ปฐมบท ตอน กำเนิดเมรี

3510 คำ
มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวอสุเรนทร์ไกรศรี กษัตรีศูรนครยักษา รู้ถึงความโศกเศร้าและโศกา แดนมนุษย์เทวดาถูกย่ำยี ด้วยอัปรีย์ยักษีกุมภัณฑ์ บัดนั้นอนุชาคู่ศึกนึกใจกล้า หมายช่วยพระเชษฐาเรืองศรี หมายจะล้างยักษากาลกิณี ไม่รอรีรีบคว้ากระบองตาล ............... ครั้นถึงแดนโศกา ท้าวอสุราสำแดงกำลังหาญ กระทืบบาตรวาดฤทธาเดินเยื้องย่าง สองมือพลางกวัดแกว่งคันศร หมายราญรอนชีวันดัสกร ด้วยคมศรให้ม้วยดิ้นสิ้นชีวา แล้วจึงว่าวาจาสิทธ์ เหวยไอ้อัปรีย์ยักษ์ไร้ฤทธิ์กุมภัณฑ์! ไฉนตัวมึงนั้นต่ำช้านัก ฤามีฤทธิจักรเกรียงไกรจึงโอหัง ทำลายพังทั้งธานินและชีวี ไร้ปราณีอาทรและเมตตา อหังการ์ไม่สดับรับฟังใคร มึงนั้นควรมลายไปเป็นธุลี ............... เมื่อนั้น กุมภัณฑ์ยักษีเจ็บหนัก ล้มลงหน้าพระพักตร์ท้าวยักษา โดนคมศรปักทะลุพระอุรา หลั่งน้ำตานอนตรมระทมกาย ก่อนสิ้นชีพชีวาวายมลายสิ้น ไม่แคล้วได้ยลยินเสียงประกาศ ไอ้กุมภัณฑ์ไร้อำนาจน่าสมเพช! ไร้มนต์เวทฤทธาอันเรืองศรี ดั่งมฤคีให้กูฆ่าในไพรสัณฑ์ ชาตินี้มึงนั้นเรืองเดชไพศาล ไล่ระรานร้อนรนทั่วธรณิน จงไปอุบัติสิ้นเสียในชาติใหม่ ให้เป็นชนมีสองมือและสองเท้า “กูจะตามเฝ้าราญรอนชีวา” {คำแปล : วันหนึ่งท้าวอสุเรนทร์เจ้าเมืองนครยักษ์ ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องเดือดร้อนของแดนสวรรค์และแดนมนุษย์ซึ่งถูกยักษ์มารจิตใจโหดร้ายอย่างกุมภัณฑ์ทำลาย จึงคิดที่จะออกไปปราบ นั่นจึงทำให้อสุราน้องชายของท้าวอสุเรนทร์ ตัดสินใจออกร่วมศึกเคียงบ่าเคียงไหล่พี่ชาย โดยมีเป้าหมายฆ่าภุมภัณฑ์ให้ตาย เมื่อยกทัพมาถึง ท้าวอสุเรนทร์ก็แสดงพลังอำนาจของตนที่มีมากกว่ายักษ์ตนไหน หยิบคันธนูซึ่งมีอิทธิฤทธิ์คู่กายเพื่อฆ่ากุมภัณฑ์ ทันทีที่ลูกศรของธนูยิงถูกศัตรู ท้าวอสุเรนทร์จึงพูดกับกุมภัณฑ์ด้วยความโกรธแค้นว่า ทำไมกุมภัณฑ์ถึงทำตัวชั่วช้านัก หรือเพราะว่ามีฤทธิ์มาก จึงได้พังทำลายเมืองและปลิดชีพชีวิตคนอื่นเป็นเรื่องสนุก ไม่ฟังเสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิตของใคร สมควรแล้วที่กุมภัณฑ์ต้องตาย พอกุมภัณฑ์ได้ยิน ก็ทิ้งตัวลงตรงหน้าท้าวอสุเรนทร์ แต่ก่อนที่ลมหายใจของกุมภัณฑ์จะหมดลงเพราะฤทธานุภาพของคมศร หูของกุมภัณฑ์ยังคงได้เสียงคำปรามาสจากเจ้าเมืองนครยักษ์ว่า กุมภัณฑ์ตอนไม่มีอำนาจนั้นดูไม่ต่างจากกวางป่าที่รอเวลาถูกฆ่า อีกทั้งท้าวอสุเรนทร์ยังสาปส่งไล่กุมภัณฑ์ไปเกิดใหม่ ให้มีร่างกายเป็นมนุษย์ธรรมดาไร้พลังอำนาจใด โดยตนจะตามไปฆ่าให้ตาย เฉกเช่นที่กุมภัณฑ์เคยทำกับมนุษย์และเทวดาตนอื่นในชาตินี้ } กรุงเทพมหานคร ปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ เวลา ๐๗.