ตอนที่ 4 / 3

2431 คำ
การประชุม... ในความหมายของผู้กำกับคนดังที่ได้นัดเหล่านักแสดงมาวันนี้ ไม่ได้เคร่งเครียด เอาเป็นเอาตายอย่างภาพของการประชุมที่มีให้เห็นโดยทั่วไป หากแต่เป็นการนัดหมายนักแสดงหลักในเรื่องมาทำการบรีฟคาแรคเตอร์ของตัวละคร เพื่อจะแจกแจงให้นักแสดงแต่ละคนได้กลับไปทำการบ้าน คลุกคลี ทำความรู้จักกับตัวละครนั้น ๆ ให้มากขึ้น ก่อนจะมีการสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้น ๆ ไปอีกเป็นปี ๆ                                             และแม้ละครเรื่องนี้จะเป็นแนวโรแมนติก คอมเมดี้ แต่ความใส่ใจ ความละเอียดลออของผู้จัดและผู้กำกับคู่นี้ที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่ว ทำให้นักแสดงและทีมงานทั้งหลายต่างก็ให้การยอมรับและให้ความเคารพนับถือ จนเกิดเป็นความตั้งใจทำงานเพื่อให้สมกับความพิถีพิถันของคนทั้งคู่                                             ตอนนี้ ตรงหัวโต๊ะตัวยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็คือผู้กำกับที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่า 'พี่คิง' ถัดมาก็เป็นพระเอก นางเอกของเรื่อง และไล่เรียงไปก็เป็นนักแสดงหลักคนอื่น ๆ รวมทั้งหมดแล้ว ภายในห้องประชุมนี้ก็นับได้สิบชีวิตพอดี ซึ่งขาดแต่ผู้จัดที่บัดนี้ ได้ขอตัวออกไปดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับทุกคนในนี้นั่นเอง                   เมื่อนักแสดงที่นัดหมายมาอย่างพร้อมเพรียง และหลังจากที่ทุกคนได้ทักทายพูดคุยกันจนเป็นที่สมควรแล้ว ผู้กำกับคนเก่งจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน                                                          "เอาล่ะ พี่จะเข้าเรื่องที่นัดพวกเรามาวันนี้เลยนะ" ผู้กำกับในวัยห้าสิบปีกว่ากล่าวขึ้น ก่อนจะหันไปถามพระเอก และนางเอกของเรื่องอย่างสนใจอีกว่า "ว่าแต่รุษและน้องน้ำฝนนี่เคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า"                                                                   "ถ้าเป็นเรื่องของการแสดง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องแรกของเราสองคนค่ะ พี่คิง" สลิลทิพย์ตอบขึ้นมาเอง                                    "ครับพี่คิง ผมเคยเจอน้องตามงานอีเวนต์ ตามงานอื่น ๆ มาบ้าง แต่เราสองคนก็แทบไม่ได้พูดคุยกันเลย" อรุษเสริมอีกเสียง     "งั้นก็ต้องรีบทำความรู้จัก ทำความสนิทสนมกันให้มาก ๆ นะ เพราะเรื่องนี้เราสองคนต้องมีฉากเข้าพระเข้านางกันบ่อยมาก จะได้คุ้นเคย ไม่เคอะเขินเวลาแสดง"                                       ผู้กับกับคนดังแนะนำเล็กน้อยพอเป็นพิธี ความจริงอาทิตย์หน้าขนิษฐ์ ผู้จัดละครของเรื่องนี้ก็ได้นัดให้ทั้งสองไปทำเวิร์กชอปร่วมกันที่บ้านครูนก ครูทางการแสดงชื่อดังอยู่แล้ว เพราะถ้าพระนางทั้งสองมีความสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว การร่วมงานกันก็จะยิ่งลื่นไหลและดูเป็นธรรมชาติด้วยนั่นเอง                      