“หล่อนเรียกฉันรึแม่สร้อย...” ฉันชะงักนิ่งไปเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่ว่าจะพยายามมองใบหน้าคนพูดเท่าไหร่ ภาพที่เห็นก็เป็นรูปลักษณ์ของณภัทร ผู้ชายที่ฉันเกลียดขี้หน้าอยู่ดี
“อะ...” ทว่า ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไร จู่ๆณภัทรก็เลื่อนมามาแตะมือฉันไว้ เพื่อให้ตัวพระและตัวนางร่ายรำเคียงคู่กันก่อนนึกย้อนภพชาติเดิมของตนเองตามบทบาทที่ต้องแสดง
มือของไอ้ณภัทรยามนี้เย็นเฉียบราวกับคนไร้เลือด ค่อยๆ จับมือฉันเลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ โดยจัดระดับวงบนให้อยู่ในระนาบเดียวกับหางคิ้ว ในขณะที่มือของเขาเองก็ทำเฉกเช่นเดียวกันหากแต่วงบนที่เขากลางออกไปนั้นสูงกว่านิดหน่อย ถ้าจะบอกว่ามันแปลกนี่ก็คงถือเป็นเรื่องแปลก และถ้าจะพูดว่าไม่แปลกมันก็คงไม่แปลกอะไรเช่นกัน
ฉันช้อนตาขึ้นมองหน้าบุคคลตรงหน้าเล็กน้อยตามบทบาทของตัวเองก่อนเริ่มขยับกายเคลื่อนไหวร่ายรำอย่างอ่อนช้อย ตามบทบาทนางรำที่ได้รับ แต่ดูเหมือนว่าการร่ายรำโดยปราศจากเสียงทำนองมันก็ค่อยข้างยากพอดู แต่เพื่อไม่ให้พี่ช้างหัวเสียกับการเล่นไม่ผ่าน ฉันจึงต้องพยายามขยับเคลื่อนการร่ายรำเคียงคู่กับไอ้ณภัทรต่อไป
แล้วตอนนั้นเอง ทั่วบริเวณก็เริ่มแว่วเสียงบรรเลงดนตรีไทยดังให้ได้ยิน เพราะคิดว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของเหล่าทีมงานที่คุมซาวด์ ฉันจึงไม่สนใจอะไร ทว่า ในบทบาทสุดท้ายที่ตัวนางต้องรำหมุนตัวหันกลับไปมองหน้าตัวพระเป็นหนสุดท้ายก่อนถูกสั่งคัต
วินาทีที่ช้อนตามองหน้าคนตัวใหญ่ซึ่งกำลังร่ายรำคู่กัน มันก็เป็นฉันเสียเองที่ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อภาพใบหน้าของณภัทรในชุดเครื่องทรงยักษ์ยามนี้เปลี่ยนไปกลายเป็นภาพใบหน้าของใครอีกคนที่ฉันคุ้นตาดีซ้อนทับขึ้นมาแทน
รอบกายเองก็คล้ายกับเริ่มเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น เมื่อภาพของพระอุโบสถสถานที่ถ่ายทำเริ่มมีการบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยนไปจากภาพเดิมที่ติดตา พื้นปูนที่เท้าเปล่ากำลังเหยียบย้ำตามจังหวะร่ายรำเองก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน จากพื้นซีเมนต์แข็งๆ เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นพื้นหญ้าเขียวขจีให้ความรู้สึกเบาบางยามเหยียบย้ำ
เฉกเช่นกับภาพรอบกายที่ผันเปลี่ยนกลายเป็นสวนสวยแห่งหนึ่งใกล้กำแพงเมืองโบราณสูงตระหง่าน และตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้ คือที่ที่ฉันเคยเห็นมาแล้วครั้นหนึ่งในความฝันครั้งก่อน...
กึก...
ใบหน้าคมเข้มหากแต่ดูดุดันของผู้เป็นเจ้าขององค์ประกอบดูดีบนใบหน้ากำลังมองจ้องฉันลงมานิ่งๆ ไม่แสดงสีหน้าใดแม้ว่าเขายังขยับร่างกายร่ายรำตามเสียงบรรเลงเครื่องสายเคียงคู่อยู่เคียงข้าง
ภาพสีหน้านิ่งๆ หากแต่ดูจริงจังและตั้งใจของท้าวอสุเรนทร์ขณะร่ายรำทำฉันเหมือนดั่งต้องมนต์ ทั้งที่ควรหยุดร่ายรำตามบทลงได้แล้ว แต่ร่างกายก็ไม่เชื่อฟัง ยังคงขยับเคลื่อนไหวตอบรับการร่ายรำชายหนุ่มแบบเคียงคู่ในระยะใกล้ชิด
ยามต้องตาสบประสานสายตากันตรงๆขณะร่ายรำ โลกทั้งใบในยามนั้นก็คล้ายหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ ราวกับว่ามีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นที่ยังสามารถเคลื่อนไหวร่ายกายร่ายรำตามเสียงทำนองเพลงไทยได้อย่างเป็นปกติ หูสองข้างเองก็เหมือนมืดบอดไม่สามารถได้ยินเสียงอื่นนอกจากเสียงอัตราการเต้นของหัวใจที่คล้ายกับแปรเปลี่ยนไปอย่างไร้เหตุผล
แต่แล้วจังหวะเดียวกัน ก็กลับมีเสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยดังขึ้น...
‘ท่านท้าวอสุเรนทร์ขอรับ...’ เสียงเข้มดุดัน หากแต่ให้ความรู้สึกนอบน้อมยามต้องเอ่ยถ้อยสนทนา ทำเอาการร่ายรำที่มีหยุดชะงักลงโดยฉับพลัน เมื่อพบว่าเจ้าของคำพูดดังกล่าวไม่ใช่ใคร แต่ว่าเป็นกุมภัณฑ์ยักษ์หนุ่มที่ท้าวอสุเรนทร์เคยกล่าวหาไว้
หากแต่เสียงเรียกดังกล่าว ใช่ว่าจะทำให้ชายหนุ่มอีกคนหยุดการเคลื่อนไหวลงที่ไหน เพราะเขาถามทั้งที่ยังร่ายรำอยู่
‘มีเหตุอันใดรึ?’
‘บนแดนสรวงเล่าลือกันไปยกใหญ่ ว่าท่านท้าวต้องตานางสวรรค์นางหนึ่ง หมายมั่นจักอภิเษกด้วย...’ คำพูดประโยคดังกล่าวทำฉันที่เผลอชะงักการเคลื่อนไหวลง ตัดสินใจก้าวเท้าถอยห่างออกจากคนทั้งคู่เมื่อเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์รอบตัวตอนนี้มันเปลี่ยนไป คล้ายกับว่ายักษ์ทั้งสองตน มองไม่เห็นฉันซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
และคำถามดังกล่าวก็ใช่ว่าจะได้รับคำตอบจากคนถูกถามเสียเมื่อไหร่ เมื่อท้าวอสุเรนทร์ขยับยิ้มคล้ายกับกำลังเคอะเขิน จากนั้นก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามย้อนกลับไป
‘การร่ายรำของเรายามนี้...เหมาะสมจะเคียงคู่กับนางได้หรือไม่เล่า ไอ้กุมภัณฑ์?’ แม้ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทว่า สังเกตจากสีหน้าของคนถูกถามกลับอย่างกุมภัณฑ์แล้ว รับรู้ได้เพียงแค่ว่าเขาดูไม่ค่อยสู้ดีกับคำถามดังกล่าวนัก
อาจเพราะเขามีหน้าที่รับใช้ท้าวอสุเรนทร์อย่างใกล้ชิดล่ะมั้ง สิ่งที่กุมภัณฑ์ตอบคนตัวใหญ่กลับไปจึงมีเพียงวลีสั้นๆ
‘หามิได้ขอรับ...’ เพราะคิดได้ว่ามโนภาพที่ได้เห็นนั้นอาจเป็นเพียงภาพความฝันครั้งก่อน เผลอๆตอนกำลังแสดงฉันอาจจะสะดุดเท้าตัวเองหัวฟาดพื้นอีกรอบก็ได้ เพราะงั้นฉันจึงพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นด้วยการใช้ฝ่ามือตบลงมายังแก้มตัวเองหนักๆ ทว่า...
ตึง!!
จู่ๆแผ่นดินโดยรอบก็เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ซึ่งมันแรงมากเสียจนฉันไม่สามารถยืนทรงตัวอยู่บนพื้นหญ้าได้อีกต่อไป ล้มพับลงไปกองบนพื้นหญ้าแทบจะวินาทีนั้น และดูท่าว่าแรงสั่นสะเทือนดังกล่าวก็ดูจะทำให้ยักษ์หนุ่มทั้งสองเริ่มแสดงปฏิกิริยาให้ได้เห็นเช่นกัน
‘ท่านท้าวอสุเรนทร์ขอรับ! ท่านท้าวอสุเรนทร์!’ ซึ่งนั่นมาพร้อมกับเสียงเรียกซึ่งฟังดูแตกตื่นและตื่นกลัว พานให้ต้องเหลียวมองตามเสียงโดยอัตโนมัติก่อนพบว่าชายเจ้าของเสียงที่พรวดพราดเข้ามายังพื้นที่ภายในสวนด้วยทีท่าตื่นตระหนกยามนี้ มีลักษณะรูปกายเหมือนมนุษย์ปกติ แต่งกายด้วยเสื้อแพรสีขาวทั้งตัว
‘มีเหตุอันใดหรือท่านชมชิตทร์?’
‘พื้นด้านนอกวังกำลังเกิดศึกพะยะค่ะ’
‘ศึกอันใดงั้นรึ!?’
‘ท่านมหาอุปราชรามสูรกับพระสหายไชยเชษฐ์ กำลังประมือกันอยู่ด้านนอกวังพะยะค่ะ!’ สิ้นเสียงบอกกล่าว ท้าวจ้าวเมืองนครยักษ์ก็รีบรุดพาตัวเองเดินย้ำเท้านำออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง คล้ายกับไม่ชอบใจ
ส่วนฉันยังคงนั่งอยู่บนพื้นหญ้าไม่ได้ขยับตัวลุกแล้วเดินตามหลังท้าวอสุเรนทร์ออกไปยังจุดเกิดเหตุหรอก ต่อให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าที่ตรงนั้นคือที่มาของแรงสั่นสะเทือนของพื้นดินได้ขนาดนั้น เชื่อเถอะว่าที่แห่งนั่นน่ะไม่ใช่ที่ที่ฉันสมควรจะต้องไปเลยสักนิด
ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ทันทีที่กุมภัณฑ์ยักษ์หนุ่มเริ่มมีปฏิกิริยาขยับตัวเคลื่อนไหวก้าวตามหลังผู้เป็นนายออกไป ร่างทั้งก็ร่างคล้ายกับถูกแรงดึงดูดประหลาดฉุดกระชากกายให้ขยับลุกขึ้นแบบไม่สามารถบังคับได้ ราวกับทุกการเคลื่อนไหวของยักษ์กุมภัณฑ์คือหนึ่งเดียวกับร่างกายของฉันก็อย่างไรอย่างนั้น
กึก...
ด้วยเพราะสถานการณ์ทางกายเหมือนถูกสิ่งอื่นควบคุม สุดท้ายเท้าทั้งสองข้างก็พาร่างทั้งร่างมายังจุดเกิดเหตุได้ในที่สุด และพบว่าที่มาของแรงสั่นสะเทือนคล้ายกับเกิดแผ่นดินไหวนั้นมีสาเหตุมาจากการกระทืบเท้าของยักษ์สองตน ซึ่งมีความสูงเทียบเท่ากับตึกสูงในกรุงเทพฯ ขณะที่พวกมันกำลังพุ่งตัวปะทะเข้าหากันแบบไม่มีใครยอมใคร
ทั่วพื้นที่โดยรอบค่อนข้างโกลาหล ด้วยทั้งการต่อสู้ของยักษ์สองตน ไหนจะเหล่าทหารยักษ์ที่พากันมาอารักษ์ขาท่านจ้าวเมือง รวมถึงประชากรยักษ์ตนอื่นๆ ซึ่งอยู่ด้านนอกรั้ววัง
‘พวกมึงมีเหตุอันใด ใยจึงสงครามไม่เกรงใจกูเช่นนี้!’ ฉันได้ยินเสียงของท้าวอสุเรนทร์ตะคอกกร้าวถามยักษ์สองตนตรงหน้าท่ามกลางความโกลาหลคล้ายกับต้องการหาที่มาที่ไป
‘อุเหม่! ไอ้ชาติชั่วไชยเชษฐ์ ดูมึงห้าวนักริรักเมียกู!’ แต่ดูเหมือนว่าการปะทะกันของยักษ์ตนจะดุเดือดเกินกว่าจะสนใจเสียงทรงอำนาจของจ้าวเมืองนัก
‘เพียงอัปสรตนเดียวใยท่านรามสูรจึงต้องเป็นฟืนเป็นไฟด้วยเล่า นางหาได้มีคุณค่าไม่’
‘ไอ้ชาติอัปรีย์เสียทีเป็นอสุรี ความอ่านมึงรึชั่วช้ายิ่งเดรัจฉาน!’ สิ้นเสียงตะคอกอย่างดุดันและเกรี้ยวกราด ยักษ์หนุ่มซึ่งถูกเรียกว่ารามสูรก็เสกตรีสูลบังเกิดต่อสายตา ก่อนฟาดฟันอาวุธในมือเข้าใส่คู่วิวาทเบื้องหน้า หากนั่นก็ใช่จะเกิดผล เมื่อคู่วิวาทไชยเชษฐ์อัญเชิญกงจักรขนาดใหญ่หมายปกป้องร่างกายจากคมฤทธิ์ตรีสูลได้อย่างทันท่วงที พานให้ท้องฟ้าซึ่งเคยสดใสเริ่มมืดครึ้มและเกิดเสียงฟ้าร้อง
เปรี้ยงง!!!
ไวกว่าจะทันได้ตั้งตัว นาทีนั้นเองจู่ๆก็เกิดอาเพศของสองอาวุธทรงฤทธานุภาพที่ยักษ์สองตนใช้เข้าปะทะกัน บังเกิดเป็นสายฟ้าฟาดผ่าลงมากึ่งกลางระหว่างยักษ์ทั้งสองตนอย่างรุนแรง พานให้ผืนดินโดยรอบสั่นสะเทือน
และด้วยแรงผ่าของสายฟ้าเมื่อครู่นั้นเอง พลอยให้เศษเหล็กทรงฤทธากระเด็นพุ่งเข้าใส่ประชาชนผู้โชคร้ายโดยรอบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงท้าวอสุเรนทร์จ้าวเมืองยักษ์ด้วยเช่นกัน ทว่า...
ฟึ่บ!
อีกครั้งที่ร่างทั้งร่างถูกแรงเคลื่อนไหวของยักษ์หนุ่มอีกตนบีบบังคับให้ขยับตัวเคลื่อนไหวไปเอง พานให้เท้าทั้งสองข้างซึ่งเคยยืนหยุดนิ่งสนิทพุ่งกระโจนเข้าหาร่างของท้าวอสุเรนทร์ทันที ทั้งที่ในความเป็นจริง ฉันไม่คิดกล้าทำเรื่องดีเดือดเสี่ยงหาที่ตายแบบนี้เลยแม้แต่นิด
ซึ่งทุกการกระทำทั้งหมดที่ร่างกายฉันเป็นนั้น เกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียงกับร่างของยักษ์หนุ่มกุมภัณฑ์ใช้วงแขนโอบรอบกายผู้เป็นนายไว้ก่อนที่ผู้เป็นนายจะได้รับบาดเจ็บจากเศษคมเหล็กทรงฤทธิ์
“อ๊ะ! / อั่ก!” วินาทีที่ร่างกายฉันประกบซ้อนทับกับร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มกุมภัณฑ์จนเหมือนเป็นคนเดียวกัน บริเวณกลางหลังก็เริ่มรู้สึกอาการเจ็บปวดราวกับมีใครจุดไฟเผา
ฉึก!
รู้อีกทีร่างของฉันกับยักษ์กุมภัณฑ์ก็ค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้นด้วยพิษบาดแผลอย่างพร้อมเพรียงเสมือนเป็นร่างเดียวกัน
ตุบ!
แต่ก่อนที่ภาพที่เห็นผ่านสายตาจะดับมืดลง ฉันก็ยังรู้สึกถึงแรงกระทืบเท้าด้วยความโมโหพานให้ทั่วทุกพื้นดินสั่นสะเทือนหนักหน่วงกว่าครั้งไหนๆ ท้าวอสุเรนทร์เพิ่มขนาดความสูงของตนเองด้วยมนต์เวทขณะร่ายคมศรของคันธนูสีทองประจักษ์แก่ทุกสายตา เพื่อใช้กำหราบยักษ์หนุ่มใจร้อนสองตนตรงหน้าอย่างไร้ความปรานีแม้ว่ายักษ์สองตนนั้นอาจเป็นคนที่เขารู้จักดีก็ตาม
พร้อมกันนั้นหูก็ยังเสียงประกาศก้องอย่างเกรี้ยวกราดของท้าวจ้าวเมืองยักษ์ซึ่งมาพร้อมกับลมฟ้าลมฝนหลังปราบจรชนวิวาททั้งสองจนล้มลง
‘เอาตัวไอ้ไชยเชษฐ์กับมหาอุปราชรามสูรไปลงโทษ!’