๑๕ นาฬิกา เสียงเครื่องสายทำนองเพลงจันทร์ ดังคลอไปทั่วห้องโถงใหญ่ของชมรมนาฏศิลป์ ภาพจากกระจกเงาสะท้อนให้เห็นเรือนร่างของหญิงสาวในชุดโจงกระเบนแดง เกล้าผมมวยสูง ขณะเคลื่อนไหวฟ้อนรำตามท่วงทำนองเพลงอย่างอ่อนช้อยพานให้ผู้ที่เห็นท่าร่ายรำเหมือนดั่งถูกสะกด นัยน์ตากลมโตคู่สวยชนิดที่ไม่ต้องแต่งสีสัน ริมฝีปากทรงกระจับได้รูปเคลือบด้วยลิปกลอสสีอ่อน ดูรับและเข้ากันดีกับใบหน้าเรียวรูปไข่สไตล์หญิงไทยและผิวพรรณขาวผ่อง “พี่เมรำสวยเนอะแก มือไม้งี้อ่อนไปหมดเลย...” “แหม ก็พี่เมเป็นถึงอดีตนางรำของมหา’ลัยนี่ จะไม่รำสวยได้ยังไง” เสียงซุบซิบชมเชยที่ดังขึ้นจากกลุ่มนักศึกษาซึ่งกำลังช่วยกันเช็ดทำความสะอาดเครื่องดนตรีไทยภายในห้องนั่น ไม่ได้ทำให้ฝ่ายถูกชมเสียสมาธิกับการซ้อมรำของตนลงเลยแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเธอกำลังยิ้มอย่างนึกเขิน “แล้วทำไมพี่เขาต้องมาซ้อมรำที่ห้องนาฏศิลป์มหา’ลัยเราแต่เช้าตรู่ทุกวันด้วยอ่ะ” “เอ้าแก! ก็พี่เมย์ได้รับบทนางเอกละครดวงหทัยยักษ์แถมต้องรำในงานบวงสรวงเปิดกล้องวันนี้ด้วย ก็เลยต้องมาอาศัยซ้อมรำที่นี่ หัดตามข่าวบันเทิงบ้างสิยะ!” และนั่นคือเหตุผลทั้งหมดตลอดหนึ่งเดือนเต็ม ที่ทำให้ฉัน เม หรือ เมรี ต้องพาตัวเองมาซ้อมรำอยู่ในห้องนาฏศิลป์แห่งนี้ทุกวี่วัน... เพราะได้รับบทนางเอกละครพีเรียดชื่อดังซึ่งถูกนำกลับมาใหม่ อีกทั้งเพราะเคยเป็นนางรำประจำมหาวิทยาลัยนาฏศิลป์มาก่อน ทางกองถ่ายจึงขอให้ฉันช่วยรำถวายท้าวอสุเรนทร์ตอนงานบรวงสรวงเปิดกล้อง แน่นอนว่าฉันไม่ได้ปฏิเสธ อะไรที่ทำแล้วจะทำให้ฉันดูส่องสว่างและเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวเองในวงการมายา เชื่อเถอะว่าฉันทำทุกอย่าง... “แต่จะว่าไปพี่เมเนี่ยก็มีข่าวไม่ดีเยอะเหมือนกันนะ…” “ข่าวไม่ดีอะไรเหรอ?” “ก็ที่ว่าชอบวีนนักข่าว วีนช่างแต่งหน้า ประหนึ่งตัวเองเป็นนางพญาสายบันเทิงไง” “ผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยแบบพี่เมเนี่ยนะ?” “เออดิ เห็นข่าวลือในเว็ปบอกว่า ที่พี่เมได้รับเล่นละครเรื่องนี้ ก็เพราะผู้จัดการยัดเงินใต้โต๊ะให้ผู้กำกับด้วย แล้วก็นะ...ในเน็ตยังบอกอีกว่าพี่เมแกไม่ได้เป็นสาวหวานหรอก นิสัยจริงอ่ะขี้วีนสุดอะไรสุดเหมือนยักษ์สมชื่อเลย...” กึก.. ฉันหยุดเสียงซุบซิบต่อว่าดังกล่าวของนักศึกษากลุ่มเดิมลงด้วยการหยุดร่ายรำแล้วตรงปรี่ไปกดปิดเครื่องเล่นซีดีลง ซึ่งมันได้ผล พวกเธอรีบมองหน้ากันเลิกลักอย่างคนมีความผิด การที่เห็นท่าทางกระวนกระวายของเด็กสองนั้นมันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาเขม้นมองพวกเธอแสดงความไม่ชอบใจให้รับรู้ แต่ก็แค่ครู่เดียว ก่อนตัดสินใจหยิบข้าวของของตัวเองเดินทิ้งส้นปึงปังออกจากห้องนาฏศิลป์ไปทั้งๆอย่างนั้น ซึ่งขณะเดียวกันนั้น หูซึ่งใช้การได้ดีนั้นยังคงได้ยินเสียงต่อว่าลับหลัง “สงสัยข่าวลือที่คนพูดกันว่านิสัยเหมือนนางยักษ์ในเน็ตท่าจะจริงว่ะ” ตึก! ตึก! เดินคล้อยหลังออกจากห้องนาฏศิลป์มาได้ไม่เท่าไหร่ มือข้างถนัดก็รีบเปิดกระเป๋าสะพายราคาแพงหยิบสมาร์ทโฟนออกมาทันทีด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด จากนั้นก็กดโทรออก เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ ยิ่งอยู่ในวงการนานเท่าไหร่อีกทั้งยังเป็นที่จับตาของสังคม ข่าวลือเสียๆหายๆก็ยิ่งมีมากขึ้นจนน่าหงุดหงิด โดยเฉพาะพักหลังมานี้ฉันเจอแต่ข่าวเสียหาย บ้างก็ว่าฉันสร้างภาพบ้างล่ะ บ้างก็ว่าฉันขี้วีนบ้างล่ะ บ้างก็บอกเป็นแค่นางเอกในจอนอกจอยิ่งกว่าตัวร้ายบ้างล่ะ ไหนจะข่าวคาวกับบรรดาพวกพระเอกที่เคยเล่นละครร่วมกันบ้างล่ะ เพลีย! พูดก็พูดเถอะนะ อีพวกพระเอกที่เคยเล่นละครร่วมกันมา แค่เจียดเวลาไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อยังยากเลยแล้วจะเอาเวลาที่ไหนคลุกคลีให้ตัวเองเป็นข่าวฉาวได้ ส่วนเรื่องที่กล่าวหาว่าฉันเป็นพวกขี้เหวี่ยงขี้วีนเหมือนนางยักษ์ บอกเลยว่าฉันไม่แย้งอะไรทั้งสิ้น เพราะนั่นน่ะมันนิสัยจริง ชื่อก็บอกอยู่ว่า เมรี ใช่ค่ะ เมรี ชื่อฉันคือชื่อของยักษ์ เนื่องจากคุณแม่ท่านชอบเรื่อง พระรถ-เมรี มาก จึงหยิบชื่อของนางยักษ์มาตั้งเป็นชื่อของลูกสาวตัวเอง ไม่ใช่แค่ฉันหรอกที่มีนิสัยเหมือนยักษ์ ขี้โมโห ขี้โวยวาย ขี้เหวี่ยงและขี้วีน แต่มนุษย์ทุกคนก็เป็นกันทั้งนั้น ทุกคนล้วนมีอารมณ์เหมือนยักษ์ในใจกันทั้งสิ้น ลองคิดดูสิ ถ้าหากเราสั่งกำชับงานไว้แล้วแต่พอถึงเวลาจริงกลับโดนคนจ้างงานเบี้ยว ทำไม่ตรงสเป็กตามที่ตกลงกันไว้ มันไม่น่าโมโหหรือไง แล้วฉันผิดด้วยเหรอ หากจะโวยวายเพื่อทวงสิทธ์ของตัวเอง? แล้วก็นะ...อีเรื่องสร้างภาพอะไรนั่น ถ้าหากว่า เจ๊ขวัญ ผู้จัดการส่วนตัวไม่ขอร้องฉันให้ใจเย็นกับทุกเรื่องและข่าวแย่ๆที่ถาโถมเข้ามาล่ะก็ พวกนักข่าวที่ชอบจู้จี้ สอดรู้สอดเห็นพวกนั้นคงโดนฉันด่าออกสื่อไปหมดแล้วล่ะ นี่แหละค่ะ เขาเรียกว่าการสวมหน้ากากเพื่ออยู่รอดในวงการมายา! [จ๋าเม เจ๊รออยู่ตรงลานจอดรถแล้วนะ] เสียงหวานของผู้จัดการลอดดังผ่านหูทันทีที่เธอกดรับสาย “เจ๊! รู้ข่าวที่คนในเน็ตพูดเรื่องเมหรือยัง?” ส่วนฉันก็ไม่รอช้าที่จะถามใส่อารมณ์ตามความรู้สึก [ข่าวอะไรอีกล่ะทีนี้?] “ก็ข่าวที่บอกว่าเจ๊ยัดเงินใต้โต๊ะให้ผู้กำกับรับเมเล่นละครเรื่องดวงหทัยยักษ์ไง” [อีกแล้วเหรอ!? ต้องเป็นฝีมือไอ้ณภัทรแน่ๆ!] ถ้าพูดถึงผู้ชายคนนี้ ณภัทร เขา คือคนที่ฉันและเจ๊ขวัญเกลียดชังที่สุดในวงการบันเทิงเลยก็ว่าได้ เขาเป็นนักข่าวสายบันเทิงที่ชอบเขียนข่าวซุบซิบดารา อีกทั้งยังชอบเปิดโปงเรื่องส่วนตัวของดาราที่กำลังตกเป็นที่สนใจอยู่ในช่วงเวลานั้นเพื่อกอบโกยเข้ากระเป๋าอีกด้วย [เอาเป็นว่าเรารู้กันอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไรเนอะเม แต่ตอนนี้เมต้องรีบลงมาหาเจ๊ที่รถก่อน เดี๋ยวเราจะไปไม่ทันพิธีบวงสรวง ไหนเมจะต้องแต่งหน้าแต่งตัวอีก] “ค่ะๆ เมกำลังจะลงไป” [ดีจ้ะ รีบๆไปให้ถึงวัด เราจะได้รีบแก้บนด้วยเลย รีบหน่อยล่ะเดี๋ยวพวกนักข่าวจะมาเจอก่อน] ใช่ค่ะ! ได้ยินไม่ผิดหรอก ก่อนหน้านี้เดือนหนึ่งฉันกับเจ๊ขวัญพากันไปบนเอาไว้ที่วัดสำหรับจัดพิธีบวงสรวงเปิดกล้องวันนี้ ส่วนเรื่องที่ขอไว้ ก็นี่ยังไงล่ะคะ ‘ บทนางเอกของเรื่องดวงหทัยยักษ์ !’ เวลาต่อมา... วัดแห่งหนึ่งกลางกรุงฯ เซียมซีใบที่๒๗ ถูกใบนี้มีแต่ร้ายในตำรา เป็นยักษาทำเทวาร้อนต้องอาดูร กรรมเพิ่มพูนจึงติดตัวชั่วนักหนา อันลาภอย่าหมายไม่ได้เลย ที่หวังไว้ไม่สำเร็จเสร็จสักสิ่ง มีแต่ยิ่งร้ายล้ำจำเฉลย ทำสิ่งใดก็จะไม่ได้งอกเงย อยู่เฉยๆดีกว่าอย่าวุ่นวาย “เฮงซวย!” ฉันหลุดสบถดังไปทั่วพระอุโบสถอย่างหัวเสีย เมื่อผลคำทำนายเซียมซีหลังทำบุญออกมายอดแย่ถึงขั้นติดลบ โชคดีที่บริเวณนั้นไม่มีใคร นั่นเลยทำให้เจ๊ขวัญซึ่งนั่งอยู่ข้างกันต่อว่าขึ้นทันที “เมรี หนูจะมาสบถหยาบคายในวัดในวาแบบนี้ไม่ได้นะลูก หนูต้องเป็นนางเอก” “โธ่เจ๊! ดูคำทำนายสิ เฮงซวยไปหมดทุกอย่างจริงๆอ่ะ” ฉันแย้งพลางยื่นกระดาษแผ่นเล็กในมือให้เธอดูไปด้วย “มันก็แค่คำทำนายแค่นั้นแหละจ๊ะ...เจ๊รู้ว่ามันทำยากเพราะเมไม่อยากสร้างภาพ แต่ถ้าเมทำตามที่เจ๊บอก ทุกอย่างมันจะออกมาดีกับตัวและงานของหนูนะจ้ะ” สิ้นเสียงบอกเล่าอย่างใจเย็นและเต็มไปด้วยความเข้าใจ ฉันก็เงียบลง และอดคิดไม่ได้ ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน ที่ได้ผู้จัดการส่วนตัวอย่างเจ๊ขวัญคอยดูแลให้ทุกเรื่อง นอกจากคนที่บ้านแล้ว ก็คงมีแค่เธอนั่นแหละที่เข้าใจว่าฉันเป็นคนแบบไหนและต้องการอะไร... “เอาเป็นว่า ถ้าเมโอเคกับอารมณ์ตัวเองแล้ว เดินอ้อมพระอุโบสถไปทางขวาเนอะ พวกช่างแต่งหน้าน่าจะตั้งกองกันอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวเจ๊จะออกไปรับหน้านักข่าวแทนเมให้ก่อน” อีกครั้งที่เจ๊ขวัญเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กในการดูแลของเธอไม่พูดอะไร ก่อนขยับตัวลุกและปลีกตัวเดินออกไปจากภายในพระอุโบสถตามอย่างปากว่า