ครานั้น พิธีวินาศสันตะโร
ด้วยโทสะโมโหดั่งไฟสุม ปุตุชนกลัดกลุ้มหาที่ไป
ว่าเหตุใดฟ้าพิโรธและโกรธา ฤาเป็นเพราะน้ำร้อนน้ำชาไม่ต้องใจ
ฤาสำรับที่จัดไว้ไม่ใช่ประสงค์ ฤานางฟ้าร่ายรำไม่ตรงเจตจำนง
“ฝนและฟ้าจึงโกรธาไม่เป็นใจ”
ตึก! ตึก! ตึก!
“คุณเมรีคะ! ขอสัมภาษณ์หน่อยค่ะ!”
“ถ่ายไม่ได้นะคะ น้องเมรีต้องรีบไปเข้ากองค่ะ” เสียงของพวกนักข่าวที่ตามติดชีวิตฉันเสียยิ่งกว่าพวกปลิงทาก ถูกเจ๊ขวัญและบรรดาทีมงานกองถ่ายละครเรื่องดวงหทัยยักษ์ช่วยกันตัวออกห่าง
โดยได้ทีมงานบางส่วนช่วยเคลียร์ทางตรงหน้าซึ่งเต็มไปด้วยบรรดานักข่าวจากหลายช่องบันเทิงที่พยายามเบียดกันแย่งเข้ามาขอสัมภาษณ์และถ่ายภาพเพื่อนำไปทำสกู๊ปเด็ดให้คนทั่วไปได้มีเรื่องเม้าท์มอยกัน
“คุณเมรีคะ! รู้สึกอย่างไรที่รำเปิดพิธีบวงสรวงแล้วงานล่มบ้างคะ!?” เรื่องที่เป็นที่พูดถึงก็คงไม่พ้นงานพิธีบวงสรวงเปิดกล้องละครที่เกือบล่มเพราะพายุฝนฟ้าพัดเข้าพื้นที่จัดพิธี จนข้าวของล้มระเนระนาดเสียหาย ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวมานั้น เกิดขึ้นจังหวะเดียวกับที่ฉันออกมารำถวายเหล่าเทพยาดาพอดิบพอดี
และใช่! ฉันถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวซวยของพิธีและไม่เหมาะสมที่จะรับบทนางเอกของเรื่องมันเสียอย่างงั้น
“ขอโทษนะครับ น้องต้องเข้าฉากแล้ว…ยังถ่ายไม่ได้นะครับ”
“แล้วที่เขาบอกว่าภาพลักษณ์คุณเมรีที่เหมือนผู้หญิงแรงๆ ไม่เหมาะสมกับบทนางเอกซึ่งเป็นนางรำของละครเรื่องนี้ล่ะคะ คุณเมรีมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ?” สิ้นเสียงถาม เท้าที่เคยก้าวเพื่อหลบหลีกพวกนักข่าวก็มีอันต้องหยุดลง
ฉันเอียงหน้าหันไปยังเจ้าของคำถามเล็กน้อย ซึ่งการทำเช่นนั้นดูจะสร้างความตกใจให้เจ๊ขวัญและทีมงานกองถ่ายไม่ใช่น้อย
“เมว่าเรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่ที่ผลงานแสดงมากกว่านะคะ อยากให้ตัดสินหลังจากละครออนแอร์มากกว่า” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ฉันปริปากตอบคำถามของพวกนักข่าวอย่างใจเย็น
โชคดีที่ตอนนั้นฉันสวมแว่นกันแดดอำพรางใบหน้าไว้ ไม่เช่นนั้นนั้นพวกนักข่าวคนจะได้เห็นกันทั่วหน้า ว่าฉันที่โดนกล่าวหาตอนนี้แทบจะมองบนจนทะลุเปลือกตาออกมาได้อยู่แล้ว
“แล้วคุณเมรีมีความเห็นอย่างไรบ้างคะ ที่คนในโซเชียลว่าคุณเป็นตัวกาลกิณีของกองถ่ายละครจนทำให้พิธีบวงสรวงละครเกือบต้องล่ม”
“ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนนะคะ ฝนฟ้าก็ตกเกือบแทบทุกวัน เมว่าที่ลมพายุเข้าไม่น่าจะเกี่ยวกับเมหรอกค่ะ อยากให้ทุกคนลองใช้สติคิดตามกันนิดหนึ่งนะคะ” พูดจบ ฉันก็ยิ้มให้นักข่าวซึ่งกำลังรัวชัตเตอร์เล็กน้อยก่อนตัดสินใจเบือนหน้ามองตรงไปยังทิศทางที่ตัวเองควรไป
ไม่สนหรอกว่าคนในโซเชียลจะเอาเรื่องของฉันกับคำสัมภาษณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นตอนวันงานพิธีไปเชื่อมโยงกันหลังจากนี้ว่าอย่างไร ซึ่งฉันบอกเลยว่าไม่แคร์ โดยเฉพาะกับการกล่าวหามั่วๆโดยถือนักแสดงนำที่พวกเขาไม่ชอบมาเป็นประเด็น
แต่ขณะเดียวกันความคิดบางส่วนก็ดันย้อนแย้ง นึกถึงเรื่องเหนือธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นในวันพิธีไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับภาพใบหน้าคมคายแบบชายไทยซึ่งแววไว้ด้วยตาดุดันอยู่ตลอดเวลา ไหนจะน้ำเสียงบงบอกความเกรี้ยวกราดที่เขาใช้พูดนั่นอีก มาจนถึงตอนนี้ฉันอยากไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่เจอในวัดตอนนั้นจะเป็นเรื่องจริง
ที่บ้าก็คือ ฉันกลับไม่สามารถสลัดภาพใบหน้าโกรธเกรี้ยวของชายคนนั้นไปจากความคิดได้เลย...
บ้านทรงไทยหลังใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่แรกของการถ่ายทำละคร คือสถานที่ที่ฉันเดินตรงเข้ามา บริเวณกลางสวนสวย มีกลุ่มก้อนของทีมงานบางส่วนกำลังยืนมุงอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งถ้ามองไม่ผิดดูเหมือนจะมี พี่ช้าง ผู้กำกับละครเรื่องนี้นั่งรวมอยู่ด้วย
“สวัสดีค่ะ พี่ช้าง” ทันทีที่เดินเข้าไปถึง ฉันจึงไม่รอช้ารีบยกมือขึ้นไหว้เขาทันทีตามมารยาท ซึ่งเขารีบทักทายตอบโต้กลับมาทันทีเช่นกัน
“อ้าวเม มาเร็วกว่าที่พี่คิดนะเนี่ย”
“เมไม่อยากให้พี่กับทางทีมงานรอน่ะค่ะ เลยรีบมาก่อน” ฉันบอกยิ้มๆ ก่อนต้องสะดุดเข้ากับหนังสือปรัมปราเล่มเก่ากึกบนตักของพี่ช้าง ซึ่งกำลังเปิดค้างเอาไว้ เพราะเดาว่าหนังสือเล่มดังกล่าวอาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกทีมงานพากันมายืนมุงรอบตัวพี่ช้างแบบนี้ เห็นดังนั้นฉันจึงถาม “แล้วนี่...พวกพี่ดูอะไรกันอยู่เหรอคะ ดูตื่นเต้นเชียว”
“อ๋อนี่น่ะเหรอ?” พี่ช้างสะดุ้งนิดๆ พลางใช้มือตบลงบนหน้าหนังสือเบาๆ “พอดีวันก่อนพี่ลองหาข้อมูลของตัวละครที่เราจะถ่ายกันน่ะ เลยไปเจอเล่มนี้ในห้องสมุดมา”
“มันคืออะไรเหรอคะ?” ฉันแสร้งทำเสียงเป็นสนอดสนใจ พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆเบียดแทรกทีมงานคนอื่นเข้าไปอยู่ใกล้พี่ช้างให้มากที่สุด ก่อนพบว่าบนหน้าหนังสือเก่าเล่มนี้ มีแต่ตัวหนังสือยั้วเยี้ยจนลายตาไปหมด
ไม่ได้น่าสนใจตรงไหนเลยสักนิด...
