“มันใช้เรือนร่างและมารยายามเป็นนารีปั่นป่วนใจพี่!”
สิ้นเสียงบอกกล่าว อนุชาคู่บุญก็หัวร่อเสียงดังลั่น จนเรานั้นทวีความหงุดหงิดในตัวเพิ่มขึ้นอย่างไร้เหตุผล และอดถามอย่างนึกสงสัยไม่ได้
“น้องขบขันสิ่งใดงั้นรึ?”
“น้องขำท่านพี่นั่นล่ะ...” อสุราบอกเช่นนั้นทั้งที่ยังหัวร่อไม่หยุด อีกทั้งยังกล่าวเสริม “ท่านพี่ไม่สังเกตรึ ว่าแดนมนุษย์ยามนี้เปลี่ยนแปลงจากแต่ก่อนมากนัก”
ได้ยินเช่นนั้น เราจึงเงียบเพื่อไม่ให้เป็นการขัดคอ
“ม้าศึกที่เคยมี ยามนี้เปลี่ยนเป็นม้าเหล็ก รวดเร็ว และเสียงดัง อีกทั้งยังรูปโฉม อาภรณ์ต่างๆ ดูแผกแตกต่างจากแต่ก่อนชนิดที่น้องเองยังประหลาดใจ...ซึ่งนั่นหมายรวมถึงอริที่ท่านพี่เคยลั่นวาจาหักไว้ด้วยเช่นกัน”
“น้องหมายถึง...ไอ้กุมภัณฑ์งั้นรึ?”
“ถูกแล้วท่านพี่...” อสุราแย้มยิ้มเมื่อเห็นเราใคร่ครวญคิดตามวจีที่ได้รับฟังอย่างเข้าใจ “ยามนี้ไอ้กุมภัณฑ์มิใช่ยักษ์หนุ่มเกเรเหมือนชาติภพกำเนิดเดิมอีกต่อไปแล้ว...หากแต่เป็นนารี รูปโฉมงดงาม”
“…”
“เรื่องเลวระยำที่ไอ้กุมภัณฑ์เคยก่อไว้ในชาติปางก่อนนั้น ยังคงติดตัวมันเป็นเวรกรรมมาจนถึงชาติภพนี้...ท่านพี่ไม่คิดรึ ว่าไอ้กุมภัณฑ์ยามนี้ก็ต้องประสบพบเจอเรื่องเลวร้ายจากมนุษย์ดินแดนเดียวกันไม่เว้นในแต่ละวี่วัน เพียงเท่านี้ ตัวน้องก็พอใจมากพอแล้วกับกรรมใหญ่ที่มันควรได้รับ...”
“แต่พี่ไม่สน!” เราขัดเสียงเข้มบอกถึงความสงบร่มเย็นในจิตใจของผู้น้องแบบไม่คิดจะฟังต่อ โดยให้เหตุผล “มันหักหลังเรา เนรคุณผู้ให้คุณ มิหนำซ้ำยังทำร้ายฟ้าดินจนปี้ป่น เช่นนี้แล้วน้องจัก อโหสิกรรมให้มันอีกรึ!?”
อสุราเงียบไปครู่หนึ่งหลังถูกถาม พลางเลื่อนมือขึ้นแตะอุราด้านซ้ายของตนเอง บนหน้าปรากฏรอยยิ้ม
“ยามนี้น้องพบสิ่งที่หมายปองแล้ว น้องขอไม่คิดโกรธแค้นสิ่งใดไอ้กุมภัณฑ์อีก...”
แล้วเอ่ยออกมา
“หากท่านพี่จักทำตามวาจาสิทธิ์ที่เคยประกาศไว้บนแดนสรวง...น้องก็คงมิขัด...แต่ท่านพี่จงอย่าลืม ว่าชาติภพนี้ไอ้กุมภัณฑ์เป็นเพียงสตรีมิใช่ยักษ์มารเฉกเช่นภพอดีต...น้องจึงอยากให้ท่านพี่เบามือลงบ้าง คิดเสียว่า อย่างไรเสียยามนี้ไอ้กุมภัณฑ์มันก็เป็นเพียงนารีชน”
อนึ่ง ที่ตัวเรากับกับน้องชายต่างกันก็คงเป็นเรื่องทางอารมณ์และจิตใจ
ด้วยเพราะเราเป็นถึงท้าวจ้าวเมืองยักษ์ มีอำนาจและบารมี เป็นที่เคารพและดูน่าเกรงขามต่อหมู่มวลยักษ์ด้วยกัน อีกทั้งยามศึกเพื่อแดนนคร เราเองก็พ้นผ่านมาไม่ใช่น้อย ไม่ใช่หนุ่มสาววัยเยาว์แสวงหาความสุขให้ชีวิตเฉกเช่นเหมือนตัวอนุชาผู้น้อง
ทำให้จิตนึกคิดของเรา ล้วนแล้วมีแต่เรื่องของการบ้านเมืองและการศึกสงครามเพียงเท่านั้น หากครั้นใฝ่ปองนารีสักนางมาเป็นคู่ครองหรือยอดดวงใจ เราก็คงไม่สามารถมีได้สมหมายดั่งใจนึก
‘ศึกคราหน้า ดูแล้วว่า ชัยชนะคงจักมิไกลปลายพระดรรชนีท่านท้าวนะขอรับ...’ พอครวญนึกถึงเรื่องเก่า ภาพเหตุการณ์ในยามที่นครยักษ์สงบสุขก็มักแทรกเข้ามาในความคิดให้เราหวนนึกถึง
‘ท่านท้าวอสุเรนทร์ขอรับ...’ เราได้ยินเสียงเรียกของอดีตทหารเอกคู่กายยามศึกเอ่ยเรียก จำได้ว่ายามนั้นเรากำลังเชยชมการร่ายรำจากเหล่าบรรดานางสวรรค์ที่ได้รับเป็นของรางวัลสำหรับการยกทัพนำชัย
‘มึงว่าอย่างไรรึ ไอ้กุมภัณฑ์? การร่ายรำอ่อนช้อยของนางสวรรค์ต้องตากูจนมิทันฟัง...’ ยามพูด สายตาของเรายังคงจับจ้องไปยังภาพหมู่นางสวรรค์ด้วยความปรีดา ซึ่งเราไม่อาจพูดปดได้ว่า หนึ่งในนางสวรรค์กลุ่มนั้นเป็นที่ต้องตาเราจนยากจะคลาดสายตาหรือให้ความสนใจกับสิ่งอื่น
‘กระหม่อมกำลังกราบทูล...เรื่องศึกคราวต่อไปขอรับท่านท้าว’ เราได้ยินอดีตทหารเอกผู้ซื่อสัตย์กล่าวตอบอย่างนอบน้อมก่อนจะเงียบไป ด้วยเหตุนั้นเราจึงจำใจต้องละสายตาไปจากนางสวรรค์เพื่อมองหน้ามันชัดๆ โดยไม่ลืมเอ่ยปากหารือสิ่งที่นึกคิดอยู่ในหัว
‘นี่ก็ล่วงเลยมาหลายเพลาแล้ว ถึงคราวที่กูควรหานารีสักนางขึ้นปกครองนครเคียงคู่ได้เสียที มึงคิดเหมือนกูรึไม่ ไอ้กุมภัณฑ์?’
‘อันเรื่องนารีนั้น หาใช่เรื่องที่ดีไม่...การมีนารีเท่ากับพกความวุ่นวาย กระหม่อมคะเนว่า หากท่านท้าวปกครองนครเพียงลำพังเช่นนี้ จักดูเป็นการดีเสียกว่า...’ เพราะอดีตทหารศึกคู่กายเคยบอกไว้เช่นนั้น เราจึงรับยินดีรับฟัง พร้อมกันก็รู้สึกเห็นด้วยไม่ใช่น้อย
‘มึงคิดเช่นนั้น จริงรึไอ้กุมภัณฑ์?’
‘ขอรับท่านท้าว’
‘หากมึงว่าเช่นนั้น กูก็จักเชื่อ...’ ภาพสุดท้ายที่เราจำได้คือภาพของยักษ์คู่กาย แสดงความภักดีด้วยการหมอบกราบแทบเท้าอย่างนอบน้อม โดยมีเสียงของเราเอ่ยวาจาทวงถามเพื่อยืนกรานความหนักแน่นของความซื่อสัตย์ที่มันมี ‘มึงจักอยู่ออกศึกเคียงข้างกู เฉกเช่นนี้จนกว่าชีวาจักวอดวาย ใช่หรือไม่ ไอ้กุมภัณฑ์’
‘ชีวาของกระหม่อมเป็นของท่านท้าวขอรับ กระหม่อมจักขอรับใช้และซื่อสัตย์ตราบจนชีวากระหม่อมจักกลายเป็นเถ้าธุลี...’ และด้วยคำสัตย์ปฏิญาณตนดังกล่าวที่อดีตทหารเอกคู่กายเคยประกาศไว้ มันก็ทำให้เรารู้สึกแค้นใจขึ้นมาเสียทุกครั้ง เมื่อไม่สามารถหาคำตอบได้
ว่าเหตุใดมึงถึงกล้าเนรคุณ ใช้พลังอำนาจที่กูมอบให้ในทางที่ผิด เหยียบย้ำฟ้าดินได้ถึงเพียงนี้ ไอ้กุมภัณฑ์...