บัดนั้น ท้าวยักษาเรืองศรี
ถูกถ้อยวจีนารีฟาดใส่ พระปรางใสเจือระเรื่อสี
พระอุราสูบฉีดเกินพอดี หากเป็นเช่นนี้คงมิได้การ
“กูหมายยลโฉมดวงหน้าอริ ยามที่มันเป็นนารีชนเช่นนี้ระยะใกล้ เพื่อพินิจบางสิ่ง...มึงให้กูได้หรือไม่ ไอ้กุมภัณฑ์?”
แม้จะแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินหรือไม่เข้าใจความต้องการของยักษ์หนุ่มตรงหน้าก็ตาม
แต่สุดท้ายฉันก็ยังทำมัน ทำตามคำขอกึ่งคำสั่งดังกล่าวอย่างว่าง่าย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อรักษาความปลอดภัยของตัวเองเอาไว้ให้คงนานที่สุด
สายตา ยังคงจับภาพองค์ประกอบดูดีบนใบหน้าคมเข้มของคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ท้าวอสุเรนทร์เองก็ดูไม่ได้ผิดคำพูดของตนเองแต่อย่างใดหลังสิ้นเสียงร้องขอ สิ่งที่ท่านทำคือการกลอกนัยน์ตาดุดันสำรวจไปทั่วดวงหน้าในระยะใกล้คล้ายกับกำลังคิดพิจารณาอะไรดั่งวาจาที่บอกไว้
ครู่สั้นๆ ได้ล่ะมั้งที่เขามองสำรวจไปทั่วหน้าอยู่แบบนั้น ก่อนขยับเคลื่อนกายถอยห่างออกไปเอง แต่ใช่ว่าเคลื่อนตัวออกห่างแล้ว ท้าวอสุเรนทร์จะหายตัวไปเลยเสียที่ไหน เพราเขายังคงยืนเท้าเอวอยู่เบื้องหน้า
“อัปลักษณ์นัก...” ซ้ำร้ายยังเอ่ยปากต่อว่า “รูปกายมึง...อัปลักษณ์ไม่ต่างไปจากชาติภพเดิมตรงไหน”
พอได้ฟังคำต่อว่าไม่ไว้หน้า แบบ ไม่เกรงใจตำแหน่งนางเอกซุปตาร์ฯเบอร์หนึ่งของประเทศจากเขามากเข้า มันก็เริ่มทนไม่ไหว จำต้องรีบใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาแล้วพูดอะไรสักอย่าง
“ท่านว่าฉันเหรอ!?”
“หูมึงดับงั้นรึ ถึงฟังความกูมิเข้าใจ?” แต่เขาก็ยังย้อนด้วยคำพูดโบร๊าณโบราณชวนหงุดหงิด แต่เพราะรู้ตัวดีว่าลำพังแค่ฉันคงไม่สามารถต่อกรใดๆ กับสิ่งเหนือธรรมชาติแบบเขาได้เพียงลำพังแน่
ดังนั้นที่ทำได้คือกัดฟันกรอดและเงียบลงไปเอง โดยเลือกที่จะลดความหงุดหงิดจากการถูกต่อว่าด้วยการเบี่ยงสายตาไปทางอื่น แต่การทำเช่นนั้นก็ดูคล้ายกับเป็นการเปิดทางให้อีกฝ่ายนั่นล่ะพูดจาหาเรื่องออกมาไม่หยุด
“มิเถียงเช่นนี้ หมายความว่ามึงยอมจำนนต่อวจีกูแล้วงั้นรึ ไอ้กุมภัณฑ์?” แม้ลึกๆอยากจะด่าให้เจ็บแสบมากแค่ไหน สุดท้ายที่หลุดลอดผ่านปากออกไปก็มีเพียงเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มคำ
“ฉะ ฉันไม่อยากต่อปากต่อคำกับท่านหรอก...” ขณะพูดฉันก็ไม่ลืมที่จะเหลือบมองสีหน้าท่าทางอีกฝ่ายไปด้วย และเมื่อพบว่าคนฟังกำลังยิ้มกริ่มคล้ายกับพอใจที่เห็นในศัตรูในชาติภพเดิมของตัวเองหงอลงได้ อาการหมั่นไส้และความปากไวก็เริ่มทำงานทันที “ท่านดูจะชอบใจมากเลยนะ ที่ข่มฉันได้แบบนี้น่ะ..”