สลิลทิพย์ยิ้มรับคำแนะนำของผู้กำกับ ซึ่งหลังจากนี้แล้ว นางเอกสาวก็สามารถหาเรื่องขอไอดีไลน์ หรือกดติดตามอินสตาแกรมของเขาได้อย่างไม่ดูน่าเกลียดอีกด้วย เพราะการคุยกันนอกรอบจะทำให้เธอและเขาสนิทสนมกันเร็วขึ้น นั่นก็เป็นโอกาสงามๆ ที่สลิลทิพย์คนนี้จะเขยิบเข้าไปกระซับพื้นที่หัวใจเขาได้เร็วขึ้นเช่นกัน     ยามนี้ ประกายแววตาของนางเอกสาวที่ลอบมองชายหนุ่มข้าง ๆ ได้แฝงแววบางอย่างเอาไว้ด้วย เมื่อครู่ก่อนหน้าที่เจอกันตอนอยู่หน้าห้องประชุม สลิลทิพย์ยอมรับว่า เขาเป็นผู้ชายที่มีแรงดึงดูดต่อสาว ๆ เป็นอย่างมาก ทั้งรูปร่าง และหน้าตา แม้แต่ยามที่เขามัวแต่ก้มหน้าอ่านคาแรคเตอร์ตัวละครที่ผู้จัดได้ บรีฟมาให้ พอเงยหน้าขึ้นมาที จมูกโด่งที่เป็นสันดูงดงามก็เตะตาเธอเข้าทันทีด้วย แถมใบหน้าคมคายบางมุมก็หล่อเหลาราวกับพระเอกหนังเกาหลีชื่อดังคนหนึ่งอีก                                                           โอ๊ย ยิ่งแอบมองเขา...ใจเธอก็ยิ่งจะละลาย พี่แองจี้พูดถูก เขาเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปหมดทั้งรูปร่าง หน้าตา และฐานะ แม้ว่าการก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง เขาจะไม่เคยเอ่ย หรือให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องทางบ้าน หรือธุรกิจของตระกูลที่เป็นกับใครเลยสักครั้ง แม้นักข่าวจะพยายามถามแล้วโยงให้เขาพูดถึงธุรกิจหมื่นล้านบ้าง แต่อรุษก็ตอบแบบนิ่มนวลว่า 'อยากให้พี่นักข่าวช่วยโฟกัสที่ผลงานมากกว่า แทนที่จะไปโฟกัสว่าเขาเป็นใคร หรือมีนามสกุลอะไร'                                                             สลิลทิพย์จึงรู้สึกว่าอรุษ เหมือนของมีค่าที่หาได้ยาก ขนาดเจอหน้าเธอเมื่อครู่ เขาก็ดูไว้ตัว ไม่มีความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มที่จะขายขนมจีบเธอเหมือนอย่างพระเอกคนอื่น ๆ ที่เธอเคยร่วมงานด้วยเลย ...                                                            ดาราสาวสวยหน้าหมวยคนนี้จึงหมายมั่นว่า การร่วมงานกับเขาในครั้งนี้ เธอจะต้องรีบพิชิตทั้งตัวและหัวใจเขาให้ได้!  แล้วเสียงทุ้มของใครคนหนึ่ง ก็ดังขึ้น ปลุกสลิลทิพย์ที่เผลอมองคนข้าง ๆ อย่างเผลอไผลได้รู้สึกตัว                         "งั้นหลังจากประชุมเสร็จก็เริ่มทำความรู้จักกันเลยสิ เดี๋ยวหลังจากนี้น้องน้ำฝนก็ช่วยเป็นเจ้ามือเลี้ยงพระเอกคนใหม่ไปเลย อ้อ ต้องพ่วงเพื่อนพระเอกอย่างพี่ด้วยนะ เพราะพี่ก็ต้องเข้าฉากกับน้องน้ำฝนบ่อยพอ ๆ กับพระเอกคนนี้ เอาเป็นกาแฟสักแก้ว พี่กับรุษก็คุ้นเคยด้วยแล้ว"                                                                ชาร์ม ดาราหนุ่มอารมณ์ดีที่มักจะได้รับบทพระรอง หรือเพื่อนของพระเอกเสมอ ได้ยื่นหน้าจากอีกฝากของโต๊ะแซวขึ้น ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องผ่อนคลายขึ้นอีก แม้ส่วนมากในห้องนี้จะเป็นนักแสดงที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่คงยกเว้นแค่พระนางของเรื่อง