“มึงคิดจักหาคนมาปราบกูงั้นรึ ไอ้กุมภัณฑ์?” เสียงดังกล่าวทำฉันสะดุ้งตัวโยนจนสมาร์ทโฟนในมือเกือบล่วงหลุดมือ รีบเหลียวขวับมองหลังอย่างไม่ต้องคิด ก่อนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจอย่างขีดสุด เมื่อพบว่าท้าวอสุเรนทร์ซึ่งน่าจะหายตัวไปจากพื้นที่ภายในห้องส่วนตัว ยามนี้กลับกำลังยืนปรากฏกายในท่าเท้าเอว ขึงตามองมาอย่างดุๆ
“ทะ ท่าน...ท่านท้าวอสุเรนทร์” สภาวะช็อกซึ่งถาโถมเข้าใส่ดั่งคลื่นสึนามิ ทำฉันพูดอะไรไม่ถูก มือซึ่งถือสมาร์ทโฟนค้างไว้ก็รู้งานเกินกว่าจะต้องออกคำสั่ง รีบลดลงและกดวางสายของไวเกลทันที หากแต่นั่นมาพร้อมคำถาม
“ในมือเจ้าคือสิ่งใด กระดานชนวนรึ เหตุใดจึงส่องสว่าง...” คำถามซึ่งฟังดูไม่เกี่ยวข้องกระซิบเมื่อครู่แม้แต่นิด แต่ถ้าหากฉันไม่ได้ช็อกจนสติหลุดจนฟังอะไรคลาดเคลื่อน เหนือความคาดหมายล่ะก็ เหมือนว่าจะได้ยินเขาเรียกฉันว่าเจ้าแทนคำว่ามึงเสียด้วยสิ
“มะ ไม่ใช่...นี่เขาเรียกว่าโทรศัพท์มือถือ...” ฉันพยายามบังคับตัวเองให้ขยับปากตอบกลับไปอย่างคนมีความผิด
“โทรศัพท์มือถือรึ ฟังดูพิลึก...” เขาทิ้งท้ายปนต่อว่าไว้เท่านั้น ก่อนก้าวเท้าเดินเฉียดผ่านฉันกลับเข้าไปยังห้องรับรองอีกครั้งและทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโซฟาตัวยาวเสมือนกับเป็นเจ้าของห้อง ซึ่งมันน่าแปลกที่เขาไม่ยักจะโวยวายหรือแสดงอาการเกรี้ยวกราดใส่เหมือนอย่างที่คาดไว้
“ละ แล้วท่านมาทำอะไรที่ห้องฉันอีก?” และใช่! ฉันอดใจจะถามเขาไม่ได้จริงๆ
“ห้องงั้นรึ?” แต่เขาก็ย้อนพลางกวาดตามองไปรอบตัว จากนั้นก็ถามย้อนกลับมา “เจ้าหมายถึงเรือนพักแรมน่ะรึ?”
“อื้อๆ เรือนพักแรมนั่นแหละ” ฉันตอบพร้อมทั้งไม่ลืมยิงคำถามที่คาใจ “ละ...แล้วท่านกลับมาที่นี่อีกทำไม?”
“หากไม่ย้อนมา เราจะทันได้ยลยินเจ้าพูดคุยกับกระดานชนวนมีแสงรึ?” แต่เขาก็ยังย้อน ซึ่งนั่นเริ่มให้ความแน่ชัดกับคนฟังได้เป็นอย่างดี ว่าอาการช็อกเมื่อครู่ ไม่ได้มีผลกระทบใดต่อการรับฟังของหู
เพราะเขาเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองและสรรพนามที่ใช้เรียกฉันจริงๆ
“คิดปราบเราด้วยมือพวกจอมขมังเวทย์งั้นรึ...เจ้านี่มันช่างเขลาเบาปัญญานัก”
ที่น่าตกใจก็คือ เขาได้ยินไอ้ที่ฉันถามไวเกลผ่านสมาร์ทโฟนจริงด้วยๆ!
“ละ ล้อเล่นขำๆหรอกน่า...ท่านก็จริงจังไปได้” คำแก้ตัวขุ่นๆถูกพ่นตอบโต้กลับไปพร้อมเสียงหัวเราะ และเพื่อเป็นการยุติประเด็นซึ่งอาจทำให้เขาหัวร้อนหากเราไม่หยุดต่อความกัน ฉันจึงรีบชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง “ละ แล้วนี่...ท่านจะไปตอนไหนคะ?”
แต่เหมือนการเปลี่ยนประเด็นจะไม่ได้ช่วยอะไรได้อย่างที่คิดนัก
“กลัวเราล่วงรู้ความอันใดระหว่างเจ้ากับจอมขมังเวทย์งั้นรึ ถึงได้ขับไสไล่ส่งเราถึงเพียงนี้” เมื่อคนตัวใหญ่ยอกย้อนกลับมาอย่างทันควันในท่านั่งไขว้ขา มือกอด ซ้ำร้ายยังยิ้มเยาะอย่างเจ้าเล่ห์ตามประสาคนรู้ทัน
พอเจอเข้ากับสถานการณ์บีบบังคับไล่ต้อนแบบนี้ วัวสันหลังหวะอย่างฉันจึงได้แค่เงียบ และส่งยิ้มแห้งๆกลับไปอย่างคนหมดข้อแก้ตัว และนั่นจึงทำให้ยักษ์หนุ่มเหมือนได้เวลาเอาคืน อีกทั้งยังคล้ายกับต้องการให้คำตอบถึงการกลับมาที่แท้จริงของเขาในครั้งนี้ด้วย
“เมื่อครู่ เราลองใคร่ครวญเหตุและผลคำมั่นที่เจ้าว่าไว้ เราว่าก็ฟังดูเข้าท่าดี...” ด้วยการหงายการ์ดกับดักสำหรับทำลายการ์ดกับดักที่ฉันหมอบไว้ในตอนแรกลง ก่อนคว่ำการ์ดในมือใบหนึ่งลงกับพื้น “เราเล็งเห็นว่า มันดูมิเป็นธรรมนัก หากต้องสงครามกับอริ ที่มิล่วงรู้ถึงกรรมเก่าของตนเอง”
ตลอดเวลาที่ท้าวอสุเรนทร์พูดนั้น เขาคงรอยยิ้มร้ายๆของตัวเองไว้บนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา ด้วยท่านั่งท่าเดิม โดยใช้น้ำเสียงเข้มๆ สุขุม จริงจังเท่านั้นในการข่มเหงคนฟัง
“ฉะนั้น...เราจักให้เพลาเจ้าไตร่ตรองกรรมเก่าที่เคยก่อไว้เมื่ออดีตชาติ...” อีกครั้งที่เขาเอ่ยขึ้นพร้อมเปิดการ์ดโจมตีศัตรูผ่านคำพูด หลอกล่อให้เหยื่ออย่างฉันหลงกลมีปากมีเสียงขานรับกลับไป
“ขอบคุณนะคะ...ท่านเนี่ยก็เข้าใจอะไรง่ายดีเหมือนกันนะ...งั้นข้อตกลงระหว่างเราก็ตามนี้เนอะ” หากแต่วินาทีเสียงตอบรับของฉันเงียบลง ยักษ์หนุ่มตรงหน้าก็รีบหงายการ์ดกับดักอีกใบซึ่งเขาแอบซุกซ่อนเอาไว้ขึ้นมาโจมตีผ่านทางคำพูดทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครพูดแทรก
“จนกว่าจะถึงช่วงยามนั้น...เราจักอยู่ที่นี่กับเจ้า มิให้คลาดกันแม้แต่เงา และนี่คือถ้อยประกาศิต หากเจ้าผิดต่อคำพูดเรายามใด เราจะคิดเสียว่าเป็นโมฆะแล้วฆ่าเจ้าเสีย...” สิ้นเสียงถ้อยคำประกาศิต ความเงียบก็เริ่มแทรกผ่านเราทั้งคู่ ปกคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วภายในห้อง ครั้นจะปฏิเสธหรือพูดขัดข้อเสนอที่ได้มา ก็กลัวจะไม่เข้าหูคนฟัง จึงทำได้แค่เงียบนิ่งประหนึ่งร่างกายทุกส่วนถูกแช่แข็ง
นี่หรือเปล่า ที่เขาเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรมาขออาศัยอยู่ด้วย!?
นอกจากจะใช้คำพูดแสนเผด็จการของท้าวอสุเรนทร์ทำให้ฉันเกิดอาการสติหลุดไปชั่วขณะแล้ว แต่เขายังถือโอกาสออกปากสั่ง ราวกับว่าฉันคือขี้ข้าคอยรับใช้เขาออกมาอีกด้วย
“เราเป็นแขกผู้มาเยือน เจ้ามิคิดจักต้อนรับเรา ตามประสาเจ้าบ้านเจ้าเรือนที่ดีเสียหน่อยรึ?”
“ฮะ!?” แน่นอนว่าฉันไม่เข้าใจ
“ต้อนรับเราด้วยน้ำท่า...” นอกจากจะหงายการ์ดขออยู่ด้วยแล้ว ยังจะเปิดการ์ดขอน้ำกินอีกเหรอ!? “เราอยากได้น้ำร้อน น้ำชาสักจอก”
ด้วยเพราะก่อนนี้ฉันมีความผิดเต็มๆ ที่ทำได้หลังจากเสียงสั่นจบลงคือการปั้นรอยยิ้มฝืนๆให้ด้วยเป็นมิตรที่สุดบนหน้าตามประสา ‘คนแพ้ต้องดูแลตัวเอง’ โดยที่มือข้างหนึ่งกำสายกระเป๋าสะพายและโทรศัพท์มือถือไว้แน่นแทนการระบายความรู้สึกจริงที่เกิด โดยไม่ลืมให้คำตอบพร้อมรอยยิ้มซึ่งขัดกับความรู้สึกจริง
“รอสักครู่นะคะท่าน...”
ว่าจบฉันก็รีบพาตัวเองเดินตรงดิ่งเข้าไปยังพื้นที่ครัวเล็กๆถัดจากห้องรับรองทันที และเมื่อหลบพ้นจากสายตาของยักษ์หนุ่มจอมเผด็จการแสนเจ้าเล่ห์มาได้ กระเป๋าสะพายในมือก็ถูกวางโยนลงกับเคาน์เตอร์ภายในห้องครัวทันทีพลางจิ๊ปากระบายอารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดที่เป็น
ไปแล้ว ทำไมไม่ไปลับก็ไม่รู้ ยังจะกลับมายอกย้อน หัวหมอตั้งข้อเสนอบ้าๆนี่อีก น่าโมโหชะมัด!
ขณะคิด มือข้างถนัดก็เปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่มสักขวดตามอย่างที่เขาร้องขอ ด้วยเพราะฉันไม่ใช่คนที่ชอบดื่มน้ำร้อนน้ำชา สิ่งที่น่าจะตรงคอนเซปตามอย่างที่ยักษ์หนุ่มต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คงจะเป็นน้ำอัดลม
“นี่!” แต่เพราะไม่แน่ใจว่าเครื่องดื่มที่เจอนั้นจะถูกปากท้าวอสุเรนทร์หรือเปล่า ฉันจึงส่งเสียงเรียกคนตัวใหญ่ซึ่งอยู่คนละฟากกับห้องครัวทันที
ทว่า เสียงเรียกของฉันกลับไม่ได้รับการตอบกลับใดกลับมา จำต้องรีบเงยหน้าออกจากตู้เย็น เพื่อหันไปมองใครอีกคนที่น่าจะอยู่ร่วมกันภายในห้องพัก และแล้วตอนที่ชายตามองกลับไปอยู่นั้นเอง...
กึก!
“อะ...” หัวใจฉันก็คล้ายกับจะหยุดเต้นเป็นหนที่ร้อยของวัน เมื่อตรงหน้าปรากฏร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์ยืนขวางอยู่ด้วยระยะห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือ
“มีเหตุอันใดจึงเรียกเรารึ?” เขาถามเสมือนว่าการหายตัวแว๊บไปแว๊บมาของเขาคือเรื่องปกติ แม้จะตกใจกับการปรากฏตัวตรงหน้า ถึงกระนั้นปากก็ยังขยับพูดพลางยื่นกระป๋องน้ำอัดลมในมือส่งไปให้
“หะ ห้องฉันไม่มีน้ำร้อน น้ำชานะ...มีแต่ไอ้นี่...”
“กระบอกในมือเจ้านั้นคือสิ่งใด?” พานให้อีกฝ่ายเกิดเป็นคำถาม
“น้ำอัดลมกระป๋อง”
“คือสิ่งใดงั้นรึ?” พอถูกถามเข้ามากเข้า ฉันซึ่งไม่รู้จะอธิบายความหมายของน้ำอัดลมให้คนฟังเข้าใจด้วยวิธีไหน จึงตัดสินใจพูดแบบสั้นๆราบและเรียบ
“น้ำ ข้างในจะมีน้ำ…” โดยเว้นวรรคครู่หนึ่งเพื่อนึกคำที่จะใช้ก่อนพ่นออกมาในที่สุดเมื่อสิ้นสุดกระบวนการคิดแบบคนโง่ๆ แต่ทั้งหมดก็ทำเพื่อให้ตัวเองดูสมเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนที่ดีต่อแขกผู้มาเยือนตามอย่างที่เขาว่าไว้นั่นแหละ “น้ำวารีปะทะวายุ ตอนกินมันก็จะซ่าๆในปากหน่อยอ่ะ ท่านลองดื่มดู”
และเชื่อเถอะว่าชีวิตฉันหลังจากนี้มันคงจะอยู่ยากมากกว่าที่เคยน่าดู