“กูงั้นรึ?” เขาย้อนติดเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
“ใช่ วิธีปฏิบัติของยักษ์ที่มีต่อผู้หญิง ทรามเหมือนท่านแบบนี้ทุกตนเลยหรือเปล่า?” หากคิดว่า ฉันกำลังหลอกด่าเขาผ่านคำถาม เชื่อเถอะว่า คุณคิดถูกแล้ว!
ดูท่าว่าเขาเองก็น่าจะรู้สึกได้ว่ากำลังถูกหลอกด่าถึงได้โวยวายกลับมาแบบนั้น
“สามหาว!”
“ฉะ...ฉันก็แค่พูดตามสิ่งที่สงสัยเท่านั้นเอง...” ซึ่งระดับนักแสดงมืออาชีพอย่างฉัน เรื่องการใช้คำพูดเพื่อเอาตัวรอดน่ะ ถือว่าเป็นงานถนัดเลยก็ว่าได้ “หรือว่าที่ที่ท่านอยู่ไม่มีผู้หญิง?”
“มี! ทุกนางล้วนแต่เป็นนางฟ้านางสวรรค์ งดงามกว่ามึงในชาติภพนี้มากนัก”
“ถ้ามี แล้วทำไมท่านถึงทำกับผู้หญิงรุนแรงแบบนี้ล่ะ หรือมีท่านตนเดียวที่ปฏิบัติใส่ผู้หญิงแบบนี้ ไม่รู้เหรอว่ามันเจ็บ ผู้หญิงส่วนใหญ่เขาไม่ชอบน่ะ...”
“มึงปรักปรำกูรึ ไอ้เนรคุณยักษ์!” เขาโวยวายหากใช่เป็นการโวยวายเพราะอารมณ์โมโหเฉกเช่นที่ผ่านมาแต่ใด แต่เหมือนเป็นอาการของคนที่ไม่สามารถหาคำตอบให้กับสิ่งที่ถูกถามไม่ได้ต่างหาก
“ปะ ปรักปรำที่ไหนกันล่ะ ฉันก็พูดเรื่องจริงทั้งนั้นแหละ...เอ๊ะ!?..” และเหมือนเคยพอได้พูดหรือคุยด้วยสถานการณ์ปกติที่ไม่ชวนหลอนหรือชวนหวาดหวั่น ปากก็เริ่มขยับไม่หยุดเพื่อหาเรื่องชวนคุย โดยหวังลึกๆว่าเราน่าจะพูดคุยกันได้เป็นปกติได้บ้างไม่มากก็น้อย
รู้ตัวอีกที ฉันก็กำลังพูดประโยคบ้าๆนี่ออกไปเสียแล้ว
“หรือว่าตอนอยู่ในที่ของท่าน ท่านไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิงมาก่อน ถึงได้ไม่รู้วิธีปฏิบัติที่ดีที่ผู้ชายควรจะทำ...อะ” ตอนพูดน่ะ ฉันจำได้ว่าตัวเองกำลังยิ้มร่าเหมือนเวลาเอ่ยปากแซวเจ๊ขวัญหรือพวกเพื่อนสนิทนั่นล่ะ
แต่หลังพูดจบ พอสายตาช้อนมองหน้าคนฟังซึ่งตอนนี้กำลังถลึงตามองกลับมา ไอ้รอยยิ้มนึกสนุกอย่างลืมตัวก็ค่อยๆ เจื่อนลงโดยอัตโนมัติ
วินาทีนั้น เมื่อได้เห็น สีหน้าไม่พอใจของคนฟัง สมองเริ่มประมวลความคิดและตระหนักได้ว่า ไอ้ที่เพิ่งพูดออกไปนั้นอาจฟังดูไม่เข้าหูเขาแน่ๆ เข้าข่ายปลาหมอตายเพราะปากนั่นล่ะ ดังนั้นฉันจึงรีบลั่นวาจาหวังไถ่โทษออกมาทันที
“ฉัน...ฉันขอโทษนะท่าน ฉัน..ฉันก็แค่พูดไปตามที่สงสัยเท่านั้นเอง...อะ..” ทว่า เสียงที่พยายามเอ่ยบอกกลับถูกทำให้เงียบลง เมื่อคนตัวใหญ่ตรงหน้าทำหน้าบึ้งตึงพลางกระดกนิ้วชี้ขึ้นระดับสายตา พลอยให้บริเวณคางฉันเหมือนถูกพลังลึกลับบางอย่างยกเชิดขึ้นไปด้วย
“นอกเสียจากร่างอัปลักษณ์ของมึงในชาติภพนี้... ” หูได้ยินเสียงดุดันและเถรตรงของท้าวอสุเรนทร์ ขณะสายตามองเห็นแววตาดุดันปนความวูบไหวของคนตัวใหญ่ยามพูด สีหน้าเขาตอนนี้ดูไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในห้องน้ำกองถ่ายวันนี้เลยสักนิด แก้มเขาเจือจางขึ้นสีระเรื่อคล้ายกับคนกำลังเขินอาย พร้อมกันนั้นก็ตามมาด้วยคำพูด “ ผิดฉันใด หากกูมิเคยแตะต้องเรือนร่างนารีนางใดมาก่อน... ”
สิ้นเสียงทวงถาม มันก็เป็นท้าวอสุเรนทร์เองนั่นล่ะที่เป็นฝ่ายเบือนสายตาไปทางอื่นก่อนพร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะลดอำนาจวิเศษที่ใช้บังคับร่างกายฉันให้สลายหายไปด้วย
ตึก... ตึก...
จากนั้นก็เดินเยื้องย่างออกห่างโซฟาตัวยาวที่ฉันนั่ง และดูท่าว่าคนตัวใหญ่ตอนนี้กำลังให้ความสนใจกับสิ่งของภายในห้องมากกว่าฉันที่เขาเคยประกาศว่าจะแก้แค้นเสียอีก
นี่น่ะ มันโคตรจะน่าเหลือเชื่อเลยรู้หรือเปล่า ตั้งแต่วันแรกจนถึงกระทั่งตอนนี้ ฉันยังคิดอยู่เสมอ ว่าบางทีเรื่องทั้งหมดที่ได้เห็นหรือพบเจออาจเป็นเพียงแค่ภาพความฝันเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตรงหน้ามีร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วบ้านทั่วเมือง ซ้ำร้ายยังมีพละกำลังเหนือมนุษย์ทั่วไปราวกับหลุดมาจากในหนังพื้นบ้านแบบนี้ด้วย
ฉันยิ่งไม่อยากเชื่อว่าเรื่องบ้าบอพวกนี้กำลังเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ...
“นี่ท่านท้าวอสุเรนทร์...” เพราะไม่เคยเชื่อหรือสนใจเรื่องเกี่ยวกับตำนานยักษ์มาก่อน มันเลยทำให้ความปากไวพลั้งเผลอเรียกขานคนตรงหน้าออกมาอย่างลืมตัว ทันทีที่ความคิดในหัวประมวลคำถามจนเสร็จสิ้น
และเชื่อเถอะว่า สิ้นเสียงเรียก เจ้าของชื่อก็เหลียวหลังหันกลับมามองคล้ายกับต้องการตอกย้ำว่า เขาคือยักษ์หนุ่มผู้ปราบยักษ์มารตามอย่างในตำนานโบราณเคยกล่าวเอาไว้จริงๆ
“มึงเรียกกูรึ?” พอถูกเขาย้อน ฉันก็รีบพยักหน้าทันทีพร้อมทั้งยิงคำถาม
“สรุปแล้ว ที่ท่านมาปรากฏตัวให้ฉันเห็นแบบนี้…เป็นเพราะท่านต้องการฆ่าล้างแค้นยักษ์กุมภัณฑ์อะไรนั่นถูกไหม?”
“ใช่...” คำตอบวลีสั้นๆ แต่ทำเอาคนฟังถึงขั้นกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว “มึงถามหาเหตุอันใด?”
“ก็อยากรู้นี่...” ฉันตอบเสียงอุบอิบ ให้ตายสิ! พอต้องพูดถึงเรื่องฆ่าๆ ตายๆ แบบนี้แล้วมันก็รู้สึกหวั่นๆขึ้นมาแปลกๆ “ท่านแน่ใจได้ไงอ่ะ ว่าฉันคือกุมภัณฑ์ ยักษ์ที่ท่านสาปไว้จริงๆ...อาจจะผิดตัวก็ได้”
ก็รู้นะ ว่าวันนี้เขาก็เพิ่งจะแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าฉันคือยักษ์มารที่เขาตามหา ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยากรู้อยู่ดีนั่นแหละ
“ท่านว่ามันไม่แปลกเหรอ ในเมื่อยักษ์กุมภัณฑ์ที่ท่านอยากล้างแค้นเป็นผู้ชาย แต่ว่าฉันตอนนี้เป็นผู้หญิงนะ...” คราวนี้ พอสิ้นเสียงถาม ร่างสูงใหญ่ซึ่งเดินสำรวจไปทั่วห้องรับรองก็หยุดเท้าลงในท่าเท้าเอว พร้อมทั้งเอียงหน้ามองกลับมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“มึงรู้รึ ว่าภพไหนชาติไหน ตัวมึงจะเกิดมาเป็นอะไร?” และถามเสียงเรียบ หากแต่คำถามดังกล่าวดันทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของไวเกลขึ้นมาได้อย่างน่าแปลก
‘มนุษย์เราเวียนว่ายตายเกิดสลับภพภูมิกันต่างไปในแต่ละชาติ ชาตินี้เธออาจจะเกิดเป็นมนุษย์ แต่ในชาติที่อาจจะเกิดเป็นหมาแมวบนโลกนี้ที่ไหนสักแห่งก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่ทุกสิ่งมีชีวิตเกิดมาแล้วต้องดำรงตำแหน่งรับหน้าที่เหมือนกันทุกคนก็คือการชดใช้เวรกรรมที่เคยทำมาในแต่ละภพแต่ละชาติ...’
“ภพนี้จักเป็นบุรุษชนหรือนารีชน อย่างไรเสีย ภพชาติกำเนิดเดิมมึงนั้นไซร้ ยังคงเป็นยักษ์ และการมาของกูคือกรรมหนักที่มึงจักต้องชดใช้...” เพราะยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่า ไม่ว่าทางไหน เขาก็จะทำอย่างวาจาที่เคยประกาศไว้อยู่ดี ดังนั้น ฉันจึงไม่รอที่จะขัด
“ขอเวลาหน่อยได้ไหมล่ะ!”
การโพล่งเสียงขัดอย่างไร้มารยาททำเอาคนฟังถลึงตาบ่งความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะคิดแล้วว่าหากไม่พูดตอนนี้ คาดว่าชาตินี้ก็คงไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไปแน่ ขืนปล่อยไว้จู่ๆ เขาเสกอาวุธขึ้นมา แล้วยิงใส่เหมือนตอนอยู่ที่กองถ่าย ฉันก็แย่น่ะสิ!
ดังนั้นฉันจึงใช้โอกาสที่มีเสนอข้อต่อรองออกไป
“จนกว่าจะแน่ใจ ว่าฉันคือยักษ์เลวที่ท่านกล่าวหาจริง ท่านอย่าฆ่า อย่าเพิ่งทำร้ายฉันได้หรือเปล่า?” อาจฟังดูโง่ที่ยื่นข้อเสนอไปแบบนั้นกับบุคคลที่ยึดมั่นคำพูดของตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด เว้นก็แค่เรื่องตอนที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าที่กองถ่ายน่ะนะ
“ไม่ได้! การชดใช้กรรมมันหาใช่เรื่องที่ต้องรอฤกษ์ยาม...”
“แล้วถ้าท่านฆ่าผิดคนล่ะ มันบาปนะท่าน!” ฉันแย้ง
“เหวยไอ้นี่!” หากแต่นั่นกลับทำให้เขาโวยวายกระทืบเท้าพลางชี้หน้า “มึงจักเถียงให้ได้เหตุอันใด ภพชาติเก่ายามเป็นบุรุษ กริยาวาจามึงยังมิสามหาวถึงเพียงนี้ ไฉนยามนี้จึงกระโดกกระเดกไม่สมเป็นนารีมีการอบรม!”
เอ้า! โดนด่าอีกและ!
“ก็ท่านใจแคบทำไมล่ะ!” ได้ ด่ามาด่ากลับไม่โกง “ทีท่านยังพูดไม่ดีกับฉันเลย ทำใส่กันอย่างกับฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างงั้นแหละ!”
“มึงเป็นอริ เหตุใดกูจักต้องดีต่อมึงด้วย!”
“ก็ฉันเป็นผู้หญิง!” ไม่รู้หรอกว่ายุคสมัยหรือที่ที่ท้าวอสุเรนทร์อยู่ จะเรียกการโต้เถียงแบบนี้ว่าอะไร แต่สำหรับคนปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ ฉันเรียกวิธีนี้ว่าการหงายการ์ดเพศหญิงออกมาสู้ ก่อนเปิดการ์ดอีกใบสำหรับโจมตี “ท่านก็ควรจะปฏิบัติต่อผู้หญิงให้มันดีหน่อยไม่ใช่หรือไง...”
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมหงายการ์ดกับดักที่ซ่อนไว้เป็นใบสุดท้าย
“ดังนั้นจนกว่าฉันจะแน่ใจ ว่าท่านคือเจ้ากรรมนายเวรของฉันจริงๆ ท่านห้ามทำร้ายฉันเด็ดขาด หากท่านทำเกินกว่านี้ ฉันจะถือว่าท่านไม่ใช่ลูกผู้ชาย!” วินาทีหลังเสร็จสิ้นการหงายการ์ด ทุกพื้นที่ภายในห้องก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงคล้ายกับเกิดแผ่นดินไหว พานให้ข้าวของภายในห้องตกหล่น ล้มระเนระนาด เสียงดัง
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเกิดขึ้นเพราะคนตัวใหญ่ที่ยามนี้กำลังกำมือตัวเองแน่นจนสั่นคล้ายกับกำลังกักกลั้นความโกรธ ทว่า สิ่งที่ท้าวอสุเรนทร์เลือกทำหลังจากนี้นั้น กลับไม่ใช่การใช้อำนาจที่ตัวเองมีเข้าทำร้ายฉันเฉกเช่นทุกครั้ง แต่เขาเลือกจะอันตรธานตัวเองไปต่อหน้าต่อตาทั้งๆอย่างนั้น
ฉันนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาพักใหญ่ จนกระทั่งแรงสั่นสะเทือนภายในห้องสงบลง และเมื่อมั่นใจว่าภายในห้องไร้วี่แววของผีท้าวอสุเรนทร์แล้ว ร่างกายก็รีบตะเกียกตะกายพาตัวเองไปยังหน้าประตูห้อง หยิบกระเป๋าสะพายและสมาร์ทโฟนที่ตกอยู่ เพื่อโทรใครสักคนอย่างรีบร้อน
[ว่าไงเมรี...โทรมามีอะไรหรือเปล่า?] ทันทีที่ปลายสายกดรับ ฉันก็รีบรัวความประสงค์ของตัวเองออกไปทันที
“เกล เกลแกมีหมอผีดีๆแนะนำฉันบ้างเปล่าวะ!?”
[หมอผีเหรอ!? นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว แกจะหาหมอผีไปทำอะไรไม่ทราบฮะ?]
“ปราบผียักษ์!”
[ฮะ!? นี่แกบ้าหรือเปล่า]
“ฉันพูดจริงๆ ฉันอยากได้หมอผี เอามาปราบผีท้าวอสุเรนทร์ แกพอจะรู้จักหมอผีดีๆบ้างไหม!?” ตอนนี้ไม่ว่าใครจะว่าบ้าหรือสติไม่ดีก็ตาม บอกเลยว่าฉันไม่สน ที่ต้องการตอนนี้ก็คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองกลับมามีชีวิตปกติอีกครั้งโดยปราศจากผีรังควาน ทว่า
[ฮัลโหล...เมรี...ฮัลโหล...ทำไมเงียบไปล่ะ...]
“เกล ฮัลโหล...แกได้ยินฉันพูดป่ะเนี่ย...” ขณะที่สัญญาณโทรศัพท์เกิดเป็นบ้าเป็นบอจนคุยกับไวเกลไม่รู้เรื่องนั้น
[ฮัลโหล...ไม่มีสัญญาณเหรอเมรี?...ฮัลโหล] นอกจากเสียงของเพื่อนสาวซึ่งลอดผ่านหูโทรศัพท์แล้ว ฉันยังได้ยินเสียงเข้มของใครอีกคน ซึ่งฟังคุ้นหูดีเอ่ยกระซิบดังจากทางด้านหลังอีกด้วย
“มึงคิดจักหาคนมาปราบกูงั้นรึ ไอ้กุมภัณฑ์?”