ซึ่งคนหนึ่งก็ถือว่ายังใหม่กับช่องเพราะเพิ่งย้ายจากอีกช่องมา ส่วนอีกคนก็เพิ่งเข้ามาในวงการได้เพียงสองสามปีเท่านั้นเอง  สลิลทิพย์ได้ที รีบยื่นหน้าว่าอย่างทะเล้นว่ากลับไป "เลี้ยงพี่รุษ คนเดียวได้อยู่หรอกนะ แต่พี่ชาร์มกินจุ น้ำฝนเลี้ยงไม่ไหวหรอกค่ะ"                                                                                   "อ้าว! เพื่อนพระเอกอย่างพี่ ก็อดเลย"                                เห็นบรรยากาศเริ่มพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ผู้กับกับของเรื่องจึงยิ้มอย่างพอใจอีก ก่อนจะดึงบทสนทนาเข้าเรื่องที่พูดค้างต่อ "เอาล่ะ เดี๋ยวขอพี่คุยถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกและนางเอกอย่างคร่าว ๆ ก่อนนะ คือตอนเริ่มเรื่องไปจนถึงกลางเรื่อง ด้วยความไม่ชอบขี้หน้ากัน เพราะนางเอกมักจะดูน่ารำคาญในสายตาของพระเอก ส่วนนางเอกก็จะมองพระเอกอย่างหมั่นไส้เพราะ..."  "ขี้เก๊กค่ะ! "                                                                     อรุษฟังเพลิน ๆ ถึงกับทำหน้าเหวอขึ้น แล้วจึงหันมาถามหญิงสาวข้าง ๆ อย่างหวาดหวั่นว่า "แล้วตอนนี้พี่ดูขี้เก๊กกับน้องน้ำฝนหรือเปล่า"                                                                          "เปล่าหรอกค่ะ น้ำฝนก็ว่าตามบทที่ได้มา"                           "แล้วไป …." เขาว่าพลางทำท่าโล่งอก พลอยเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ รอบโต๊ะได้อีกครั้ง                                                      "ทั้งสองเคยเจอกันตอนเด็กมาก่อน..." เสียงผู้กำกับคนดังเอ่ยต่อจากนั้น "เพราะพระเอกเคยไปช่วยนางเอกจากกลุ่มเด็กอันธพาลที่มาแกล้งระหว่างที่นางเอกกำลังรอคุณพ่อคุณแม่มารับหลังเลิกเรียน นางเอกก็ประทับใจพระเอกตั้งแต่ตอนนั้น แต่นั่นก็คือตอนเด็กนะ พอโตขึ้นด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป นางเอก พระเอกจึงจำกันไม่ได้ในตอนแรก จนไปถึงกลางเรื่องและท้าย ๆ เรื่องนั่นจึงรู้ว่าเป็นคนในอดีตของกันและกัน"  อรุษฟังผู้กับ ๆ อยู่เพลิน ๆ เนื้อหาของละครเรื่องนี้เริ่มคลับคล้ายคลับคลาบางช่วงของชีวิตตัวเอง แล้วตัวของชายหนุ่มจึงเหมือนถูกกลืนเข้าไปในหลุมสีดำของอดีตเข้า จากนั้น....ภาพของเขาในวัยเด็กก็ปรากฏขึ้นมา…                                      ภาพนั้น เป็นภาพที่มีแสงแดดระยิบของยามเย็น แล้วก็มีเด็กผู้หญิงอายุราวสิบขวบ ในชุดนักเรียนกำลังเดินอยู่ในซอยหนึ่ง และด้านหลังไม่ห่างออกไปก็มีเด็กชายอายุราว ๆ เจ็ดขวบในชุดนักเรียนแต่คนละสถาบันกันกำลังเดินตามมาไม่ห่าง เด็กหญิงคนนั้นจึงหยุดเดิน ทำหน้ารำคาญเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับ แล้วว่า                                                                                            'จะเดินตามพี่ไปถึงไหน กลับไปหาพ่อหาแม่เราได้แล้ว เจ้าเด็กอ้วน!'                                                                       