ทิ้งฉันให้นั่งสงบสติกับกระดาษทำนายผลเซียมซีในมือเพียงลำพัง พอได้ลองอยู่คนเดียวต่อหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ท่ามกลางความร่มรื่นและเงียบแล้ว ทุกอารมณ์ที่เคยมีก็เหมือนจะถูกทำให้สงบลงตามบรรยากาศไปด้วย การที่เป็นเช่นนั้นจึงทำให้ความสนใจของฉันจึงไม่ได้จดจ่ออยู่กับผลเซียมซีในมืออีกต่อไป แต่ไม่ใช่ในหัวซึ่งกำลังคิดย้อนความ ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่นังเมรีไม่สามารถใช้ชีวิตหรือนิสัยปกติของตัวเองในที่สาธารณะได้และต้องคอยให้สัมภาษณ์แก้ข่าวให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วฉันควรจะได้ทำงานในสายวิชาที่จบมา เช่นการเป็นครูนาฏศิลป์แท้ๆ แต่เหมือนจู่ๆ ชีวิตก็พลิกผัน จากดินสู่ดาว กลายมาเป็นนางเอกชื่อดังของวงการบันเทิงไปเสียได้ การเป็นคนมีชื่อเสียงมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเหมือนกันนะ ข้อดีของมันก็คือทำให้ฉันมีงานมีเงินเข้าตลอดเวลาไม่ขาดอีกทั้งยังเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ข้อเสียของมันคือ ฉันไม่สามารถแสดงตัวตนของตัวเองที่เป็นต่อหน้าสาธารณะได้ จำต้องปกป้อง เก็บซ่อนไว้ ดู ไม่ต่างอะไรไปจากที่ชาวเน็ตกล่าวหาว่าสร้างภาพจริงๆนั่นแหละ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อชีวิตเดินทางมาทางนี้อย่างเต็มตัวไปแล้ว ครั้นจะกลับลำก็คงไม่ทันจริงไหม... พอคิดมาถึงตรงนี้ ฉันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จำต้องรีบยกมือขึ้นพนมแนบอก สายตามองจ้องไปยังพระพุทธรูปองค์ยักษ์เบื้องหน้า ขณะที่ปากเอ่ยว่าออกไป “สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ.... เรื่องแก้บน เดี๋ยวหนูไว้รำถวายท่านพร้อมรำเปิดพิธีบวงสรวงเลยแล้วกันนะคะ สาธุ !” ว่าจบฉันก็รีบก้มกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบพระอุโบสถทันที ทว่า วินาทีที่มือกำลังจะจรดแตะลงกับพื้นเป็นหนสุดท้าย ตอนนั้นเองจู่ๆ บรรยากาศด้านนอกพระอุโบสถก็เริ่มเปลี่ยนไปจนคนที่นั่งอยู่ภายในรู้สึกได้ จากที่เคยสงบเงียบมีเพียงสายลมเอื่อยเย็นในตอนแรก ยามนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นลมพายุ ที่พัดต้นไม้โดยรอบให้เอนไหวจนน่ากลัว ภาพที่เห็นจากด้านในพระอุโบสถ ทำอดเป็นห่วงพิธีบวงสรวงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงไม่ได้ จำต้องรีบลุกตรงไปยังประตูพระอุโบสถเพื่อมองสภาพอากาศด้านนอกเพื่อดูลาดเลาฟ้าฝน ท้องฟ้าซึ่งเคยสว่างสดใสในช่วงสายของวัน ยามนี้ถูกเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วคล้ายกับบอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีอาจจะมีฝนเทลงมา ด้วยความที่เป็นห่วงพิธีบวงสรวงที่มีมากกว่าความสงสัย ส่งผลให้ฉันตัดสินใจพาตัวเองก้าวข้ามประตูพระอุโบสถออกไปอย่างรีบร้อน ทว่า... เปรี้ยงงง!!! ฟึ่บ! “ว้ายยยยย!” เสียงฟ้าซึ่งผ่าลงมาอย่างรุนแรงในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณที่อยู่ ทำฉัน จำต้องหยุดทุกการเคลื่อนไหวลงและหวีดเสียงออกมาด้วยความตกใจพลางรีบใช้มือขึ้นปิดหูสองข้างโดยอัตโนมัติทันที ขณะเดียวกันนั้น ความรุนแรงของสายฟ้าลูกดังกล่าวพลอยให้พื้นดินโดยรอบเกิดการสั่นสะเทือนคล้ายกับเกิดแผ่นดินไหว จำต้องรีบคว้าเข้ากับขอบประตูพระอุโบสถเอาไว้ด้วยความตกใจเพื่อหาหลักยึด ฟ้าผ่าเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน!? สถานการณ์แปลกประหลาดยามนี้ทำเอาความคิดในหัวที่เคยมีกระเจิดกระเจิงไร้ทิศทางจนไม่สามารถประติดประต่อเรื่องราวใดได้ ต่างจากสายตาซึ่งพยายามกวาดมองหาที่มาของจุดซึ่งถูกฟ้าผ่าอย่างนึกหวาดหวั่นในอก แต่แล้วไม่นาน มันกลับเป็นฉันเสียเองที่ต้องรู้สึกประหลาดใจ เมื่อบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนด้วยลมพายุและเสียงฟ้าผ่าน่ากลัวเมื่อครู่ ยามนี้กลับค่อยๆ เปลี่ยนไป เมฆสีทึบซึ่งเคยปิดท้องฟ้าจนมืดมิดเริ่มเคลื่อนตัวกระจายจนกลายเป็นฟ้าเปิด ส่องแสงสว่างสดใสราวกับไม่เคยเหตุอาเพศใดขึ้นมาก่อน ฉันค่อยๆเกาะขอบประตูพระอุโบสถยันตัวให้กลับลุกขึ้นมายืนอีกครั้งอย่างนึกประหลาดใจไม่หาย แต่ไม่ว่าจะมองบรรยากาศรอบตัวเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนทุกสิ่งเป็นปกติ ละ แล้วเมื่อกี้ที่มีลมพายุกับเสียงฟ้าผ่าล่ะ มันคืออะไร? เพราะหาเหตุผลให้กับสิ่งเหนือธรรมชาติก่อนหน้านี้ไม่ได้ เชื่อเถอะว่า ในสถานการณ์แปลกๆ เช่นนี้ การอยู่คนเดียวนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องดีเท่าไหร่ คิดได้แบบนั้น ฉันจึงไม่รอช้า รีบพาตัวเองสวมรองเท้าแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากพระอุโบสถใหญ่ทันที ตอนนี้การพาตัวเองไปอยู่รวมกับคนของกองถ่ายน่าจะเป็นเรื่องที่ดีต่อสภาพจิตใจฉันที่สุด! ตึก! ตึก! ตึก! เท้าสองข้างเดินจ้ำไวไปตามทางเดินโดยเลือกเดินอ้อมพระอุโบสถไปทางขวาตามอย่างที่เจ๊ขวัญบอกทางไว้ก่อนหน้านี้ ทว่า ยังไม่ทันเดินพ้นออกจากเขตพระอุโบสถได้อย่างที่ตั้งใจ เท้าที่ก้าวเดินไวกลับต้องมีอันสะดุดลง กึก... เมื่อสิ่งที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้านั้นดัน เป็นร่างสูงของใครคนหนึ่ง เขาแต่งกายในชุดเครื่องทรงยักษ์เต็มยศราวหลุดออกมาจากละครจักรๆวงศ์ๆที่ยังไม่เปิดกล้อง ถ้ามองไม่ผิด ดูเหมือนว่าในมือของเขาจะกำคันธนูเอาไว้เสียด้วย ใครน่ะ พวกนักแสดงประกอบฉากเหรอ? “นี่นาย!” เพราะคิดว่าเขาอาจจะเป็นหนึ่งในพวก Extra หรือคนของกองถ่ายที่จะเข้าร่วมพิธีบวงสรวงวันนี้ ปากจึงพลั้งถามออกไปตามนิสัย ซึ่งมันคงดีกว่าหากฉันจะได้เพื่อนสักคนเดินไปรวมกับกองของพวกช่างแต่งหน้าให้รู้สึกอุ่นใจมากกว่าที่เป็น “ กำลังจะไปหาพวกคอสตูมเหรอ ไปด้วยกันไหม ?” คนถูกถามไม่ตอบ แต่เขาเลือกที่จะเหลียวหลังมองกลับมาอย่างช้าๆ จนกระทั่งสามารถมองเห็นดวงหน้าของอีกฝ่ายได้แบบเต็มสองตา เขาตัวสูงใหญ่มาตรฐานชายไทยโบราณ มีใบหน้าคมเข้ม คิ้วดำหนาดูดุดันสมเป็นชายชาตินักรบยามเมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องยักษ์เช่นนี้ อีกทั้งจมูกนั้นยังโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากบาง องค์ประกอบบนหน้าโดยรวมของเขาจัดว่าดูดีมาก ดูดีเสียจนอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจจะเป็นนักแสดงนำหน้าใหม่ของละครเรื่องนี้ด้วย... ทันทีที่เราทั้งคู่มีเผชิญหน้า สบสายตากันแบบตรงๆ คนตัวใหญ่ก็เริ่มแสดงปฏิกิริยาบนดวงหน้าหล่อคมให้เห็น ด้วยการเหยียดยิ้มมุมปากคล้ายกับชอบใจอะไร พร้อมกันนั้นยังพูดบางสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจออกมาด้วย “มึงหลบลี้คันศรกูมาอยู่นี่เองรึ ไอ้กุมภัณฑ์…” ไม่ใช่แค่พูดในสิ่งที่ทำเอาคนฟังถึงขึ้นงงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เขายังเดินย่างกรายเข้ามาหาทีละก้าวอย่างเชื่องช้าขณะที่ปากยังคงพูดภาษาแปลกๆออกมาไม่หยุด “มึงมันขลาดนัก ไม่สมชาติยักษ์ น่าสังเวช…” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าหรืออาจเพราะฉันยังช็อกกับเหตุอาเพศก่อนหน้านี้ไม่หายล่ะมั้ง ถึงได้รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินเบาๆ ในทุกฝีเท้าที่คนตัวใหญ่หน้าก้าวเข้าหา แต่ไม่นาน ฉันก็ต้องเป็นฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความตกใจอีกหน เมื่อชายแปลกหน้าหยุดเท้าลงโดยทิ้งระยะห่างระหว่างเราไว้เพียงสองเอื้อมมือ พลางยกคันธนูในมือขึ้นพร้อมลูกธนูและพูดบางอย่างขึ้น... บางฉันที่ฉันไม่เข้าใจจนรู้สึกหงุดหงิด “บัดนี้ถึงคราที่ชีวีมึงจักมลายสิ้นแล้ว ไอ้กุมภัณฑ์!” ด้วยเพราะวันนี้ฉันเจอเรื่องแปลกและน่าหงุดหงิดมามากพอจนเกิดจะรับไหวแล้ว สิ่งที่สมองตระหนักและตัดสินใจผ่านคำพูดและการกระทำของชายตรงหน้าจึงมีเพียงคำพูดตามนิสัยที่พอนึกได้ “น้องคะ พี่รีบ ไม่มีเวลาเล่นด้วยนะคะ ถามไปก็ช่วยตอบหน่อย!” “…” “เป็นแค่พวก Extar ยักษ์ประกอบฉาก อย่าเยอะค่ะ พี่ไม่ชอบ!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม