โดยเฉพาะถ้อยคำหยาบคายโบร๊าณโบราณซึ่งทำเท้าสองข้างของฉันหยุดได้โดยชะงักราวกับถูกตอกไว้ “กักขฬะแลน่าสมเพช กูสังเวชสังวรณ์ใจมึงนักหนา ไอ้อัปรีย์ชาติ!”
สิ้นสุดคำต่อว่า ความอดทนที่พยายามสร้างมาก็เหมือนถูกพังลงไปด้วยเช่นกัน
สติที่ขาดผึ่งดึงฉันออกจากภาพลักษณ์ที่นางเอกชื่อดังพึงจะมี ตัดสินใจหันกลับไปจ้องสู้ตากับชายแปลกหน้าอย่างไร้การลังเลเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าฉันตอนนี้กำลังไม่พอใจมากแค่ไหน ก่อนต้องรู้สึกโกรธมากกว่าเก่า เมื่อพบว่าบนใบหน้าคมคายไม่ได้มีทีท่าสำนึก ซ้ำร้ายยังปรากฏรอยยิ้มเหยียดเยาะคล้ายกับสะใจ
เห็นดังนั้น ไวกว่าจะทันต้องคิด มือข้างถนัดก็ง้างขึ้นสูงก่อนก่อนพุ่งหมัดเข้าซัดหน้าเจ้าของคำพูดจาไม่ให้เกียรติเพศแม่อย่างเต็มแรงเพื่อหมายจะสั่งสอน ทว่า
กึก!
วินาทีที่หมัดเน้นๆกำลังจะพุ่งเข้ากระแทกใบหน้าเข้านั้น จู่ๆร่างทั้งร่างกลับเริ่มเสียการควบคุมอย่างไม่ทราบ เหตุผล หมัดมือและแขนที่ถูกส่งออกไปนั้นคล้ายกับถูกแช่แข็งไว้ให้อยู่ในท่านั้น ครั้นจะขยับก็ดูท่าจะยากไปหมด ซึ่งนั่นไม่ใช่กับอีกฝ่ายซึ่งยังคงเคลื่อนไหวร่างกายได้เป็นอย่างปกติ
คนตัวใหญ่เลื่อนมือขึ้นข้างหนึ่งมาหยุดตรงหน้ากำมือฉันอย่างช้าๆ โดยทิ้งระยะห่างไว้ชนิดที่ไม่ให้ถูกเนื้อตัว ก่อนจะวาดมือออกอย่างแรง ทั้งที่สัมผัสของฝ่ามือเขาไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวฉันสักนิด แต่การกระทำดังกล่าวกลับเกิดแรงมหาศาล ชนิดที่สามารถผลักตัวฉันให้กระเด็นถอยห่างออกจากเขาอย่างรุนแรง ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ฟึ่บ! ตุบ!
“อ๊ะ...” ฉันครวญออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บ พลางใช้มือลูบสะโพกตัวเองไปมาเบาๆ เพื่อลดอาการปวด จากการล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกองกับพื้น
กึก...
แต่แล้ว เสียงฝีเท้าซึ่งก้าวเดินมาหยุดตรงหน้า ทำความสนใจให้หลุดพ้นจากอาการเจ็บปวดสะโพกของตัวเอง รีบตวัดตามองไปยังต้นเสียงแบบไม่ชอบใจนัก ก่อนพบว่าเจ้าของเหตุอัศจรรย์เมื่อครู่กำลังยืนยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าอยู่ตรงหน้า
เขาดูไม่ได้รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำเลยแม้แต่น้อย...
“มึงรู้รสกรรมที่ก่อไว้แต่ชาติปางก่อนหรือยัง ไอ้กุมภัณฑ์?” อีกทั้งยังลั่นวาจาถาม
“หยุดพูดบ้าๆเดี๋ยวนี้นะ ถ้ายังไม่หยุดฉันจะฟ้อง!!” พอได้ฟังคำพูดที่ไม่เข้าใจ อีกทั้งยังต่อกรอะไรกับชายแปลกหน้าคนนี้กลับไม่ได้ สิ่งที่ทำได้จึงมีแค่การตะเบ็งเสียงข่มขู่เท่านั้น “นายไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร…ฉันนะเป็นถึง...”
ตึง!
“อุเหม่! ไอ้ระยำนี่!” ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ยอมให้ฉันพูดได้จนจบประโยคเช่นกัน ชายแปลกหน้ากระทืบเท้าหนึ่งทีพลางชี้หน้า คล้ายกับระบายความเกรี้ยวกราดผ่านการกระทำซึ่งให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากน้ำเสียงของเขานัก
“ไฉนจึงคิดว่ากู ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม!?” ไม่รู้เป็นเพราะน้ำเสียงกับท่าทางซึ่งโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลาที่เขามักแสดงออกให้เห็นหรือเปล่า มันเลยทำให้ฉันไม่กล้าพูดอะไรแทรก นอกจากนั่งกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ “ระรานร้อนไปทั่วธรณิน เหยียบย้ำฟ้าดินไม่เกรงใจ ไม่ใช่มึงหรืออย่างไรเล่าไอ้กุมภัณฑ์!”
กุมภัณฑ์! ใช่ เขาเรียกฉันด้วยชื่อนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันแล้ว...
แถมท่าทางเขาก็ดูโกรธจัด ราวกับกุมภัณฑ์บ้าบออะไรนั่นเคยไปฆ่าใครตายเสียด้วยสิ ไม่ใช่แค่ท่าทางกับคำพูดแปลกๆหากแต่ฟังดูจริงจังนั่นแต่เพียงอย่างเดียว สีหน้าที่ดูนิ่งสนิทกับแววตายามที่เขาจ้องมองนั้นก็ให้ความรู้ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ที่น่าขนลุกและน่ากลัวมากกว่าอาการทางจิตที่คนตัวใหญ่ตรงหน้าเป็น คงไม่พ้นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เขาใช้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ ทั้งที่ไม่ได้สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกันแม้แต่นิด แต่เขากลับสามารถใช้เรี่ยวแรงมหาศาลขนาดนั้นผลักฉันปลิวได้เหมือนกระดาษนั่นล่ะ...
“ฉันว่านายกำลังเข้าใจผิด...” ไม่รู้ผีห่าซาตานตัวใดดลใจสั่งให้เอ่ยขัดออกไปแบบนั้น “ฉันไม่ได้ชื่อกุมภัณฑ์... แต่ชื่อเมรีต่างหาก !”
“กูมิสนว่าภพนี้ มึงมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร!” แต่ก็ใช่ว่าเขาจะฟังที่ไหน มิหนำซ้ำยังพูดเรื่องบางที่ฉันไม่เข้าใจและไม่มีทางเข้าใจออกมายืดยาว “ปรารถนากู คือการทำศึก ปลิดชีวามึงให้วอดวาย สมดั่งสัตย์วาจาที่ประกาศไว้”
ซ้ำร้ายยังเขาจับคันธนูสีทองอร่ามในมือยกขึ้น แล้วหันปีกธนูมุ่งเป้าตรงมายังจุดที่ฉันนั่งพับอยู่ การกระทำดังกล่าวทำเอาคนที่เห็นต้องเบิกตากว้างมากกว่าครั้งไหนๆ
ไม่ใช่เพราะตกใจท่าทางที่พร้อมจะทำร้ายกันตามอย่างที่เขาลั่นวาจาไว้ หากแต่เป็นการกระทำสุดอัศจรรย์จากฝ่ามือเปล่าของเขา ขณะเลื่อนผ่านปีกธนูผ่านไปยังสายธนูด้านหลังจนปรากฏเห็นเป็นลูกธนูสีทองสวยต่างหาก
เป็นเวทมนต์เหรอ !?
บ้าน่า! เรื่องแบบนั้นจะไปมีจริงได้ยังไงเล่า!!
เหตุอัศจรรย์ซึ่งคล้ายกับเป็นการเล่นมายากล ทำฉันเริ่มนึกหวาดขึ้นมาอย่างหาเหตุผลไม่ได้ เผลอถดตัวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อหลบหนี ทว่า
ตึง!!
“เฮือก!” เพียงแค่การกระทืบเท้าหนักๆหนึ่งทีของเขาเท่านั้น มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันหยุดชะงักกายลงโดยฉับพลันเป็นที่สอง อีกทั้งยังเริ่มแน่ชัดแล้วว่า แรงไหวเบาๆของพื้นดินมันเกิดขึ้นจากการกระทืบเท้าของเขาจริงๆ
“บัดนี้พื้นทวิภพเปิด ถือเป็นมงคลฤกษ์...” หูยังคงได้ยินคำพูดคำจาแปลกๆ จากปากชายแปลกหน้าท่าทางน่ากลัวไม่หยุด เฉกเช่นเดียวกับสมองที่พยายามคิดทบทวนเรื่องที่กำลังเกิดอยู่เบื้องหน้า
ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร จะเป็นคนสติดีหรือคนบ้า ที่ฉันสนที่สุดในตอนนี้ก็คือ ทำยังไงก็ได้เพื่อหยุดเรื่องบ้าๆ นี่ลงโดยเร็วที่สุด เอาวะ! ตายเป็นตาย บ้าไม่บ้าเดี๋ยวได้รู้กันคราวนี้นี่แหละ!
เพราะคิดได้แบบนั้น วินาทีเดียวกับเสียงประกาศก้องเอาจริงเอาจริงของชายตัวใหญ่ดังขึ้น ฉันก็ไม่รอช้า รีบดันตัวลุกขึ้นจากพื้น ก่อนตัดสินใจพุ่งตัวเข้าใส่เป้าหมายเบื้องหน้าทันที พร้อมกันนั้นมือข้างถนัดก็ไม่ลืมที่จะปัดป้องอาวุธในมือเขาให้หันเหไปยังทิศทางอื่นด้วย
“ถึงคราที่ชีวิตมึงจักมลายสิ้นแล้ว...ไอ้กุมภัณฑ์!...อะ”
ฟึ่บ! ตึง!!
ทันทีที่สามารถเข้าประชิดแล้วใช้มือปัดคันธนูเขาออกได้จนสำเร็จ มันก็ดันเป็นฉันเสียเอง ที่ต้องเสียการทรงตัว เมื่อลูกธนูสีทองในมือเขาร่วงหล่นลงพื้นจนแผ่นดินสะเทือน พร้อมกันนั้นบริเวณฝ่ามือตรงส่วนที่สัมผัสเข้ากับคันธนูเมื่อครู่ ยังรู้สึกแสบร้อนราวกับโดนไฟลวก
จำต้องตวัดหางตามองตัวต้นเหตุอีกครั้ง ซึ่งเดาใดได้เลยว่าเขาคงจะยิ้มกริ่มด้วยความสะใจแกมเยาะเย้ยใส่ฉันอยู่แน่ๆ
แต่ก็เปล่า...
เพราะร่างสูงซึ่งเคยยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยเครื่องทรงยักษ์บัดนี้กลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอง ราวกับว่าเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้นมาก่อน
อะไรกัน หายไปเหรอ...
เขาหายตัวไปเหมือนอย่างในหนังในละครจริงๆน่ะเหรอ!?
ขณะกำลังยืนอึ้ง ตกใจและงงกับภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ไม่สามารถประติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันได้ จังหวะเดียวกันนั้นกลับมีเสียงแจ๋นของใครคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมฝีเท้าหนักๆ ราวกับคนรีบร้อนดังขึ้นเสียงก่อน
“คุณเมรี! มายืนทำอะไรตรงนี้คะ ช่างแต่งหน้ารอกันแย่แล้ว!” จำต้องหันไปมอง ก่อนพบว่าเธอน่าจะเป็นหนึ่งในพวกของทีมงานกองถ่ายละครเรื่องดวงหทัยยักษ์จากลายเสื้อสกรีนสีขาวที่สวมอยู่ “มานี่ค่ะ เดี๋ยวพิธีก็จะเริ่มแล้วนะคะ!”
อาจเพราะฉันยังอยู่ในอาการที่ยังช็อกกับภาพปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติก่อนหน้านี้อยู่ล่ะมั้ง นั่นจึงทำให้ร่างกายยอมโอนเอนไปตามแรงดึงจากมือของทีมงานอย่างว่างง่ายราวกับหุ่น
-ท้าวอสุเรนทร์ กล่าว-
“ยามนี้ไอ้ยักษ์กุมภัณฑ์รูปโฉมเปลี่ยน ดูสวยราวกับนางสวรรค์ น้องจำรูปเดิมของมันแทบมิได้...” เสียงเข้มของอนุชาเพียงตนเดียวที่เรามีกล่าวขึ้น ขณะทอดตามองร่างจำแลงของอริ ถูกนารีชนพาตัวออกไป “เห็นทีแล้ว ไอ้กุมภัณฑ์ มันคงจำชาติภพเดิมทีของมันมิได้ แล้วต่อแต่นี้ไป...ท่านพี่จักทำอย่างไรต่อไปเล่า?”
“พี่มิมีวันเสียคำสัตย์ที่ประกาศไว้ต่อหน้าพระอิศวรบนศิวโลกเป็นแน่แท้ น้องจงเชื่อคำพี่เถิด หากดอกธนูยังมิปักกลางอุราไอ้ยักษ์อัปรีย์... ”
“…”
“ ศึกครานี้..พี่จะมิมีวันหยุด!” ว่าจบ เราจึงเหลือบมองเสี้ยวหน้าผู้น้องเล็กน้อย ก่อนพบว่าบัดนี้ น้องชายเรากำลังแย้มยิ้มจนอดถามไม่ได้ “มงคลฤกษ์เช่นนี้ แล้วตัวน้องเล่า...ต้องตาสิ่งที่ปรารถนาแล้วรึ?”
สิ้นวาจา อนุชาคู่บุญนั้นไม่ได้คำตอบกลับมา หากแต่บนดวงหน้ากำลังแย้มกว้างอย่างปรีดา
ด้วยเหตุนั้นถึงไม่ได้คำตอบ แต่เราก็พอล่วงรู้ได้ผ่านกริยาของดวงตาอยู่ดี
ตัวเรานั้นมีนามว่า อสุเรนทร์ เป็นเจ้าเมืองนครยักษ์จากแดนสรวง
ยามนี้ถือเป็นฤกษ์มงคลของทวิภพ ที่ผ่านการเฝ้านับวันรอคืนมาร่วมหลายหมื่นปี ด้วยเพียงเจตจำนงเดียวที่เรารักษาสัตย์ไว้อย่างมั่นหมายตั้งแต่ได้ประกาศไป นั่น คือ การทำลายชีวิตชาติภพใหม่ของกุมภัณฑ์ ยักษ์มารที่ถูกสาปส่งลงมาเกิด
ในยามเป็นยักษ์ทำตัวชั่วช้า ย่ำยี รานร้อนจนร้อนรุ่มไปทั่วแผ่นดิน พังทำลายชีวีราวกับเป็นเรื่องขบขัน โดยเฉพาะกับการที่มันย่ำยีดวงใจ หญิงคนรักของน้องชายคู่บุญจนวอดวาย
ด้วยเหตุนี้ เราจักไม่มีทางให้อภัยต่อการกระทำต่ำช้าของมันเป็นแน่ ในเมื่อยามมีฤทธิ์เดช โอหัง ระรานชีวิตปุถุชนธรรมดาได้ใจดำ ฉะนั้นเราจักให้มันลิ้มรสเวรกรรมเช่นนั้นดูเสียบ้าง
ภพนี้รูปกายของมัน สวยดุจนางฟ้านางสวรรค์ หากแต่จิตใจข้างในอาจจะต่ำตมคงสันดานเดิมไว้ย่อมเป็นได้
ใครจักไปล่วงรู้...
(เทพยดาในรอบจักรวาลทั้งหลาย จงมาประชุมกันในสถานที่นี้...)
“ท่านพี่...ท่านพี่ยลเสียงเรียกของพวกพราหมณ์เหมือนน้องหรือไม่?” ขณะนั่งพักกายอยู่คราวใหญ่ หลังลงมายลเยือนภพมนุษย์ อสุรา น้องชายคู่บุญของเราก็กล่าวขึ้น
ด้วยเหตุนั้น เราจึงหลับตาลง เงี่ยหูอย่างตั้งใจ
(ข้าพเจ้าขออัญเชิญหมู่เทพยดา ซึ่งสิงสถิตอยู่ในฉกามาพจรสวรรค์ อีกทั้งคนธรรพ์ ครุฑ นาคา อีกทั้งเทพเจ้าซึ่งสิงสถิตอยู่ในสถานที่ใดๆ อีกทั้งท้าวอสุเรนทร์เรืองไกรศรแดนสรวงนครยักษา...)
“พวกมนุษย์...กำลังอัญเชิญท่านพี่งั้นรึ ด้วยเหตุใดกันเล่า?” ด้วยชื่อที่ถูกกำหนดตามเสียงเรียก ทำเอาอสุราไม่ยอมที่จะหยุดซักไล่เลียงด้วยความสงสัย ซึ่งเราเองก็ได้มองตอบนัยน์ตาเจ้าสงสัยของผู้น้องกลับไป อย่างไม่รู้จะหาอะไรมากล่าว
เหตุเพราะเสียงเรียกดังกล่าวมีชื่อเรียกเราปะปนมากับเสียงแว่ว หากยืดยาดคงดูเป็นการเสียนิสัยมิใช่น้อย
ด้วยประการฉะนี้ เราจึงไม่รอรี รีบลุกจากที่พัก ย่างกรายมุ่งไปหาแหล่งกำเนิดเสียงโดยไวว่อง โดยมีน้องชายคอยติดตามไม่แคล้วคาด ก่อนพบว่าห่างออกมา ณ.บริเวณลานกว้างหน้าพระพุทธองค์ปูนปั้นยักษ์ ยามนี้เกลื่อนไปด้วยปุถุชนแต่งกายสะอาดตากำลังรวมประชุม
(เทพยาดาฟ้าดิน อีกทั้งท้าวอสุเรนทร์และหมู่ยักษาล้นบารมี เมื่อมาถึงแล้วจงรับเครื่องเซ่น ทั้งของคาวและของหวาน หมากพลู น้ำชาและน้ำจัณฑ์...) ช่วงเวลาเดียวกับเสียงเชื้อเชิญสิ้นสุดลง เท้าของเราก็เดินผ่านปุตุชนมากหน้าก่อนหยุดลงข้างพราหมณ์เมืองมนุษย์ชุดขาวผู้เรียก
เบื้องหน้ามีสำรับกับข้าวกับปลาวางคอยท่าเอาไว้อย่างตระการตา อีกทั้งน้ำร้อนน้ำชาและน้ำจัณฑ์ มีบายศรีจัดวางสำหรับต้อนรับเราราวเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่โต จนอดครุ่นคิดพินิจพิจารณาไม่ได้ว่า เหตุใด มนุษย์เหล่านี้จึงได้เตรียมการอย่างโอ่อ่า ดั่งล่วงรู้ถึงการมาเยือนเมืองมนุษย์ของเราได้เช่นนี้
เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องสายเครื่องใหญ่ซึ่งดังคลออยู่ไม่ห่างจากสำรับกับข้าวกับปลา ทำเรารู้สึกพึงพอใจ ยินยอมน้อมรับคำเชิญ ด้วยการย่อตัวลงนั่งในท่าตั้งชันขาเพื่อสดับฟังเพลงแสนหวานที่เหล่ามนุษย์จัดหาไว้ให้ โดยมีน้องชายทิ้งกายนั่งลงเคียงคู่
อนึ่ง เพราะเราเป็นยักษ์ มีความสามารถในการอิ่มทิพย์ได้ไม่ต่างจากเทวดาตนอื่น อาหารในเมืองมนุษย์จึงไม่จำเป็นหรือต้องตาต้องใจเราเสียเท่าไหร่
อย่างไรเสีย เราก็ไม่ได้เสียมารยาทที่จะปฏิเสธรสชาติน้ำจัณฑ์ของแดนมนุษย์หรอกนะ
นั่งจิบน้ำจัณฑ์ไปได้ไม่กี่เพลา บริเวณพื้นที่กว้างก็ปรากฏนางฟ้านางสวรรค์พาการออกมาร่ายรำตามทำนองเพลงอย่างอ่อนช้อยสมเป็นการงานเฉลิมฉลองการมาของเราอย่างสมเกียรติ ทว่า เราก็ยินดีปรีดาอยู่ได้ชั่วประเดี๋ยวเดียว เมื่อนางสวรรค์ตนสุดท้ายก้าวเท้าร่ายรำมาหยุดอยู่เบื้องหน้าห่างจากพื้นที่นั่งของเราไปเพียงไม่กี่คืบ
ใบหน้าของนาง ดูสวยสง่ากว่านางไหนๆที่กำลังฟ้อนรำอยู่โดยรอบ...
เราต้องเสน่ห์นางราวกับถูกร่ายมนต์ ตั้งแต่เรือนผมดำดกที่มวยเกล้าสูงประดับด้วยปิ่นทอง ใบหน้าโครงสวย นัยน์ตาโตส่องประกาย หรือกระทั่งริมฝีปากแดงรูปกระจับ หรือแม้แต่ความอ่อนหวาน อ่อนช้อยของมือไม้ขณะร่ายรำไปตามเสียงจากเครื่องสายเครื่องใหญ่
ทุกส่วนของนางต้องตาเราจนไม่สามารถลดตามองไปทางอื่น...
“ท่านพี่...ท่านเห็นเหมือนน้องหรือไม่?” หากแต่เสน่ห์ที่มากล้นของนาง ก็ไม่อาจล่อลวงตาเราให้จ้องมองด้วยความเสน่หาได้นานนัก
ยิ่งด้วยน้องชายคู่บารมีเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเพราะสิ่งที่ยลด้วยตาเปล่าด้วยแล้ว “นางสวรรค์ตนนี้...มิใช่ไอ้กุมภัณฑ์หรอกรึ?”
เราก็ยิ่งฟื้นคืนสติได้ว่องไวขึ้น...
ซึ่งยามนั้นดันเป็นจังหวะเดียวกับเสียงของผู้เชื้อเชิญเอ่ยขึ้น พานต้องหันไปขึงตามอง
(หวังว่าท่านท้าวอสุเรนทร์จะอิ่มเอมกับการแสดงของนางรำและกับข้าวกับปลาที่กองถ่ายทุกคนมอบให้ หากท่านเปรมปรีกับสำรับและการแสดงแล้ว ท่านจงช่วยบันดาลทุกอย่างให้แคล้วคาด ปลอดภัย ดำเนินไปในทิศทางที่ดีด้วยเถิด...สาธุ สาธุ สาธุ!) ได้ยลยินเพียงเท่านั้น โทสะและความโกรธแค้นที่สั่งสมผ่านกาลเวลามาร่วมหลายหมื่นปีก็อุบัติขึ้น
ตึง!
จอกน้ำจัณฑ์ในมือถูกวางกระแทกลงคืนสู่ที่เดิม ก่อนที่งานเฉลิมฉลองต้อนรับจะถูกเราพังพินาศลงภายในพริบตา ด้วยสองมือที่พุ่งเข้าล้มโต๊ะสำหรับจัดเลี้ยงลง จนพังพินาศให้สมหมายในอารมณ์ โดยไม่ลืมประกาศก้องอย่างเกรี้ยวกราดและหนักแน่น
“กูมิกิน!!!”