เด็กผู้ชายตัวกลมป้อมก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยน้ำเสียงและแววตาเศร้า ๆ 'ผมไม่มีพ่อ ไม่มีแม่'           'อ้าว เป็นงั้นไป! '                                                            'ผมกลัวเด็กพวกนั้น จะมาแกล้งผมอีก' เจ้าเด็กอ้วนหมายถึงกลุ่มเด็กนักเรียนชายที่เพิ่งแกล้งตนตรงหน้าปากซอยมาหยก ๆ แต่โชคดีที่พี่สาวใจดีคนนี้ไปเจอเข้า แม้จะเป็นแค่เด็กผู้หญิง แต่ก็สามารถต่อสู้กับกลุ่มของเด็กผู้ชายเกเรกลุ่มนั้นได้อย่างสบาย ๆ ในที่สุดเจ้าหล่อนก็สามารถตะเพิดเด็กกลุ่มนั้นไปได้ด้วยกำลังเพียงหนึ่งต่อห้า จนเจ้าเด็กอ้วนคนนี้รู้สึกทึ่ง และประทับใจในตัวพี่สาวคนนี้เข้าอย่างมากมาย                             กระทั่งตอนนี้จึงแอบเดินตามหลังเจ้าหล่อนไปเรื่อย ๆ แต่เจ้าตัวก็รู้ตัว แล้วหันมาห้ามอย่างนี้                             เด็กหญิงตัดสินใจเดินกลับมาหยุดตรงหน้าเจ้าเด็กอ้วนที่มีความสูงระดับอก ก่อนจะทรุดลงนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า พลางวางมือข้างหนึ่งลงกับกลุ่มผมหนานุ่มยักโศก ที่แม้จะดูหยิกงอแต่ก็รับกับใบหน้ากลมแป้นของอีกฝ่ายได้อย่างน่ารักน่าชัง จนเจ้าหล่อนอดที่จะขนานนามเด็กผู้ชายคนนี้ว่า ...'เจ้าเด็กอ้วน' ไม่ได้          'พี่ไม่สามารถช่วยเราได้ตลอดไปหรอกนะ เจ้าเด็กอ้วนต้องหัดช่วยเหลือตัวเองให้เยอะ ๆ เข้าใจมั้ย อย่างเจ้าเด็กกลุ่มนั้น พี่ช่วยสั่งสอนมันไป มันก็คงไม่กลับมาแกล้งเราได้อีกสักพักหนึ่ง แต่ก็นั่นล่ะ จากนั้นเราก็ต้องลุกขึ้นมาปกป้อง ลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวเองบ้าง เพราะพี่...คงไม่บังเอิญผ่านมาแถวนี้ได้ทุกวันหรอก'      ว่ายาว ๆ แล้วชะงักขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่อเจ้าเด็กอ้วนตรงหน้า ได้ยื่นมือกลมป้อมมาลูบที่เหนือหางคิ้วของเธอ ตรงนี้จะมีรอยแผลจากก้อนหินก่อนหนึ่ง ที่เกิดจากน้ำมือของหนึ่งในกลุ่มเด็กเกเรพวกนั้นปาใส่ แล้วมันก็โดนเข้าที่บริเวณเหนือหางคิ้วแบบถาก ๆ จนรอยเกิดบาดแผลตรงนี้ แม้ไม่ลึก ไม่กว้าง แต่ก็มีเลือดไหลซิบ ๆ ออกมาให้เห็นจนได้                                                          'เจ็บมั้ยฮะ?' เจ้าเด็กอ้วนถามขึ้น พร้อมกับเช็ดคราบเลือดสีแดงจาง ๆ ออกอย่างเบามือ                                            'ไกลหัวใจพี่' เจ้าหล่อนว่าแล้วก็ยิ้มแย้ม ก่อนจะยกมือขึ้นมาเกลี่ยตรงพวงแก้มที่ย้อยลงเป็นสองก้อนกลม ๆ ตรงหน้า แก้มอวบอิ่มเต็มกำมือนี่ก็รับกันดีกับผมหยิกหยอง แก้มที่เต็มไปด้วยเนื้อนี่จึงดูจ้ำม่ำน่าบีบเล่นเหลือเกิน 'ขอบใจนะที่เป็นห่วงพี่ เจ้าเด็กอ้วน'                                                                            เธอว่าแล้วทำท่าจะลุกขึ้น แต่มือป้อม ๆ นั้นก็ประคองแก้มตอบของเจ้าหล่อนแล้วลูบเบา ๆ ตาม              เด็กหญิงจึงหัวเราะคิกเสียงใสแล้วว่าอีก 'แหม