ตึก... ตึก...
ไม่รู้ตั้งแต่ยามใดที่เราพาตัวเองกลับมายังจุดประชุมของพวกมนุษย์ หากแต่ยามนั้นทั่วบริเวณกลับเงียบเชียบมีเพียงแค่บุรุษและนารีชนบางชีวิตเท่านั้นซึ่งยังมีปากมีเสียง ซึ่งนั่นเราหมายรวมถึงไอ้กุมภัณฑ์ในร่างนารีชนด้วยเช่นกัน
“เอ็งจักรำเช่นนี้ไม่ได้นังสร้อย...มือไม้ให้มันอ่อนช้อย จักได้ถูกใจคุณหลวงท่าน”
“แต่ป้าจ๊ะ...สร้อยไม่อยากเข้าพบคุณหลวง ป้าช่วยสร้อยไม่ได้หรอกรึ?” ไอ้กุมภัณฑ์ยามนี้แทนตัวมันเองว่า สร้อย ฟังดูเหมาะสมกับรูปลักษณ์ โดยเฉพาะกับรูปโฉมของมันขณะเคลื่อนไหว ทำเราเหมือนดั่งต้องมนต์สะกดให้จ้องมอง ได้ตั้งแต่เรือนผมดำทรงดอกกระทุ่ม จนถึงการนุ่งห่มผ้าแถบ ห่มสไบ
ยิ่งด้วยกริยาท่าทางของมันยามนี้คือการจีบมือจีบไม้ร่ายรำด้วยแล้ว ยิ่งดูงามตาจนเราเองรู้สึกประหลาดใจ เพราะไม่ว่าจะพยายามพินิจพิจารณามองเพียงใด ทุกส่วนสัดของไอ้กุมภัณฑ์ยามนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรือนร่างของสตรีทั้งสิ้น
ไร้เคล้าเดิมของยักษ์ทหารเอกในอดีตที่เราเคยพบเจอ...
“เฮือก!” ทว่า ภาพการเคลื่อนไหวงดงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ของไอ้กุมภัณฑ์ในภพนี้กลับมีอันต้องหยุดชะงักลง เมื่อจังหวะนั้นมันเผลอชายตามองสบประสานนัยน์ตาเราโดยบังเอิญ การกระทำเช่นนั้น พลอยให้บรรยากาศโดยรอบเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
“คัต!! น้องเมเป็นไปอะไรครับ!?”
“มะ เมขอโทษค่ะพี่ช้าง เมลืมบทนิดหน่อยค่ะ...” เสียงหวานสมเป็นสตรีของมัน ทำเราเผลอแย้มยิ้มขึ้นอย่างไม่อาจกักกลั้น เพราะองค์ประกอบบนหน้าของมันยามมดเท็จนั้นดูไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิด แต่กลับสามารถทำเอาคนฟังส่วนใหญ่รู้สึกเออออตามมารยาของมันได้โดยง่าย
เพราะมันเป็นนารีชนงั้นรึ ปุถุชนจึงเชื่อถือโดยง่าย
ช่างน่าขันนัก...
-เมรี กล่าว-
เวลา 16.25 นาฬิกา
หลังจากเลิกกองมาได้สักพัก ฉันก็พาตัวเองมายืนรอรถส่วนตัวของเจ๊ขวัญมารับบริเวณด้านหน้าทางเข้าบ้านทรงไทย โดยกวาดตามองนักแสดงร่วมคนอื่นๆ รวมถึงทีมงานพากันเก็บข้าวของของตนเองกลับที่พัก
ตั้งแต่เมื่อช่วงสายของวันจนถึงตอนนี้ ฉันยังรู้สึกขนลุกไม่หาย ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งจะมีโอกาสได้พบเจอเจ้ากรรมนายเวรตัวเป็นๆ ตามจองเวร แก้แค้นเรื่องในภพภูมิเก่าแบบเต็มสองตาเช่นนี้
บริเวณแผ่นหลังซึ่งถูกพลังเหนือธรรมชาติของเขาผลักกระแทกใส่ผนังกำแพงห้องน้ำ ยังให้ความรู้สึกปวดหนึบมาจนถึงตอนนี้ ราวกับเพิ่งเกิดเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อนั่นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
และถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะเป็นเรื่องจริง ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าฉันจะเชื่อคำพูดของผียักษ์ตนนั้นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ไหน โดยเฉพาะกับเรื่องชาติภพเก่าที่ฉันเคยเกิดเป็นยักษ์มารกุมภัณฑ์อะไรนั่น
ฉันที่เป็นถึงนางเอกเบอร์หนึ่ง แถมยังเป็นเป็นอดีตนางรำของมหาวิทยาลัยนาฏศิลป์คนนี้เนี่ยนะ ชาติก่อนจะเคยเกิดเป็นยักษ์มาร
ไม่มีทางเสียหรอก!
“เมทางนี้จ๊ะ!” เสียงเรียกของเจ๊ขวัญทำฉันรีบสลัดความคิดที่มีในหัว รีบพาตัวเองตรงไปยังรถส่วนตัวของผู้จัดการทันที และเมื่อก้าวเข้ามานั่งในรถได้สำเร็จ ฉันก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยถามเธอทันที
“เจ๊...เจ๊เห็นอีตาคุณเรนทร์ที่มานั่งดูการถ่ายทำละครที่กองวันนี้ป่ะ?”
“ลูกชายท่านอธิบดีกรมศิลป์น่ะเหรอ?” เธอย้อน แต่หากจะตอบกลับไปว่า ไม่ใช่เจ๊ จริงๆแล้วไอ้คุณเรนทร์อะไรนั่นน่ะเป็นยักษ์ผี! ใครมันจะไปเชื่อล่ะจริงไหม
“ใช่เจ๊...เจ๊ว่าอีตาคุณเรนทร์อะไรนี่ดูแปลกๆไหม?”
“เขาก็หน้าตาดีออกนะ...ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยนี่”
“เอาดีๆสิเจ๊ เจ๊ไม่รู้สึกแปลกๆเหรอ คนอะไรแต่งเครื่องทรงยักษ์มาเข้ากองละครย้อนยุค?”
“แปลกตรงไหน ในเมื่อละครเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับยักษ์นี่นา...ถ้าพูดเรื่องแปลก คงเพราะคุณเขาชอบใช้คำพูดโบราณๆแปลกๆ ใช่ไหมล่ะ นั่นก็เพราะคุณเรนทร์มีเชื้อจ้าวด้วยล่ะมั้ง อีกอย่างคุณพ่อของคุณเรนทร์ก็เป็นถึงอธิบดีกรมศิลป์เชียวนี่” พอได้ฟังแบบนั้นแล้ว มันก็เผลอเบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้ไม่ได้
“นี่มันยุคไหนแล้วเจ๊... นี่มันปี 2018 นะ ยังจะพูดจาเชยๆแบบนั้นอยู่อีกเหรอ”
“ทำไมล่ะ เจ๊ว่ามันฟังดูเพราะกว่าภาษาสมัยปัจจุบันอีกนะ” เจ๊ขวัญขัดอีกครั้ง ดูท่าจะเข้าข้างกันน่าดู เพราะยิ่งพูด เจ๊ขวัญก็ยิ่งพูดจาเข้าข้างท้าวอสุเรนทร์เกินกว่าความเป็นจริง ฉันจึงเลือกที่จะเงียบตั้งแต่ตอนนั้นไปตลอดทาง
แต่อย่างน้อยการพูดหารือเรื่องผู้ชายคนนั้น มันก็ทำให้ฉันรู้สึกมั่นใจขึ้นว่า ท้าวอสุเรนทร์ในร่างของคุณเรนทร์อะไรนั่น ไม่ได้มีแค่ฉันหรือพี่ช้างเท่านั้นที่สามารถมองเห็นและรับรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จริง
๒ ชั่วโมงต่อมา
เจ๊ขวัญใช้เวลาเผชิญรถติดอยู่บนถนนเกือบสองชั่วโมงเห็นจะได้ กว่าจะสามารถพาฉันมาส่งยังคอนโดหรูใจกลางกรุงเทพฯได้สำเร็จ โดยก่อนที่เจ๊ขวัญจะขับรถจากออกไป เธอก็ไม่ลืมที่จะกำชับ
“เมอย่าลืมเช็กตารางงานพรุ่งนี้ด้วยนะจ๊ะ เตรียมตัวให้เสร็จก่อนเจ๊มาถึง 1 ชั่วโมงล่ะ”
“ค่า!” สิ้นเสียงรับคำ ฉันก็ยืนมองรถส่วนตัวของผู้จัดการขับออกจากคอนโดไป จนกระทั่งเธอเลี้ยวรถออกไปนอกถนนใหญ่ จึงตัดสินใจหันหลังเดินเข้าไปในตัวคอนโด ตรงไปยังลิฟต์พาตัวเองไปยังชั้นห้องพัก
ปกติแล้วฉันเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือไสยศาสตร์ แต่เพราะตอนนี้ฉันดันเจอเรื่องแปลกๆกับตัวบ่อยครั้งนัก ทำให้ทุกก้าวที่เดินไปตามทางเดินชั้นที่พักดูว่องไวกว่าปกติ ยิ่งแอบคิดว่าผีท้าวอสุเรนทร์อาจจะซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งรอบๆตัวด้วยแล้ว เท้าก็ยิ่งเร่งจ้ำไวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่ถึงห้องพัก ฉันก็รีบใช้คีย์การ์ดเปิดประตูพาตัวเองเข้าไปภายในทันที ก่อนจัดการล็อกกลอนประตูเพื่อขังภัยอันตรายจากด้านนอกไม่ให้ย่างกรายเข้ามาภายใน ทว่า
ยังไม่ทันที่จะนั่งพักให้หายเหนื่อย หรือสูดรับกลิ่นไอความเป็นส่วนตัวบนพื้นที่ของตัวเองได้ดั่งที่ใจต้องการ ฉันกลับต้องรู้สึกถึงผิดปกติภายในห้องพัก เมื่อกลิ่นหอมของน้ำหอมปรับอากาศภายในห้องซึ่งเคยส่งกลิ่นหอมหวานอบอวลแทนคำทักทายเมื่อกลับมาถึง ยามนี้เริ่มกลับกลายเป็นกลิ่นของควันธูปจางๆ พานให้ต้องกวาดตามองหาที่มาอย่างนึกขนลุก เมื่อไม่พบต้นตอกลิ่นธูป สัญชาติญาณมนุษย์ที่มีก็รีบร้องบอกทันทีว่า ภายในห้องพักยามนี้กำลังเกิดเรื่องผิดธรรมชาติ
พอคิดได้เช่นนั้น ฉันจึงตัดสินใจหันกลับไปยังประตูห้องอีกครั้ง เพื่อตั้งท่าที่จะพาตัวเองออกไปด้านนอก โดยมือข้างถนัดก็ไม่ลืมที่จะหยิบสมาร์ทโฟนออกจากกระเป๋าสะพายกดโทรหาใครสักคนให้มาอยู่เป็นเพื่อนด้วย
ทว่า ยังไม่ทันได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ฉันก็ต้องตกอยู่ในอาการช็อกตาค้างโดยฉับพลัน เหมือนคนเป็นอัมพาตชั่วขณะ เมื่อภาพที่ปรากฏบริเวณประตูห้องคือร่างโปร่งแสงของชายตัวสูงซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดี กำลังเดินผ่านทะลุประตูไม้ซึ่งถูกล็อกกลอนปิดสนิทเข้ามาภายในด้วยท่าทีขึงขัง และหยุดเท้าลงตรงหน้าโดยทิ้งระยะห่างไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นัยน์ตาคมส่อแววดูดุดันอยู่ตลอดเวลา หรี่ลงเล็กน้อยจับจ้องภาพสีหน้าฉันราวกับเป็นสิ่งที่เดียวที่เขาอยากจะมองเห็น พานให้ปฏิกิริยาทางกายตอบรับสิ่งที่เห็นด้วยการตัดสินใจเหวี่ยงกระเป๋าสะพายส่วนตัวเข้าใส่ร่างสูงใหญ่ของท้าวอสุเรนทร์ตรงหน้าอย่างเต็มแรงแบบไม่ต้องคิด
พลั่ก!
หากแต่การทำเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะทำให้ภาพหลอนของผีท้าวอสุเรนทร์เลือนรางหายไปจากสายตาเสียที่ไหน ซ้ำร้ายการกระแทกที่รุนแรงของกระเป๋าสะพายดูไม่ได้ทำให้ยักษ์หนุ่มตรงหน้าสะทกสะท้านแต่อย่างใด เขายืนนิ่ง แต่ไม่ใช่กับสีหน้าที่อีกฝ่ายแสดงออกด้วยการถลึงตาจ้องมาอย่างอาฆาตแค้น
เสี้ยววินาทีเกินกว่าทั้งจะตั้งสติและตั้งรับสถานการณ์ชวนหลอน ท้าวอสุเรนทร์ก็เคลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น เขาขยับปลายนิ้วทั้งห้าของตัวเองเล็กน้อยด้วยท่าทางเหมือนกำลังบีบจับอะไรสักอย่าง ซึ่งการกระทำดังกล่าวกลับส่งผลมาถึงร่างกายฉันอย่างโดยตรง
เมื่อบริเวณคอเสื้อเริ่มเกิดอาการตึงคล้ายกับถูกมือของใครบีบเอาไว้อย่างรุนแรง ก่อนค่อยๆยกร่างทั้งร่างขึ้นสูงจนปลายเท้าลอยจากพื้นตามการเคลื่อนของฝ่ามือหนาเบื้องหน้า
“อึก...” แรงบีบดังกล่าวดูจะรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวินาทีจนตอนนี้พลอยให้คนถูกกระทำเริ่มหายใจติดขัด
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่อาการที่คล้ายคนกำลังจะหมดลมหายใจ ก็ใช่จะมีผลให้คนตรงหน้ายอมปรานีแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ คนตัวใหญ่ไม่ยอมลดพลังเหนือธรรมชาติที่ให้กำหลาบศัตรูที่เขาเข้าใจอย่างฉันลงเลย พร้อมกันนั้นก็ย่างก้าวเข้ามาหาโดยยังคงเว้นระยะห่างระหว่างเราไว้
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายกำลังกำลังกวาดมองไปทั่วหน้าฉันอย่างพินิจพิจารณา แต่นั้นมันก็แค่ครู่สั้นๆ ก่อนที่เขาจะเลื่อนสายตามองไปยังโซฟาตัวยาวซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆแล้วตัดสินใจเบี่ยงมือ เหวี่ยงร่างฉันเข้ากระแทกใส่โซฟาตัวดังกล่าวอย่างไม่ยั้งแรง
ฟึ่บ! ตุบ!
“อ๊ะ..” แม้จะรู้สึกปวดระบมบริเวณต้นคอหรือตามเนื้อตัวเพราะการกระแทกที่รุนแรงก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นสติที่เหลือเพียงน้อยนิดก็ยังพยายามเอาตัวรอดด้วยการหยัดตัวลุกออกจากโซฟาด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ หวังหลบหนีไปจากเรื่องน่ากลัวที่กำลังเกิดขึ้นนี้ซะ
แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นฝ่ายกระทำจะไม่ยินยอมให้ฉันทำตามใจตัวเองมากนัก เพราะวินาทีที่หยัดตัวกลับมาอยู่ในท่านั่งได้สำเร็จ ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์ก็ได้อันตรธานตัวเองจากหน้าประตูห้อง มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าในระยะประชิดภายในเสี้ยววินาที
กึก...
ท่ามกลางความเงียบซึ่งมีเพียงเสียงอัตราการเต้นที่รัวเร็วด้วยความกลัว ท้าวอสุเรนทร์หยัดมือข้างหนึ่งลงกับโซฟาห่างจากกายไปเพียงเล็กน้อย ก่อนโน้มลำตัวลงมาอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้าเดิมโดยไม่พูดไม่จาอะไร แม้ว่าฉันจะเบี่ยงหน้าหลบการเข้าหาของเขา ถึงอย่างนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงสายตาที่เขาใช้มองอยู่ดี
เมื่อรู้ตัวว่าหมดทางหนี สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ยามนี้ขณะที่เขาโน้มใบหน้าเข้ามาหา คือการพนมมือไหว้ยกขึ้นท่วมหัว ทั้งที่ร่างทั้งยังสั่นด้วยความกลัว
“ทะ ท่านต้องการอะไรจากฉัน! ฮึก..อย่าตามมาหลอกมาหลอนกันอย่างนี้เลยนะ…” แม้แต่สรรพนามที่ใช้เรียกเองก็เปลี่ยนไปตามอาการหวาดกลัวด้วยเช่นกัน
ฉันเหมือนกำลังเป็นบ้า ยกมือไหว้ท่วมหัว ก้มหน้า ละล่ำละลักคำขอโทษออกมาเหมือนคนเสียสติทั้งน้ำตา ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองผิดอะไร
“ฮือ..ฉันขอโทษ ฉะ...ฉันไม่รู้ว่าฉันเคยทำอะไรไม่ดีใส่ท่านไว้ในชาติไหน แต่ฉันขอโทษนะท่านนะ…ดะ..เดี๋ยวฉันจะทำบุญไปให้..อะ”
แต่เขาก็ดูจะใจร้ายเกินกว่าที่ฉันคิดนัก นอกจากไม่เปิดโอกาสให้ถามถึงความเป็นมาของการมาปรากฏตัวในห้องพักส่วนตัวของฉันแล้ว แม้แต่เสียงขอโทษก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดการกระทำรุนแรงลงเลย
เมื่อยักษ์หนุ่มตรงหน้าใช้ปลายปลายนิ้วทั้งห้าพุ่งเข้าบีบใส่บริเวณช่วงกรามราวกับต้องการให้เงียบเสียงลง แรงสัมผัสดังกล่าวไม่ใช่อำนาจวิเศษอย่างที่เขาเคยใช้อยู่บ่อยครั้ง หากแต่เป็นสัมผัสอุ่นที่เกิดจากปลายนิ้วเรียวซึ่งดูคล้ายกับมนุษย์ปกติ ซ้ำร้ายยังบีบบังคับหน้าให้เงยขึ้นไปสบตาตรงๆ
นัยน์ตาดุดันคู่เดิมของท้าวอสุเรนทร์กำลังกวาดมองไปทั่วหน้าฉันอย่างถือโอกาส โดยขณะเดียวกันนั้นก็รับรู้ได้ถึงแรงบีบที่ลดความรุนแรงลงจนกระทั่งเขายินยอมที่จะปล่อยมือออกไปเอง ซึ่งนั่นตามด้วยถ้อยคำแดกดัน
“นี่น่ะรึ...อดีตทหารศึกคู่กายกู...ไฉนยามนี้จึงน่าสมเพชนัก..”
“อยะ อย่าฆ่าฉันเลยนะ...ฉันสัญญาจะทำบุญไปให้...” ไม่รู้หรอกว่าไอ้ที่พูดออกไปนั้นจะฟังไม่เข้าหูเขาบ้างหรือเปล่า ที่รู้ๆก็คืออะไรที่พูดแล้วสามารถทำให้เขายอมลดหย่อนและปล่อยฉันเป็นอิสระได้ คือสิ่งที่สมควรพูดและทำมากที่สุด
“กูมิได้ต้องการบุญ” แล้วมันก็ลงเอยเช่นเดิม เมื่อเขาปฏิเสธทุกสิ่งที่ฉันยื่นข้อเสนอ ทั้งที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบให้ภูตผี แต่นิสัยเดิมก็ยังคงไม่สิ้นลาย เอ่ยต่อปากต่อคำกลับไปอย่างลืมตัว
“ละ แล้วต้องการอะไรล่ะ...ถะ ถ้าจะตามมาฆ่ากันน่ะ ฉันไม่ให้หรอกนะ!”
“มึงนึกว่าตัวมึงเป็นใครงั้นรึ ถึงได้โอหังกล้า ออกคำสั่งใส่กูเช่นนี้?”
ว่าแล้วก็เหมือนกับแกล้งกัน เมื่อคนตัวใหญ่จงใจยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วแสร้งทำเป็นขยับมือในท่าบีบเข้าหากัน จนบริเวณรอบต้นคอรู้สึกถึงแรงสัมผัสดังกล่าวไปด้วยเป็นหนที่สอง แต่นั่นก็แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวคล้ายกับอยากข่มขู่ เมื่อคนตัวใหญ่ตรงหน้ายอมที่จะละมือกลับออกไปเองแล้วกล่าวขึ้นอีก
“สิ่งที่กูปรารถนายามนี้ หาใช่ชีวามึงไม่...” นี่คงเป็นครั้งแรกเลยก็ว่า เมื่อฟังถ้อยคำจากปากยักษ์หนุ่มตรงหน้าแล้วรู้สึกสบายใจมากกว่าครั้งไหน
“ละ แล้วท่าน...ต้องการอะไร”
“สิ่งที่กูปรารถนายามนี้ มีเพียงประการเดียว...” แต่ใครจะคิดว่าหลังเอ่ยปากถามย้อนกลับไปแล้ว คำตอบที่ได้รับกลับมาจะเหนือความคาดหมายแบบนี้ “กูหมายยลโฉมดวงหน้าอริ ยามที่มันเป็นนารีชนเช่นนี้ระยะใกล้ เพื่อพินิจบางสิ่ง..”
“…”
“มึงให้กูได้หรือไม่ ไอ้กุมภัณฑ์?”