“อะ ไอ้โรคจิต!” ฉันตะคอกเสียงใส่เขาอย่างทันควันด้วยระดับเสียงที่มีแค่เราเท่านั้นที่ได้ยิน ซึ่งนั่นดันเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงเรียกด้านนอกดังขึ้นเป็นหนที่สอง
“คุณเมรีคะ อยู่ข้างในหรือเปล่า ช่างแต่งหน้ารออยู่นะคะ” หูน่ะได้ยินเสียงของทีมงานบอกเช่นนั้น แต่ไม่ใช่กับสายตาที่ยังจับจ้องสีหน้าเจ้าเล่ห์ของยักษ์หนุ่มตนใหญ่ตรงหน้าแบบไม่วางตา “คุณพี่ช้างให้เวลาเตรียมตัวเพิ่มอีกแค่ 20 นาทีนะคะ เดี๋ยวจะไม่ทันแดด”
ทว่า จังหวะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ทีมงานกลับไปอยู่นั้น เพื่อเลี่ยงการถูกพบเจอ ดันมีเสียงของทีมงานชายอีกคนดังขึ้นเสียก่อน
“ปุ๋ย เห็นคุณเรนทร์หรือเปล่า?” เสียงดังกล่าวทำคนตัวใหญ่เหลือบหางตามองกลับไปยังประตูด้วยอาการนิ่งๆ ไม่แสดงอาการใดผ่านสีหน้า แม้ว่าทีมงานชายคนนั้นจะพูดเรื่องของเขาต่อ “เห็นพี่ช้างบอกคุณเรนทร์แกเดินมาเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ?”
“จะเข้าได้ยังไง ก็ตอนนี้คุณเมรีแกใช้ห้องน้ำเปลี่ยนชุดอยู่”
.”เอ้า แล้วคุณเรนทร์เขาหายไปไหนวะ...นี่หรือว่าคุณเรนทร์กับคุณเมรีจะ...” เพราะบทสนทนาของสองทีมงานขี้เม้าท์ด้านนอกชักจะเริ่มทำตัวรู้มากเกินความจริงไปหน่อย ฉันจึงตัดสินใจตะโกนแสร้งทำเสียงเสมือนว่าแต่งตัวเสร็จเพื่อบอกสัญญาณให้คนด้านนอกได้รับรู้ทันทีอย่างไม่ต้องคิด
“เมเปลี่ยนชุดจะเสร็จแล้วค่ะ จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!” ต่างจากชายหนุ่มซึ่งอยู่เหนือกว่าเรื่องตามธรรมชาติ ซึ่งกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มคล้ายกับชอบใจ ซ้ำร้ายยังพูดจาแดกดันใส่กันไม่หยุด
“วาจามึงช่างมดเท็จนัก...ไม่รู้จักละอายแก่ใจ”
“นี่ ขอทีล่ะ!” อีกครั้งที่ฉันเริ่มมีปากเสียงกับเขา ต่อให้ลึกๆจะหวาดกลัวพลังเหนือธรรมชาติที่คนตรงหน้ามีเท่าไหร่ แต่ถ้าหากว่าการที่เขายังยืนอยู่ตรงนี้เพื่อกดดันหรือขัดขวางการทำงานของฉันล่ะก็...ฉันเองก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน “เรื่องชาติกำเนิดเก่าอะไรที่นายพูดมานั่นฉันไม่สนใจ ตอนนี้ฉันต้องรีบแต่งตัวแล้วออกไปทำงาน เข้าใจหรือเปล่า?”
“เหตุใดกูต้องสดับฟังเสียงขอของมึงด้วย?”
“เพราะฉันต้องออกไปทำงานยังไงล่ะ!”
“ไฉนกูต้องเชื่อคำยักษ์เนรคุณอย่างมึง ในเมื่อการขัดขวางทุกความสุขของมึงจนกว่าชีวาจะหาไม่คือความประสงค์ของตัวกูเอง?” เพราะพูดดีๆก็แล้ว พยายามอธิบายก็แล้ว ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมฟังและทำตามกันง่ายๆ
ดื้อด้านที่จะหยัดยืนมันอยู่ในนี้ ดังนั้นฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฉวยโอกาสในยามนั้นบวกกับความรีบร้อน เลื่อนมือขึ้นไปยังปกคอเสื้อแล้วจัดการปลดกระดุมออกทีละเม็ด
สายตาน่ะ จ้องเขม้นมองสบตากับนัยน์ตาเรียวคมของคนตัวสูงตรงหน้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ส่วนปากก็ขยับ
“ก็ดี...งั้นก็ยืนมันตรงนี้นี่แหละ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อ!”
“ตามใจมึงเลย อย่างไรเสีย กูก็ยลเรือนร่างมึงในชาติภพเดิมจนชินตา...หากได้ยลเรืองร่างของยักษ์เนรคุณอย่างมึงในชาติภพนี้อีกสักคราว จะเป็นไรไป”
กึก!
สิ้นเสียงถ้อยคำข่มขู่อย่างคนเหนือกว่า ปลายนิ้วของฉันก็จัดการปลดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายบนตัวออกพอดี ก่อนหยุดมือลงครู่หนึ่งเพื่อเป็นการวัดใจ ว่าท้าวอสุเรนทร์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใครต่อใครต่างให้การนับถือ จะยืนจ้องมองผู้หญิงเปลี่ยนเสื้อดั่งที่ปากว่าไว้หรือเปล่า
แต่ดูทีท่าแล้ว เขาน่าจะเป็นยักษ์ที่ยึดมั่นคำพูดของตนเองเอาเสียมากๆ เพราะมาถึงขนาดนี้แล้ว ท้าวอสุเรนทร์ก็ดูจะไม่แสดงปฏิกิริยาใดให้เห็น มิหนำซ้ำยังเอาแต่ยืนกอดอกนิ่งราวกับจะท้าทายให้ฉันจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากเนื้อกายจริงๆ
เพราะเวลาที่มีมันไม่คอยท่า แม้จะโกรธและรู้สึกอับอายมากเท่าไหร่ก็ตาม ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องแบกหน้าต่อสู้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองต่อไปอยู่ดี
ทว่า ไม่นานฉันกลับต้องเปลี่ยนความคิด...
เมื่อวินาทีที่สอดมือผ่านสาปเสื้อเพื่อปลดเสื้อเชิ้ตที่สวมมาให้ร่วงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ตรงหน้าก็เริ่มมีปฏิกิริยา ใบหน้าคมเข้มขึงขัง ดูเอาจริงเอาจังกับการแก้แค้นตลอดเวลา เริ่มปรากฏสีระเรื่อขึ้นเจือจางบนแก้มสองข้าง นัยน์ตาดุดันซึ่งเคยจ้องสู้สายตากลับมาของเขายามนี้ก็เริ่มส่ออาการล่อกแล่กให้เห็น
ปุบ!
และทันทีที่เสื้อตัวบางซึ่งเคยถูกฉันสวมไว้ ร่วงหล่นลงสู่พื้นห้องน้ำ ปาฏิหาริย์ก็บังเกิดขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง เมื่อร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มซึ่งตอนแรกยืนกรานว่าจะอยู่ยืนมองการเปลี่ยนเสื้อผ้า ได้อันตรธานหายวับไปกับตาอย่างไม่เห็นฝุ่น พร้อมกันนั้นหูก็ยังได้ยินเสียงตะคอกต่อว่าที่ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
“มึงมันไร้ยางอาย!”
-ท้าวอสุเรนทร์ กล่าว-
เราเดินย้ำไปตามทางเดินของเรือนไทยอย่างด่วนจี๋ประหนึ่งนครกำลังเกิดศึก ทั่วหน้ายามนี้เริ่มเห่อร้อนคล้ายยามโกรธจัด หากแต่ทุกสิ่งที่เรากล่าวมานั้นดันต่างออกไป
ยิ่งด้วยภาพในหัวยามนี้ปรากฏเรือนร่างของนารี ขณะปลดเปลื้องอาภรณ์บนเนื้อกายออกด้วยแล้ว อาการร้อนจัดบนหน้าก็คล้ายกับจะเพิ่มทวีขึ้นแบบควบคุมไม่ได้
ไอ้ระยำกุมภัณฑ์ มันกล้าปั่นป่วนจิตใจเราถึงเพียงนี้เชียวรึ!
กึก!
“เกิดเหตุอันใดขึ้นท่านพี่ เหตุใดท่านจึงด่วนเร่งออกมาแบบนี้เล่า?” เสียงแว่วของอนุชาคู่บุญ ทำเราหยุดเท้าลง เหลียวมองไปยังต้นเสียงอย่างนึกไม่ชอบใจ หากแต่การทำเช่นนั้นกลับทำให้ผู้น้องอ่านนิสัยของเราออกผ่านทางแววตา “แววตาท่านพี่ดูไม่สู้ดีนัก ปะเรื่องร้ายมารึ?”
เราไม่เอ่ยตอบน้องชาย เพราะคิดได้ว่า เราคงเสียหน้าไม่ใช่น้อยหากต้องเล่า
“หรือไอ้กุมภัณฑ์กระทำการไม่ดีใส่ท่านพี่ ถึงได้ดูโกรธจัดถึงเพียงนี้?” แต่ถึงไม่เล่า ความเฉลียวของอนุชาคู่บารมีก็ทำให้มันล่วงรู้ได้ไม่ช้าก็เร็ว
“มันฮึกเหิม กล้าท้าทายอำนาจพี่...” ยิ่งพยายามหลบเลี่ยงที่จะเอ่ยถึง
“มันกระทำอันใดใส่ท่านพี่รึ น้องจักไปจัดการมันให้!” เราก็คล้ายกับถูกต้อนให้จนมุมขึ้นทุกครา สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้ จำต้องเอ่ยกล่าวออกไป
“มันใช้เรือนร่างและมารยายามเป็นนารีปั่นป่วนจิตนึกคิดพี่!”