หัดมือไวตั้งแต่เด็กเลยนะ เราน่ะ ดีนะ ที่พี่ผ่านมาช่วยเหลือเราเมื้อกี้ เลยเห็นเป็นน้องชาย แล้วน้องชายจะจับแก้มพี่สาวบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ อย่าไปทำอย่างนี้กับผู้หญิงคนอื่นอีกนะ เอาล่ะ เย็นแล้วพี่จะกลับบ้าน เราก็กลับบ้านเราซะ แล้วนี่บ้านของเราอยู่ไหน พี่เดินไปส่งก็ได้'       'ก็ถึงแล้วนี่ฮะ'                                                                 'หา!' เด็กหญิงอุทาน พลางผุดลุกขึ้น ก่อนจะหันหลังไปดู ตอนนี้เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังใหญ่โตหลังหนึ่ง แล้ว เด็กหญิงจึงกลืนน้ำลายช้า ๆ มัวแต่ตะลึงกับขนาดของบ้านและพื้นที่ของมัน 'นี่อย่าบอกนะว่า...'                                                     'นี่คือบ้านผม'                                                                 เด็กหญิงมองผ่านรั้วอัลลอยด์สูงใหญ่เข้าไปในบ้านหลังสีขาวนี้อีกครั้ง บ้านหลังใหญ่โตหรูหรามาก ขาของเด็กหญิงเริ่มสั่นเพราะไม่คิดว่าเด็กชายตัวกลม ๆ คนนี้จะมีฐานะดีถึงขนาดนี้ แล้วทำไมคนในบ้าน ถึงได้ปล่อยให้ลูกหลานไปเดินเตร็ดเตร่ตามถนน จนเจอกับกลุ่มเด็กเกเรอย่างเมื่อครู่เข้าล่ะ 'เอาล่ะพี่มาส่งเราได้แค่นี้ เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปหาพ่อกับแม่พี่แล้ว'                       'แล้วบ้านพี่อยู่แถวไหนฮะ' เสียงเด็กชายถาม ทำลายความอึ้งของเด็กหญิงลง                                                                    'บ้านพี่...เราอยู่กันไม่เป็นที่หรอก' เสียงของเด็กหญิงเศร้าลง แต่แล้วแววตาเจ้าหล่อนก็กลับมาแจ่มใสเปล่งประกายได้อย่างรวดเร็ว 'เพราะพ่อพี่ทำงานก่อสร้าง ส่วนแม่ก็ขายกับข้าวใกล้ ๆ แคมป์คนงาน พอก่อสร้างที่นี่เสร็จก็ย้ายไปเรื่อย ๆ ตามแต่เถ้าแก่เขาจะรับงาน พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราอาจจะเห็นพี่เดินอยู่ในซอยนี้อยู่ แต่บางวันก็ไม่เห็นอีกแล้ว เพราะถ้าเถ้าแก่ให้พ่อพี่ไปทำงานที่ไหน พี่กับแม่ก็ต้องย้ายตามไปที่นั่นด้วย เอาล่ะนะ กลับไปเถอะ พี่จะไปหาแม่แล้ว เย็น ๆ แบบนี้จะมีคนมาซื้อกับข้าวมาก พี่จะต้องไปช่วยแม่ขายกับข้าวก่อน'                              ว่าแล้วเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียน ผมยาวที่ถักเปียสองข้างแล้วถูกรัดด้วยหนังยางรัดแกงอย่างง่าย ๆ ก็ผละจากไปทันที   "เอาล่ะ ตอนนี้ มาพูดถึงเรื่องของคู่พระรอง นางรองกันต่อนะ…"                                                                         เสียงของผู้กำกับคนดังดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้อรุษจำต้องละทิ้งความทรงจำในวัยเด็กนั้นไป ซึ่งเป็นความทรงจำอันงดงามเดียวที่ยังสถิตย์อยู่ในใจของอรุษให้อ่อนไหวได้อยู่เสมอ แม้ว่าตอนนี้ทั้งเขาและเจ้าหล่อนคนนั้น จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็ตาม… 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม