ครั้นนั้น ท้าวยักษาจำแลงกาย
มอบความใจหายให้อรชร บันดาลสองบาตรและสองกร
ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจไกรศร หมายเข้าประชิดดัสกร
หมายสั่งสอนให้รู้จักบาปและกรรม รวมกายเข้าแทรกปะปน
“ดั่งตนเป็นพรหมลิขิตลวง”
“ท่านนี้คือคุณเรนทร์ เป็นลูกชายของท่านอธิบดีกรมศิลปากร ที่จะเข้ามาร่วมดูการถ่ายทำละครเรื่องดวงหทัยยักษ์ครั้งนี้ด้วย รู้จักกันไว้เสียสิ...”
สิ้นเสียงแนะนำของพี่ช้าง ร่างกายก็แสดงการตอบรับคำพูดประโยคดังกล่าวด้วยการยกมือขึ้นไหว้ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยเพราะไม่ว่าจะพยายามพินิจมององค์ประกอบโดยรวมบนดวงหน้าคนตัวสูงอย่างไร ทั้งรูปปาก คิ้ว ตา หรือจมูก
ทุกสัดส่วนบนใบหน้าเขาดูเหมือนกับท้าวอสุเรนทร์ที่ฉันเห็นในภาพนิมิตหลอนราวกับเป็นฝาแฝด แต่เพราะการปรากฏตัวของเขายามนี้ดูจะไม่ได้มีแค่ฉันเท่านั้นที่มองเห็นได้ ลึกๆมันอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ที่ชายตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดไว้
“สวัสดีค่ะคุณเรนทร์” และเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมาเป็นกังวลและรู้สึกเกร็งกับภาพลักษณ์ของยักษ์ที่ตามหลอนอยู่ในหัวมากไปกว่านี้ ทันทีที่ยกมือไหว้คุณเรนทร์เสร็จ ฉันก็ไม่รีรอที่จะหาเรื่องปลีกตัวออกจากวงสนทนาทันที “ถ้ายังไง เมขออนุญาตไปแต่งตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวมารวมกองกับนักแสดงคนอื่นไม่ทัน”
และเชื่อเถอะว่า ตลอดเวลาที่เอ่ยปากพูดนั้น สายตาฉันไม่ได้สนใจที่หน้าของคุณเรนทร์เลยแม้แต่นิด เหตุผลก็เพราะรูปลักษณ์ของคุณเรนทร์ซึ่งดูเหมือนภาพหลอนของท้าวอสุเรนทร์นั่นน่ะแหละ...
ทันทีที่สามารถปลีกตัวออกจากวงสนทนามาได้ เท้าทั้งสองข้างก็รีบเร่งจ้ำพาตัวเองไปยังห้องแต่งตัวนักแสดงซึ่งเป็นที่เดียวกับที่เคยมาเมื่อครั้งก่อน หากแต่วันนี้ภายในห้องแต่งตัวดูต่างจากครั้งนั้นโดยสิ้นเชิง เพราะคับคั่งไปด้วยดารานักแสดงสมทบรวมถึงช่างแต่งหน้าทำผมหลายสิบคน จนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง
“อ้าวน้องเม...มาพอดีเลย นี่ค่ะวันนี้น้องเมใส่ชุดนี้นะคะ” เสียงของป้ากบ ช่างแต่งหน้าประจำกองเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นฉันโผล่หน้าเข้าไปในห้องแต่งตัว
“คนแน่นห้องขนาดนี้ แล้วจะให้เมเปลี่ยนที่ไหนล่ะคะ?”
“ห้องน้ำข้างๆนี่ก็ได้จ๊ะน้องเม เดินออกไปตรงไปตามทางแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอห้องน้ำนะคะ” ฉันเบ้ปากอย่างนึกรำคาญใจ ทั้งที่ฉันเองเป็นถึงนางเอกเบอร์หนึ่ง แต่กลับไม่มีที่เปลี่ยนเสื้อเป็นแบบส่วนตัว ซ้ำร้ายยังต้องมาร่วมใช้ห้องกับนักแสดงคนอื่นไปอีก อุตส่าห์คิดว่ามาห้องแต่งตัวช้าแล้วพื้นที่ภายในห้องแต่งตัวโล่งกว่านี้แท้ๆ
แต่ด้วยเพราะฉันคือนักแสดงนำเพียงคนเดียวซึ่งยังไม่ได้แต่งตัว จึงไม่มีทางเลือกมากนัก จำต้องรับชุดนางรำชุดเดิมมาไว้กับตัว ทว่า ยังไม่ทันที่จะหันหลังเดินออกจากห้องเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ดั่งใจ ร่างกายกลับต้องหยุดชะงักงันด้วยคำพูดแดกดันของนักแสดงสมทบที่ต้องร่วมเล่นละครด้วยกัน
“ต๋ายตายพวกเรา! จะโดนเขม่นไหมเนี่ยที่ดั๊นมาใช้ห้องแต่งตัวร่วมกับนางเอกเบอร์หนึ่ง” สายตาตวัดมองไปยังเจ้าของคำพูดดังกล่าวแบบไม่สบอารมณ์นัก ก่อนพบว่าเธอไม่ใช่ใครแต่เป็น บีน่า นักแสดงสาวรุ่นพี่ อดีตนางเอกเบอร์หนึ่งที่ยามนี้ลดระดับรับเพียงบทตัวร้าย
“ไม่หรอกค่ะพี่...” พอเห็นหน้าเธอแล้วมันก็อดไม่ไหวจริงๆที่จะต่อปากต่อคำ “เมใจกว้างพอที่จะใช้ห้องนี้ร่วมกับทุกคนค่ะ หรือว่าพี่ใจแคบล่ะคะ ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น?”
“นังเม!” ฉันเหยียดยิ้มนิดๆมุมปาก ก่อนสะบัดปลายผมก้าวเท้าเดินออกไปแม้จะได้ยินเสียงสาปส่งไล่หลังจากเธอได้ยินก็ตาม
“ขอให้แกสะดุ้งล้มหัวกระแทกพื้นตายไปเลย นังบ้า!” และใช่ค่ะ ฉันกับพี่บีน่าเราไม่ถูกกัน เรียกว่าเป็นข่าวให้สายเม้าท์พูดถึงกันทั่วเรื่องการเกาเหลาไม่กินเส้นกันอยู่เป็นประจำ
นักแสดงร่วมละครเรื่องนี้ นอกจากไอ้ณภัทรแล้ว ฉันยังต้องเจอเจ้ากรรมนายเวรในวงการบันเทิงอีกหลายคนตลอดการเล่นละครเรื่องนี้เลยล่ะ
น่ารำคาญชะมัด!
ตึก! ตึก! ตึก!
ฉันก้าวเท้าพาตัวเองเดินไปตามทางเดินตามอย่างที่ป้ากบบอกไว้อย่างรีบไม่ร้อนนัก สายตากวาดมองพื้นที่โดยรอบกายเพื่อดูความพร้อมของเหล่าทีมงานซึ่งดูสมัครสามัคคีช่วยกันจัดเตรียมข้าวของเตรียมเข้าฉากกันอย่างขะมักเขม้น
พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่เสร็จสิ้นพิธีบวงสรวงหนที่สอง ฉันยังไม่เห็นวี่แววของเจ๊ขวัญหรือเพื่อนรักสองคนที่อาสาเข้ามาช่วยงานในกองถ่ายเลยแม้แต่เงา สงสัยจะคงจะรออยู่กับกับพวกพี่ช้างแน่ๆ
พอคิดเช่นนั้นสายตาที่เคยกวาดมองเหล่าทีมงานจึงเลื่อนกลับมายังเส้นทางตรงหน้า ก่อนต้องตกใจเมื่อพบเข้ากับชายหนุ่มหน้าตาดีเดินตรงมาจากอีกฝั่งของทางเดิน
และเชื่อเถอะ ว่าการได้พบเขาโดยบังเอิญแบบนี้มันทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนได้ทุกครั้งจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเขาคนนั้นมีรูปลักษณ์และกายแต่งกายทุกอย่างเสมือนยักษ์ในภาพหลอนราวกับกับถอดแบบออกมาขนาดนี้
แม้จะรู้สึกหวาด จนไม่อยากเข้าใกล้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถเสียมารยาทกับลูกชายเพียงคนเดียวของท่านอธิบดีกรมศิลป์ได้อยู่ดี จำต้องเอ่ยปากทักออกไปตามมารยาทอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเท้าก้าวมาหยุดอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำซึ่งเป็นเป้าหมาย
กึก...
