‘เอาตัวไอ้ไชยเชษฐ์กับมหาอุปราชรามสูรไปลงโทษ!’
ไม่รู้ว่าพิษบาดแผลที่ฉันรับรู้ได้เฉกเช่นเดียวกับกุมภัณฑ์ส่งผลให้ทุกสิ่งรอบกายดำดิ่งลงสู่ความมืดตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีฉันก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น พานให้ความมืดดำรอบตัวเริ่มเลือนรางจางไปกลายเป็นภาพของห้องโถงขนาดใหญ่
‘มึงปวดแผลมากเลยรึ ไอ้กุมภัณฑ์?’ ฉันรีบเงยหน้ามองเจ้าของเสียงซึ่งดังอยู่ตรงหน้ากลับความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นรอบกาย ก่อนพบว่าเขาไม่ใช่ใครหากแต่เป็นท้าวอสุเรนทร์เองนั่นแหละ
‘ระบมเพียงแค่นี้ มิเฉียดถึงหัวใจหรอกขอรับท่านท้าว’ พร้อมกันนั้นหูก็ได้ยินเสียงเข้มของยักษ์หนุ่มอีกตนเอ่ยตอบ จำต้องลดสายตาจากภาพใบหน้าคมคายของชายตรงหน้ามองสำรวจร่างกายตัวเองก่อนพบว่าร่างกายของฉันยามนี้ยังคงซ้อนทับอยู่กับร่างสูงใหญ่ทหารยักษ์เจ้าเมืองซึ่งยามนี้นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงไม้ตัวยาว โดยที่มีผ้าสีอ่อนพันปิดบาดแผลช่วงบริเวณแผ่นหลังกับแผ่นอกเอาไว้
‘หากปวด...มึงจงนอนเสีย กูจักออกไปจัดการไอ้ไชยเชษฐ์กับท่านรามสูรเรื่องวิวาท’ สิ้นเสียงบอกกล่าว ฉันกลับต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆคนตัวใหญ่เบื้องหน้าวางมือลงบนเตียงไม้แบบไม่ทันให้ตั้งตัวซ้ำร้ายยังค่อยๆโน้มกายลงมาหาแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ‘ขอบใจมึงมาก...หากมิได้มึง กูคงเจ็บหนัก…’
‘หามิได้ขอรับ...ท่านท้าว’
‘ยามนี้ มึงมีความประสงค์หมายปองสิ่งใด หายดีแล้วไซร้ กูจักตบรางวัลให้อย่างงาม มิให้ขาด…’ ฉันเห็นแววตาของผู้ชายตรงหน้าขณะแสดงความใจดีและความจริงใจที่เขามีต่อกุมภัณฑ์ด้วยการใช้ฝ่ามือตบลงบนอกเบาๆราวกับเป็นการให้กำลังใจ ซึ่งให้ความรู้สึกต่างจากอารมณ์ความแค้นที่เขาพยายามเล็งเป้ามายังฉันเพื่อจะแก้แค้นอย่างสิ้นเชิง จนอดคิดไม่ได้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกโกรธแค้นกุมภัณฑ์มากถึงขนาดนั้นถึงขั้นต้องตามฆ่า ทว่า
‘กระหม่อมมิประสงค์สิ่งใด นอกเสียจากอยู่รบเคียงบ่าเคียงไหล่คู่กับท่านท้าวไปจนกว่าชีวาจักหาไม่...’ ยังไม่ทันที่กุมภัณฑ์จะเอื้อนเอ่ยตอบผู้เป็นนายจนสิ้นเสียง ภาพที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้ากลับเริ่มเลือนรางไปจากสายตาอีกครั้ง หากแต่สิ่งเดียวซึ่งยังคงอยู่ในสายตายามนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นนัยน์ตาเรียวรีซึ่งบางคราวก็ดุดัน บางคราวก็ดูเจ้าเล่ห์ของท้าวอสุเรนทร์เท่านั้นซึ่งยังคงจ้องสบประสานตากับฉันในระยะใกล้
“คัต! เล่นดีมากครับน้องเม พักกองก่อน 5 นาที เดี๋ยวเข้าซีนต่อไปเลย!” เสียงของพี่ช้างทำฉันเหมือนถูกดึงกลับมาสู่โลกความจริงอีกครั้ง ภายในอ้อมกอดของคนตัวใหญ่
ท้าวอสุเรนทร์ขยับยิ้มมุมปากนิดๆ เมื่อเรากลับมาสบประสานตากันอีกครั้งในโลกของความจริง ก่อนที่รอยยิ้มดังกล่าวจะค่อยลดหายลงไปจากใบหน้าคมคายของชายหนุ่มเบื้องหน้า เมื่อใครอีกคนที่อยู่ในร่างสูงยามนี้ ค่อยๆก้าวเท้าถอยตัวตนออกห่างจากร่างของณภัทรไปอย่างช้าๆ พร้อมกับคงรอยยิ้มเดิมไว้บนหน้า
ณภัทรเองทันทีที่สติกลับคืนมา เขาก็รีบผละตัวที่รวบรัดกายฉันไว้ตามบทออกอย่างรีบร้อนด้วยอาการรนราน วูบหนึ่งที่เขามองมาคล้ายกับไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิด ก่อนจะเป็นฝ่ายเบือนสายตาหันไปทางอื่นแล้วก้าวเท้าพาตัวเองเดินออกไป หากว่ามองไม่ผิด รู้สึกเหมือนว่าบนหน้าเขาจะขึ้นสีระเรื่อจนตัดกับผิวขาวแบบคนจีนเสียด้วยสิ
ทันทีที่ณภัทรเดินคล้อยหลังออกไปฉันก็รีบกวาดตามองไปรอบๆตัวเพื่อมองหาใครคนหนึ่งซึ่งเคยนั่งอยู่ตรงม้านั่งข้างผู้กำกับ ทว่า ฉันก็ต้องผิดหวัง เมื่อบนเก้าอี้ตัวเดิมยามนี้ปราศจากร่างของคุณท้าวอสุเรนทร์ในสภาพมนุษย์ให้ได้เห็น
“เมจ๋า เมื่อกี้เล่นดีมากเลย เจ๊ประทับใจจัง” เสียงเล็กแหลมของเจ๊ขวัญ ทำฉันรีบละสายตาจากเก้าอี้ตัวดังกล่าวมองกลับไปยังต้นเสียง ก่อนพบว่าผู้จัดการส่วนตัวกำลังหยิบยื่นขวดน้ำดื่มส่งมาให้
“ขอบคุณค่ะเจ๊”
“แล้วนี่ซีนต่อไป จำบทได้แล้วใช่ไหม?” อีกครั้งที่เจ๊ขวัญถาม ฉันเลยจำต้องพยักหน้ากลับไปแบบส่งๆ และเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ฉันก็เลยถามออกไปแบบรั้งรอ
“เจ๊ เมถามอะไรหน่อยสิ” ด้วยคำพูดดังกล่าว นั่นเลยทำให้หญิงสาวซึ่งตั้งใจรอคอยที่จะฟังอยู่เป็นเดิมทุนแล้ว รีบพยักหน้าหงึกหงักคล้ายเป็นการเปิดโอกาสทันที “พอดีเมลองไปศึกษาประวัติของท้าวอสุเรนทร์ดูน่ะ แล้วเมสงสัยอะไรนิดหน่อย”
“สงสัยอะไรจ๊ะ?” เธอถาม
“ตอนที่กุมภัณฑ์เอาตัวปกป้องท้าวอสุเรนทร์จากการทะเลาะกันของพวกยักษ์น่ะค่ะ ท่านท้าวอสุเรนทร์มอบอะไรเป็นของรางวัลให้กุมภัณฑ์เหรอคะ?” คนฟังนิ่งไปเล็กน้อย แสดงสีหน้าคล้ายกับพยายามครุ่นคิด แต่พักเดียวเท่านั้นแหละ เจ๊ขวัญก็ให้คำตอบได้ในที่สุด
“รู้สึกว่า...ท้าวอสุเรนทร์จะมอบอำนาจอิทธฤทธิ์บางส่วนของตัวเองให้กุมภัณฑ์ล่ะมั้งนะ...ก็เลยทำให้กุมภัณฑ์มีพลังฤทธิ์เดชเหนือกว่ายักษ์ตนอื่นๆ หากแต่เป็นรองท้าวอสุเรนทร์เพียงตนเดียวในนครยักษ์น่ะจ้ะ” พอได้ฟังแบบนี้แล้วมันก็อดนึกถึงน้ำเสียงใจดีของท้าวอสุเรนทร์ที่เอ่ยพูดกับกุมภัณฑ์ขึ้นมาไม่ได้
‘มึงมีความประสงค์อยากได้สิ่งใดเล่า หายดีเมื่อไหร่กูจักตบรางวัลให้อย่างงาม มิให้ขาด…’ ซึ่งฟังแล้วก็ดูสอดคล้องกับเรื่องที่เจ๊ขวัญเล่าไม่ใช่น้อย หากแต่ที่ขัดและติดอยู่ในใจน่ะมันคือคำพูดแปลกกับสีหน้าแปลกๆในบางช่วงเวลาของกุมภัณฑ์ต่างหาก
‘กระหม่อมมิประสงค์สิ่งใด นอกเสียจากอยู่รบเคียงบ่าเคียงไหล่คู่กับท่านท้าวไปจนกว่าชีวาจักหาไม่...’ รู้อีกที ปากก็กำลังขยับถามเรื่องน่าเกลียดฟังคล้ายกับเป็นการหลบลู่ตำนานท้าวอสุเรนทร์ออกไปเสียแล้ว
“เจ๊ว่า...ยุคสมัยของท้าวอสุเรนทร์น่ะ จะมีเรื่องเกี่ยวกับพวกชายรักชายไหม?”