“ตำนานท้าวอสุเรนทร์ยังไงล่ะเมรี...”
“อ๋อเหรอคะ?”
“ใช่ๆ มันเลยทำให้พี่รู้ว่ามีดกริชที่พี่เตรียมไว้มันผิดไปจากในตำนาน เพราะหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่าท้าวอสุเรนทร์ได้รับศรมาจากพระอิศวร...” ทว่า ยังไม่ทันที่พี่ช้างผู้กับกำจะทันได้พูดจนสิ้นเสียงดี จังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงหวานของผู้หญิงอีกคนดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ใช่ค่ะ...ความจริงแล้วท้าวอสุเรนทร์ไม่ได้ปลิดชีพยักษ์มารตนนั้นด้วยคมกริชแต่ว่าเป็นธนูถึงจะถูก...” คำพูดซึ่งเต็มด้วยหลักการและบอกถึงความรู้ที่เจ้าของประโยคมี ทำทั้งฉัน ทั้งพี่ช้าง รวมถึงทีมงานทุกคนเหลียวมองไปยังเจาของเสียงโดยพร้อมเพรียง
แล้วมันก็เป็นฉันเองที่ยิ้มร่าขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อบุคคลที่กำลังพากันเดินเข้ามาคือคนที่ฉันรู้จักและคุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี
คนแรกเธอชื่อ ไวเกล หญิงสาวชาวลูกครึ่งที่ทั้งชีวิตเกิดมาเพื่อสะสมความรู้เรื่องยักษ์ทุกประเภทไม่ว่าจะเทศหรือไทย ทำงานอยู่ที่สตูดิโอถ่ายภาพชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่วนอีกคนผู้เป็นเจ้าของคำพูดเรียบเรียงใจความที่พี่ช้างต้องการจะบอก เธอชื่อ ทับทิม ทำงานอยู่ในกรมศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญและรู้เรื่องวัฒนธรรมทุกประเภทที่เป็นของไทย โดยเฉพาะเรื่องตำนานและเรื่องเล่าตามวัดวาอารามน้อยใหญ่
ที่สำคัญเราทั้งสามคนนั้น ยังเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมจนจบมหาวิทยาลัยอีกด้วย
“ว่ายังไงคะพี่ช้าง หนังสือเล่มที่ดิฉันแนะนำไป บอกเล่าประวัติทั้งหมดของท้าวอสุเรนทร์ได้ดีเลยใช่ไหมคะ?”
“ชะ ใช่! ขอบคุณมากเลยนะครับคุณทับทิม” เขาตอบทับทิมไปอย่างนึกขอบคุณ ก่อนหันมาบอกฉัน “เมรีรู้จักสองคนนี้แล้วใช่ไหมครับ นี่คุณทับทิมกับคุณไวเกล ที่จะเข้ามาช่วยเรื่องจัดการชี้แนะแนวทางการปฏิบัติและเครื่องทรงต่างๆของตัวละครและดูแลเรื่องสถานที่การเข้าฉากให้แก่พวกเรา”
“รู้จักดีเลยล่ะค่ะ...สองคนนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียนของเมเอง” ฉันบอกยิ้มๆ โดยตายังคงมองจ้องเพื่อนรักทั้งสองคนไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าสำหรับทับทิมแล้ว เรื่องหน้าที่การงานดูจะมาเป็นอันแรก
แม้ว่าใบหน้าเรียวสวยดูอ่อนหวานแบบหญิงไทยของเธอกำลังปรากฏรอยยิ้มซึ่งให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ลอดผ่านปากเธอนั้นยังคงเป็นเรื่องงานอยู่ดี
“คันธนูของท้าวอสุเรนทร์ยังไม่แน่ชัดนะคะว่าเป็นสีอะไร บางตำราบอกว่าเป็นธนูแก้วเพชร 7 สี แต่บางตำราบอกว่าเป็นสีทอง…” เธอพูดพลางเดินก้าวเท้าเดินแทรกพวกทีมงานมาพร้อมกับไวเกล และหยุดเท้าลงอยู่ตรงหน้าพี่ช้าง ส่วนไวเกลทันทีที่เรามีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน เธอก็แสดงอาการดี๊ด้า รีบเข้ามากอดแขนไว้แน่นเหมือนตอนสมัยเรียนทันที “พี่ช้างลองเปิดหน้าถัดไปสิคะ ที่หน้านั้นจะบอกถึงช่วงการทำศึกระหว่างทหารยักษ์ของท้าวอสุเรนทร์ตอนสู้กับยักษ์มาร”
บางทีก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันนะ ว่าในหัวทับทิมเนี่ยจำเรื่องราวและสถานการณ์ต่างๆในหนังสือแต่ละเล่มขนาดนั้นได้อย่างไร...
“หน้านี้งั้นเหรอ...ท้าวอสุราสำแดงกำลังหาญ กระทืบบาตรวาดฤทธาเดินเยื้องย่าง สองมือพลางกวัดแกว่งคันศร...เออ! จริงด้วย ท้าวอสุเรนทร์ใช้ธนูปราบยักษ์จริงๆ” พี่ช้างอุทานออกมาด้วยเสียงตื่นเต้นหลังจากบ่นงึมงำตามตัวหนังสืออยู่ครู่สั้นๆ ก่อนหันไปทางทีมงานแล้วออกปากสั่ง “นี่ ให้คนไปเปลี่ยนอาวุธเข้าฉากจากกริชเป็นธนูแทนด้วย อย่าลืมล่ะ!”
“ค่ะพี่ / ครับพี่” สิ้นเสียงสั่ง เหล่าทีมงานซึ่งเคยยืนมุงอยู่ตรงนั้นต่างก็รีบแยกย้ายกลับไปทำงานของตัวเอง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ทีมงานบางส่วนซึ่งกำลังจัดเตรียมสถานที่สำหรับถ่ายทำ ฉัน ไวเกล ทับทิม และพี่ช้างไว้เพียงเท่านั้น
พี่ช้างซึ่งเป็นถึงผู้กำกับละครมีชื่อ ดูจะสนใจเนื้อหาในหนังสือเล่มเก่าเป็นอย่างมากโดยมีทับทิมซึ่งดูบ้างานไม่ต่างกันค่อยชี้แนะ อาจเพราะเขาคงต้องการให้ละครเรื่องนี้ออกมาดีที่สุดเพื่อสู้กระแสโจมตีหลังจากงานพิธีบวงสรวงเปิดกล้องเกือบล่มเมื่อวันก่อนก็ได้
ไวเกลเองที่ถูกวานมาช่วยเรื่องจัดเตรียมสถานที่จำต้องปล่อยแขนฉันออกแล้วช่วยทับทิมกับพี่ช้างดูเรื่องเนื้อหาชีวประวัติบวกกับสถานที่ที่จะหยิบยกมาใช้ในหนังไปด้วย คงมีแค่ฉันเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรในหน้าหนังสือเก่าๆเล่มนั้นเลย นอกจากเตรียมตัวสวมบทบาทนางรำตามเนื้อเรื่องและบทบาทการแสดงที่ได้รับมา
สิ่งที่ทำในตอนนั้นเพื่อแก้อาการเบื่อจึงเป็นการกวาดตามองไปรอบสวนสวยฆ่าเวลา ทั้งที่ทำเช่นนั้น แต่หูนั้นยังคงได้ยินเสียงของพี่ช้างซึ่งกำลังเปิดอ่านเนื้อเรื่องเพื่อศึกษาอยู่ดี
“ก่อนสิ้นชีพชีวาวายมลายสิ้น ไม่แคล้วได้ยลยินเสียงประกาศ…ไอ้กุมภัณฑ์ไร้อำนาจน่าสมเพช!”
“เฮือก!” แต่แล้วจู่ๆ ร่างทั้งร่างกลับต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อจังหวะที่เสียงของพี่ช้างดังแทรกเข้ามาในโสตประสาตนั้น สายตาดันสะดุดเข้ากับชายคนหนึ่งในชุดเครื่องทรงยักษ์ภายใต้ต้นไทรใหญ่ห่างจากจุดที่ยืนออกไปไม่ไกลนัก
เขากำลังร่ายรำเฉกเช่นกับการแสดงจำพวกโขน ในมือที่เขาถืออยู่นั้น ไม่ใช่กระบี่กระบองหากแต่เป็นคันธนูสีทองสวย
วินาทีที่ชายแปลกหน้าร่ายรำหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากันอย่างตรงๆ เขาก็เริ่มกระทืบเท้า พลางชี้นิ้วมายังจุดที่ฉันยืนอยู่ พร้อมกันนั้นหูสองข้างก็ยังได้ยินเสียงบทกลอนดังเข้ามาในโสตประสาตไม่หยุด
“จงไปอุบัติสิ้นเสียในชาติใหม่ ให้เป็นชนมีสองมือและสองเท้า...”
ที่น่าขนลุกก็คือเสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของพี่ช้างผู้กำกับ ไม่ใช่เสียงของทับทิมหรือไวเกล แต่เหมือนเป็นเสียงโกรธเกรี้ยวของชายในชุดเครื่องทรงยักษ์ตรงหน้าเสียมากกว่า
“กูจะตามเฝ้าราญรอนชีวา!”
นัยน์ตาทั้งสองข้างกลับต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างขีดสุด เมื่อชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างกำยำบริเวณใต้ต้นไทร ตัดสินใจตั้งคันธนูขึ้น ก่อนสำแดงอิทธิฤทธิ์เสกลูกธนูสีทองสวยให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาอีกครั้ง เฉกเช่นเดียวกับครั้งก่อนที่เขาเคยทำแสดงให้เห็นในวัด
หากแต่ครั้งนี้ การกระทำดังกล่าวไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อชายแปลกหน้าในชุดเครื่องทรงยักษ์ ยิงลูกธนูออกจากคันแบบไม่รอให้ฉันซึ่งตกเป็นเป้าหมายได้ทันเตรียมตัวเตรียมใจ
ฟุ่บ!
“กรี๊ดดดดดดดด” อาการตกใจต่อภาพหลอนตรงหน้า ส่งผลให้ฉันหวีดเสียงร้องออกมาอย่างนึกหวาดกลัว สัญชาติญาณเอาตัวรอดที่มีก็สั่งให้ร่างกายรีบทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันทีด้วยความความหวาดกลัว
“เมเป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“เมเป็นอะไรไปครับ!?” เสียงที่ดังตามมาหลังจากนั้นกลับไม่ใช่เสียงบทกลอนอย่างที่ได้ยินในตอนแรก แต่มันคือเสียงของพี่ช้างผู้กำกับและเพื่อนรักของฉันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยงานกองถ่าย
ไวเกลซึ่งอยู่ใกล้มากกว่าใคร รีบใช้มือช่วยพยุงตัวฉันซึ่งกำลังสั่นเทิ้มในอาการหวาดกลัวให้ลุกกลับมายืนขึ้น พร้อมทั้งเอ่ยปากถามคล้ายกับเป็นห่วง
“เป็นไรป่าวแก?” ฉันไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนสาว
เพราะขณะเดียวกัน แม้จะรู้สึกหวาดกลัวกับภาพหลอนเมื่อครู่ แต่สายตานั้นยังคงไม่สามารถลดละไปจากบริเวณใต้ต้นไทรเบื้องหน้าได้ลง แม้ว่ายามนี้ร่างสูงใหญ่ของชายไทยในชุดเครื่องทรงยักษ์จะหายไปจากพื้นที่บริเวณนั้นแล้วก็ตาม
“พี่ว่า พาเมไปนั่งพักใต้บ้านเรือนไทยก่อนดีกว่า เดี๋ยวใกล้เวลาพี่จะให้ช่างแต่งหน้าเข้าไปตามก็แล้วกัน” หูน่ะได้ยินเสียงของพี่ช้างบอกเช่นนั้น แต่ว่าคนรับปากน่ะกลับเป็นทับทิมเพื่อนของฉันเอง
แรงดึงเล็กน้อยจากมือของไวเกล ทำขาทั้งสองข้างก้าวเดินไปตามแรงที่เพื่อนสาวเป็นผู้กำหนด ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่สามารถละสายตาไปจากภาพใต้ต้นไทรใหญ่ต้นเดิมได้อยู่ดี ทว่า วินาทีที่ตั้งใจจะเลือนสายตาไปทางฉันกลับมองเห็นร่างบางของหญิงสาวอีกคนเดินก้าวเท้าเข้ามายังจุดโฟกัสของสายตาเสียก่อน
ที่สำคัญเธอดันเป็นบุคคลที่ฉันคุ้นหน้าเป็นอย่างดีเสียด้วย...
เจ๊ขวัญ ซึ่งน่าจะอยู่ด้านนอกเพื่อช่วยทีมงานกันนักข่าวหรือให้สัมภาษณ์แทนฉัน ยามนี้กลับเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าต้นไทรใหญ่จุดเดียวกับที่ฉันเห็นผู้ชายท่าทางน่ากลัวยืนอยู่
เธอใช้ฝ่ามือลูบไปตามลำต้นขนาดใหญ่ของต้นไทรด้วยสีหน้าแววตาคล้ายกับกับพึงพอใจ หากแต่การกระทำเช่นนั้นก็คงอยู่ได้ชั่วเดี๋ยวเดียว เมื่อคนตัวเล็กระดับพอๆกันกับฉัน เริ่มขยับร่างกายฟ้อนรำด้วยท่าทางอ่อนช้อยราวกับผ่านการเรียนรำมา สีหน้าของเธอดูยิ้มแย้ม และดูท่าว่าเธอจะไม่ทันสังเกตเห็นฉันเสียด้วยสิ
ภาพเหตุการณ์ประหลาดอันน่าตกใจรวมถึงสิ่งที่เจ๊ขวัญแสดงให้เห็น ทำฉันพูดอะไรไม่ออก ได้แค่มองภาพการเคลื่อนไหวอันแสนอ่อนช้อยเช่นนั้นของเจ๊ขวัญ จนกระทั่งเพื่อนรักทั้งสองพาฉันเข้ามานั่งพักบริเวณโต๊ะใต้ถุนบ้านเรือนไทยได้สำเร็จแต่เพียงเท่านั้น
“เมื่อกี้เป็นอะไรไปอ่ะ…” สายตาที่เคยมองเห็นแต่ภาพน่าตกใจจึงเลื่อนโฟกัสภาพมายังใบหน้าสวยๆของเพื่อนสมัยมัธยมแทน ซึ่ง ทับทิมคือคนแรกที่เอ่ยปากถาม “ร้องเสียงดังซะเหมือนกับเห็นผี ฉันล่ะตกใจหมด...”
“เห็นอะไรใต้ต้นไทรงั้นเหรอ?” โดยมีไวเกลยืนกอดอกเสริมคำถามอยู่ข้างๆ
“ธะ เธอก็เห็นเหรอเกล?” พอได้ยินคำถามจากปากเกลแบบนั้นมันก็อดย้อนถามแบบกล้าๆกลัวๆไม่ได้
“เห็นอะไรล่ะ?” ทว่าอีกฝ่ายก็ยังยอกย้อนกลับมาอยู่ดี การที่เป็นเช่นนั้นทำฉันรีบละล่ำละลักคำพูดตอบเพื่อนสาวกลับไปทันที
“กะ ก็ผู้ชายแต่งชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ใต้ต้นไทรไง เธอไม่เห็นเหรอ?” หลังเอ่ยจบ ไวเกลกับทับทิมก็หันมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนเลื่อนสายตากลับมามองหน้าฉันซึ่งตอนนี้ยังไม่คลายอาการหวาดหวั่นต่อสิ่งที่เห็นแล้วเอ่ยถาม
“หลอนหรือเปล่าเนี่ย?” คนที่ถามครั้งนี้คือทับทิม
“เปล่านะ!” ฉันแย้ง และพยายามอธิบาย “ฉะ ฉันอาจจะเหมือนคนบ้านะ แต่ตอนนี้ฉันว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง ฉันเคยเห็นผู้ชายคนนั้นที่วัดก่อนพิธีบวงสรวงด้วย”
สังเกตได้ว่าสีหน้าของคนฟังกำลังบอกถึงอาการอึ้งเล็กน้อย แปลได้ชัดว่าพวกเธออาจจะกำลังมองว่าฉันมโนหรือหลอนไปเองอย่างที่พูด หากแต่สีหน้าดังกล่าวก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าสวยของไวเกลเพียงครู่เดียวเท่านั้น วูบหนึ่งที่เธอยิ้มคล้ายกับชอบในสิ่งที่ฉันพูด
แต่มันก็แค่ครู่เดียวจริงๆ...
“ฉันว่าเธอคงซ้อมบทละครมากเกินไป ก็เลยเกิดอาการหลอนแบบนี้…” และนี่คือคำพูดของทับทิมที่สันนิฐานอาการทั้งหมดที่ฉันเป็น เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ อย่างที่บอกไปข้างต้น เพื่อนรักของฉันคู่นี้มีความเชื่อ ชอบ และหลงใหลเรื่องตำนานยักษ์เป็นอย่างมาก ต่างจากฉันที่เป็นถึงนางรำมหาวิทยาลัยหากแต่ไร้ซึ่งความเชื่อถือใดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยแม้ติดเดียว
“ถ้าไม่เชื่อเรื่องยักษ์ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวอะไรนี่...เธออาจจะแค่คิดไปเองก็ได้จริงไหม?” คราวนี้ไวเกลเสริมซึ่งฉันก็แย้ง
“แต่พวกเธอเชื่อนี่! ในเมื่อพวกเธอเชื่อว่ายักษ์มีอยู่จริง แล้วเรื่องที่ฉันเห็นล่ะ พวกเธอไม่คิดจะเชื่อกันหน่อยเหรอ?” คราวนี้เพื่อนรักทั้งสองไม่ยอมตอบอะไร พวกเธอเอาแต่มองหน้ากัน ทำให้ฉันใช้โอกาสในช่วงนั้นเอ่ยละล่ำละลักออกมาอีก “ตอนที่พวกเธอกับพี่ช้างอ่านกลอนในหนังสือนั่นน่ะ ฉันก็ได้ยินนะ แต่ว่าเสียงที่ได้ยินน่ะมันดันไม่ใช่เสียงของพวกเธอ…”
ขณะพูด ฉันก็ไม่ลืมที่จะกวาดตามองสีหน้าคนฟังไปด้วย และต้องพบว่าทั้งทับทิมและไวเกลกับกำลังแสดงสีหน้าประหลาดใจ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะว่าขึ้น
“พวกฉันกับพี่ช้าง...ไม่ได้มีใครอ่านกลอนของท้าวอสุเรนทร์กันเลยสักคนนะ แต่กำลังพูดกับเรื่องสีของธนูต่างหาก” ประโยคบอกเล่าที่ได้ยินทำฉันเงียบไปอย่างคนไม่รู้จะตอบโต้กลับอย่างไร ซึ่งนั่นจึงทำให้เจ้าของคำบอกเล่าเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “แล้ว...กลอนที่บอกว่าได้ยิน เธอได้ยินว่าอะไร?”
พอถูกถาม ฉันก็พยายามนึกเท่าที่ในหัวพอจะจำได้แล้วพูดออกไป
“จะ จงไปอุบัติสิ้นเสียในชาติใหม่ ให้เป็นชนมีสองมือและสองเท้า กูจะเฝ้าราญรอนชีวา...” ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยจนสิ้นเสียง ทับทิมก็ดันเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“นั่นน่ะ คือบทกลอนตอนที่ท้าวอสุเรนทร์สาปส่งยักษ์มารให้ลงมาเกิดใหม่ ...”
“...” สาปส่งยักษ์มารลงมาเกิดงั้นเหรอ
“ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่ายักษ์ตนที่ถูกสาปจะชื่อว่า...” แต่ใครจะคิดว่า สิ่งที่จะได้ยินกลับมาหลังจากนี้จะเป็นชื่อเรียกที่ฟังดูแสนคุ้นหูเสียเหลือเกิน
“..กุมภัณฑ์ล่ะมั้ง”