“อ้าวคุณเรนทร์ มาทำอะไรตรงนี้คะ เดินเล่นเหรอ?”
“อืม…” เสียงเข้มที่เขาใช้ตอบกลับมานั้นให้ความรู้สึกนิ่ง เย็นชาและฟังดูแข็งกระด้างจนไม่กล้าเข้าใกล้ อีกทั้งเซ้นต์ผู้หญิงที่มีในตัวตอนนี้น่ะ มันกำลังร้องบอกให้ฉันอยู่ห่างๆจากเขาไว้น่าจะเป็นการดีที่สุด
“อ๋อค่ะ...งั้นเมขอตัวก่อนนะคะ” เพราะสัญชาตญาณบอกเช่นนั้น ฉันจึงเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ รีบเดินเลี้ยวตรงเข้าไปยังห้องน้ำรวมทางฝั่งซ้ายมืออย่างไม่ต้องสงสัย
กึก!
ทันทีที่เท้าก้าวเข้าสู่พื้นที่ภายในห้องน้ำได้สำเร็จ จังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงฝีเท้าของใครอีกคนดังไล่หลังเข้ามาเช่นกัน ด้วยเหตุนั้นฉันจึงรีบเหลียวมองเจ้าของเสียงฝีเท้าดังกล่าวโดยอัตโนมัติด้วยความสงสัย ก่อนพบว่าเขาไม่ใช่หากแต่เป็นคุณเรนทร์นั่นล่ะ
“อ้าวคุณ...” ทว่า ยังไม่ทันได้เอ่ยปากทักได้จนจบ จู่ๆภายในห้องน้ำซึ่งไม่น่าจะมีลมผ่านก็เกิดลมวูบใหญ่พัดผ่านกายเราทั้งคู่อย่างรุนแรง ก่อนต้องสะดุ้งตัวโยนเมื่อวินาทีเดียวกันนั้น ประตูห้องน้ำถูกปิดกระแทกลงอย่างรุนแรงและเสียงดัง
ตึง!!!!
“ปะ...แปลกจัง ทำไมลมถึงได้พัดเข้ามาแรงแบบนี้นะ...” รู้ตัวนะ ว่าที่พูดออกไปนั้นฟังดูโง่ที่สุดเท่าที่เคยคิดได้ แต่ทำไงได้ล่ะ ท่ามกลางสถานการณ์แปลกๆแบบนี้ ในหัวมันก็คิดได้แค่นี้นี่แหละ
สถานการณ์ชวนระทึกเล็กๆภายในห้องน้ำ ทำฉันไม่รอช้า รีบกลับลำเดินย้อนกลับไปยังประตูห้องน้ำแทบทันทีโดยพยายามข่มอาการหวาดกลัวเอาไว้ไม่แสดงออก แม้ตรงนั้นจะมีร่างสูงของใครอีกคนยืนอยู่ด้วยก็ตาม พร้อมกันนั้นปากก็พูดทำลายความเงียบ
“คุณเรนทร์จะเข้าห้องน้ำก่อนเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวเมเปิดประตูให้...อ๊ะ” ไม่ใช่แค่พูดแต่มือไม้ยังพยายามเอื้อมไปยังลูกบิดประตูด้านหลังคุณเรนทร์เพื่อตั้งใจจะเปิดออกด้วย แต่ก่อนจะทันได้เอื้อมหมุนลูกบิดตามอย่างที่นึกคิด มือข้างที่เอื้อมออกไปนั้นกลับถูกมือหนาจากคนตัวสูงคว้าเอาไว้เสียก่อน
หมับ!
การกระทำที่ดูค่อนข้างฉวยโอกาสถึงเนื้อถึงตัว ทำฉันรีบตวัดหางตามองเจ้าของการกระทำดังกล่าวแบบไม่พอใจนัก ซึ่งแววตาแสดงความรู้สึกดังกล่าวก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อพบว่าบนใบหน้าคมคายดูนิ่งสุขุมสมเป็นผู้ใหญ่ของเขานั้นไม่ได้จับจ้องสายตามายังสีหน้าอย่างที่คิด แต่กำลังมองตรงไปข้างหน้า
ถึงแม้ว่าคนตัวใหญ่จะไม่ได้มองหรือแสดงความต้องการอื่นใดให้รู้สึก กระนั้นปากก็ยังบดต่อว่า ซึ่งหากมีทีมงานหรือใครบังเอิญต้องการใช้ห้องน้ำ แล้วเจอฉันอยู่กับเขาในระยะใกล้ชิดแบบนี้สองต่อสองมันคงไม่ดีต่อชื่อเสียงในวงการบันเทิงเท่าไหร่นัก
“อะไรเนี่ยคุณ! ปล่อยฉันนะ!” ฉันพยายามบิดข้อมือให้หลุดจากการถูกจับกุมอย่างสุดความสามารถ แต่มันก็ดูเหมือนยาก เพราะยิ่งพยายามฝืนต่อต้าน แรงบีบรอบข้อมือก็ยิ่งกระชับเข้ามาแน่นมากขึ้น
สุดท้ายฉันก็ต้องเป็นฝ่ายจำยอมต่อแรงบีบรัดดังกล่าวแบบไม่มีทางเลือก ไม่ใช่เพราะคุณเรนทร์ไม่ยอมละลดกำลังการบีบลงหรอกนะ แต่เป็นคำพูดแปลกๆที่เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงนิ่งเย็นต่างหาก
“มึงลืมแล้วรึไอ้กุมภัณฑ์ ว่ากูลั่นวาจาไว้ว่าอย่างไร?”
“…” ถ้อยคำดังกล่าว ทำสายตาที่กำลังจดจ้องข้อมือตัวเองช้อนมองเสี้ยวหน้าคนตัวใหญ่อย่างช้าๆ อาการหวาดหวั่นที่มีมานับตั้งแต่พบหน้าเขาก็ดูจะยิ่งเพิ่มอัตราความรู้สึกมากขึ้น
“กูจักมิมีวันให้มึงหาความสุขบนแดนมนุษย์ได้อีกนับแต่นี้ไป” โดยเฉพาะเมื่อสายตาสะดุดเข้าเสี้ยวหน้าคมคายที่คล้ายกับมีร่อยรอยคมเขี้ยวยักษ์ปรากฏให้เห็นต่อสายตาเสมือนภาพในความฝัน
ร่างกายรีบตอบรับกับภาพที่ได้เห็นด้วยการสะบัดข้อมืออีกครั้งอย่างแรงด้วยความตกใจ หากแต่คราวนี้มันดูง่ายดายกว่าในครั้งแรกนัก เมื่อคนตัวใหญ่ยินยอมที่จะปล่อยฉันสู่อิสระ โดยยังคงใช้ร่างกายตนเองยืนขวางบานประตูไว้ไม่ขยับไปไหน
แม้เขาจะเอ่ยเตือนสติไว้เพียงเท่านั้นโดยไม่อธิบายสิ่งใดต่อ แต่สมองและความนึกคิดที่มี ก็พอประมวลความหมายทั้งหมดได้ด้วยตัวของมันเอง ก่อนเริ่มตระหนักชัดว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เห็นหรือรู้สึกตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นมันคือเรื่องจริง
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่กุมภัณฑ์อะไรนั่น คุณยังต้องการอะไร!?” อีกครั้งที่ฉันเริ่มทำตัวเหมือนคนบ้า โวยวายตอบโต้กับสิ่งเหนือธรรมชาติตรงหน้าอย่างไม่ต้องคิด และพอได้ระบายความรู้สึกที่สั่งสมตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ปากก็ดันขยับรัวคำพูดออกมาไม่หยุด“เป็นผีก็อยู่ส่วนผีสิ! ทำไมต้องคอยตามหลอกหลอนกันแบบนี้ด้วย อ๊ะ!”
ซึ่งก็เหมือนเดิม เขาไม่ยอมให้ฉันมีปากมีเสียงใส่ได้นาน
“อย่าขานกูรวมกับสัมภเวสีพวกนั้น!” ตะเบ็งเสียงคำรามต่อว่ากลับมาอย่างเกรี้ยวกราดก่อนใช้มือปัดที่ว่างระหว่างระยะห่างของเรา ผลักตัวฉันให้กระเด็นออกห่างจากตัวกระแทกเข้ากับผนังห้องน้ำอย่างเต็มแรงด้วยพลังเหนือธรรมชาติซึ่งบอกชัดถึงสิ่งที่ตนเป็น
ตึง!!
“นอกจากจะหยิ่งผยองแล้ว มึงยังเขลานัก...” ดูท่าแล้วเขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำไปจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเจ็บไปปวดตามร่างกายหรือไม่ ซ้ำร้ายยังต่อว่า “หากมึงมิใช่ไอ้กุมภัณฑ์ดั่งที่กูหมายชีวาไว้ เหตุใดกูจักต้องตามนารีหยิ่งผยองสมองเท่าธุลีอย่างมึงด้วยเล่า!”
นี่เขาด่าฉันโง่เหรอ!?
“นาย!” ทว่า พอโวยวายกลับไปบ้าง คนตัวใหญ่ตรงหน้ากลับแสดงสีหน้าคล้ายกับพึงพอใจ ก่อนเอ่ยคำพูดราวกับจะตอกย้ำให้ฉันรู้ชาติกำเนิดตัวเอง
“ต่อให้วันคืนเคลื่อนผ่านไปเป็นหมื่นหรือแสนปี กูก็มิมีทางลืมดวงหน้ายักษ์เนรคุณอย่างมึงลงดอก...”
ก๊อก! ก๊อก!
ขณะเดียวกันนั้นเอง ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคดีหรือโชคร้ายดี ที่อีกฟากของบานประตูมีเสียงของทีมงานกองถ่ายดังแทรกขึ้นพร้อมเสียเคาะประตูเสียก่อน
“คุณเมรี เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหรือยังคะ?” เมื่อเสียงเรียกซึ่งดังแทรกเข้ามานั้นกลับทำให้ใบหน้าขึงขังของของท้าวจ้าวเมืองยักษ์ในร่างจำแลง เผยรอยยิ้มเยาะอย่างร้ายกาจขึ้นบนใบหน้า ราวกับล่วงรู้ถึงความเป็นกังวลใจที่ฉันมีหากว่าทีมงานเปิดเข้ามาเห็นเราทั้งคู่อยู่ภายในห้องเดียวกันแบบนี้
“เหตุใดจึงไม่เปลื้องอาภรณ์ออกเล่า...” พร้อมกันนั้นยังเอ่ยขึ้นคล้ายกับจะแกล้งกัน “มึงมิได้ยินเสียงเรียกหรอกรึ ไอ้กุมภัณฑ์ ?”