"นี่ชุดสูทของน้องรุษ เดี๋ยวเอาให้เขาเปลี่ยนหลังจากแต่งหน้าทำผมแล้วนะ พี่จะต้องไปดูความเรียบร้อยชุดของน้องชาร์มก่อน" ว่าแล้วก็ลอบเบะปากมองบนให้หญิงสาวตรงหน้าดู เพราะทั้งสองรู้ดีว่า ดาราหนุ่มคนนี้เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจะต้องเป๊ะไปทุกกระเบียดนิ้ว จึงเป็นหน้าที่ของเอมี่ที่จะต้องไปดูความเรียบร้อยให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองดีกว่าจะส่งคนอื่นในทีมไปดู
ขืนใครไปดูให้ไม่ถูกใจ จะโดนดาราหนุ่มรายนี้ตะเพิดมาให้เอมี่ต้องกลับไปดูด้วยตัวเองอยู่ดี
ปวริศารับชุดสูทตัวแพงลิ่ว(อีกแล้ว) ที่เธอและเอมี่ไปยืมมาจากสปอนเซอร์เจ้าดังมาถือ พลางคิดอย่างแกน ๆ ว่า จะทำหน้ายังไงดี (วะ) ตอนที่ต้องยื่นชุดสูทนี้ให้เขาเอาไปเปลี่ยน!
อรุษเดินเข้ามายังห้องแต่งตัวของนักแสดง เขาทักทายคนอื่น ๆ และทีมงานด้วยความคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
ปวริศาเองก็อาศัยเวลานั้น เดินตามหลังเขาอยู่ห่าง ๆ ในมือยังถือชุดสูทหรูที่เอมี่เตรียมไว้ให้ ขณะนั้น เธอก็ได้ยินเสียงช่างแต่งหน้าทำผมประจำกองคุยกับนักแสดงหญิงอีกคน
"นอนดึกอีกแล้วใช่มั้ย..." ถามขณะที่ละเลงแป้งพัฟท์ไปตามใบหน้าของนักแสดงหญิงคนนั้น
"รู้ได้ไงเนี่ย พี่" เนื่องจากทั้งสองมีความสนิทสนมกันเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว จึงพูดจาเช่นนี้ต่อกันได้
"ก็แป้งมันไม่ค่อยติดหน้าเลยเห็นมะ ขอร้องล่ะ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่านอนดึกเลย แล้วน้ำน่ะ ช่วยดื่มให้มาก ๆ ด้วย จะทำให้ช่างแต่งหน้าทำงานได้อย่างสะดวก"
ช่างแต่งหน้ามือพระกาฬประจำกองแกล้งบ่นอุบไปอย่างนั้น ทั้งที่ก็เป็นความจริงอยู่แล้วที่นักแสดงต้องขายหน้าตาและรูปร่างจะต้องรู้ คือนอกจากจะดูแลเรื่องรูปร่าง ผิวพรรณก็ต้องดูดีด้วย เพราะทั้งสองสิ่งถือว่าเป็นเครื่องมือทำมาหาเงินให้กับนักแสดงเอง ยิ่งคนไหนมีผิวพรรณสวยงามจนไปเตะตาเจ้าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือครีมบำรุงผิวเข้า ก็จะได้รับงานรีวิวสินค้าประเภทครีมบำรุงผิว หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ถือว่าทำให้มีรายได้เพิ่มพูนเข้ามาอีกทางด้วย
หรือไม่ บางคนก็กระโดดขึ้นมาเป็นเจ้าของผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวขายเองก็มีเพราะผิวพรรณ รูปร่างที่ดีมีส่วนให้คนเชื่อไปเช่นนั้นว่า ดาราคนนี้ใช้หรือทานผลิตภัณฑ์เสริมความงามจริง
ฉะนั้น ดาราคนไหนที่มีวินัยในเรื่องการดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอก ทีมช่างแต่งหน้าจะชอบมาก เพราะเวลาแต่งหน้าสามารถแต่งได้ง่าย เกลี่ยแป้งได้ง่าย ดูเรียบเนียนนั่นเอง
ส่วนอรุษใช้เวลาแต่งหน้าและทำผมไม่นาน จากนั้นเขาลุกขึ้น ทีมเสื้อผ้าก็ยื่นชุดที่เขาต้องใส่มาให้
ชายหนุ่มหันมารับ แล้วออกอาการเหวอขึ้นทันที กับการเห็นใครบางคนที่ยื่นชุดสูทตัวหนึ่งมาให้ ก่อนจะร้องทักออกมาอย่างตกใจเบา ๆ ว่า
"น่ะ นี่คุณอีกแล้ว! "
"ฉันก็เคยบอกคุณแล้วว่า ฉันทำงานที่นี่" ปวริศาตอบ ก่อนจะขยายความอีกนิด "ความจริงจะบอกว่าทำอยู่ที่บริษัทนี้ก็ไม่ใช่หรอก พอดีฉันทำงานกองถ่ายอยู่ฝ่ายเสื้อผ้า"
"อ้อ..." เขารับคำสีหน้าดูคลายความแคลงใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด สายตาของพระเอกหนุ่มยังมีแววขุ่นอยู่ซึ่งก็แน่นอน เพราะการเจอกันก่อนหน้ามาสองครั้งสองครานั้น ไม่มีอะไรที่น่าประทับใจระหว่างกันเลย โดยเฉพาะเขา แต่จะทำอย่างไรได้ ชะตาฟ้าได้ลิขิตให้เป็นไปอย่างนี้ไปแล้ว แม้เธอจะไม่ให้เขามาเจอที่นี่ หรือเธอไม่อยากมาเอง เธอก็ทำไม่ได้ เนื่องจากปากท้องของเธอขึ้นอยู่กับงานที่กองถ่ายเสียด้วยสิ
ปวริศาหลบสายตาเขาลงเล็กน้อย ก่อนจะสำทับ "รับชุดของคุณไปสิ"
อรุษยังติดใจอยู่กับคำพูดที่ได้ยินเธอว่าไม่ชัดนักในวันนั้น จึงมองคนตรงหน้าด้วยแววตาขุ่นอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ หลุบดวงตามองชุดที่เธอยื่นค้างอยู่ ซึ่งเป็นสูทจากแบรนด์ดังเจ้าหนึ่ง
ผับผ่าสิ! ดวงตาคมนั้นหลุบมองชุดสูทในมือ ทำให้ปวริศาต้องเป่าลมหายใจพรั่งพรูออกทางปาก เห็นสูทหรูไม่ได้เลย ใจต้องหวนกลับไปนึกถึง คืนที่พ่อบังเกิดเกล้าเธออ๊วกใส่สูทตัวนั้นของเขาเข้า "รับไปสิคุณ ฉันต้องไปดูชุดให้คนอื่น ๆ ต่อ"
อรุษรับสูทด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเดินเข้าไปเปลี่ยนยังห้องแต่งตัว เป็นเวลาที่เอมี่เดินกลับมาพอดี จึงทันเห็นอรุษรับชุดจากมือของหญิงสาวไปด้วยสีหน้าติดจะบึ้ง ๆ ทำให้เอมี่รีบเข้าไปถามหญิงสาวอย่างเป็นห่วงว่า
"อะไรศา ทำไมน้องรุษทำหน้าตาคล้ายไม่พอใจ หรือเขาไม่พอใจเรื่องชุด"
"เปล่าหรอกพี่มี่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องชุดนี่หรอก" หญิงสาวทำหน้าเซ็ง ๆ ขณะตอบ แต่เห็นแววตาที่ยังมองเธอด้วยความอยากรู้อยู่มากของอีกฝ่าย เธอจึงบอกว่า "เรื่องมันยาวน่ะพี่มี่ เอาเป็นว่าเดี๋ยวตอนที่เขาทำพิธีบวงสรวงแล้ว ศาจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้รีบไปดูความเรียบร้อยคนอื่น ๆ ก่อนดีกว่าค่ะ"
ปวริศาตัดบท และพอถึงเวลาบวงสรวงด้านนอกอาคาร เอมี่ก็รีบจับมือเธออีกครั้ง เพื่อให้เธอเล่าเรื่องที่บอกว่าจะเล่าให้ฟัง
หญิงสาวจึงตัดสินใจเล่าเรื่องคืนนั้นทั้งหมดให้เอมี่รับรู้ ครั้นพอรู้แล้ว ก็ทำหน้าตกอกตกใจกว่าที่หญิงสาวคาดเอาไว้เสียอีก
"ถึงขนาดนี้เลย..."
"อื่ม" ปวริศาพยักหน้ารับ รับคำในลำคอ
"มิน่าล่ะ ตอนรับชุดจากมือศา รุษถึงได้ทำหน้าทำตาอย่างนั้น พี่พอจะเข้าใจแล้ว แล้วนี่เขาก็บอกว่าแล้วว่าไม่เอาความ แต่ศาคิดว่าเขาก็ยังเก็บเรื่องนี้มาเขม่นศาอีก ไม่มั้งกับน้องรุษเท่าที่พี่รู้ เขามีความเป็นสุภาพบุรุษพอ จนไม่น่าจะเก็บเรื่องนั้นมาคิดเล็กคิดน้อยหรอก เอ่อ แต่ว่า ถ้านึกถึงรางวัลที่เขาเพิ่งรับ สูท และรอยรถพวกนั้น เป็นพี่ พี่ว่าก็น่าคิดอยู่แหละ"
"เห็นมั้ย ศาก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วพี่มี่ ต้องมาทำงานที่กองถ่ายแล้วทนเห็นหน้าเขาไปอีกหลายเดือน ไอ้เราก็รู้สึกผิด และรู้สึกติดค้างเขาอยู่นี่"
"งั้น ก็เปลี่ยนมาเป็นทำดี เอาใจเขาให้มาก ๆ"
ปวริศาทำหน้าแขยง ออกสีเสียง หึ! จากจมูกออกมาทีเดียว "หึ! ศาไม่ใช่คนอย่างนั้นพี่มี่ก็รู้ จะมาให้เอาอกเอาใจ พะเน้าพะนอเพราะกลัวเรื่องที่ติดค้างอะไรแบบนี้ นั่นมันไม่ใช่ศาหรอก"
"งั้นก็เงียบ ๆ ไม่ต้องกระโตกกระตาก ไม่ต้องรู้สึกผิด เขาออกปากเองว่าไม่ติดใจเอาความก็คือไม่ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอ" เอมี่ตัดบทให้อย่างรำคาญ นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา
"ไป ไปทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวต้องเตรียมชุดให้พวกนักแสดงที่บวงสรวงเสร็จเปลี่ยนอีกนับสิบ ๆ ชุด ไป" ว่าแล้วก็เขกกะบาลเธอเบา ๆ ก่อนจะกึ่งลาก กึ่งจูงมือผู้ช่วยของตัวเองไปที่ห้องแต่ตัวของนักแสดงต่อไป
ถือว่าเป็นธรรมเนียม ที่หลังจากเสร็จสิ้นการบวงสรวงละครเรื่องใหม่แล้ว เหล่าผู้จัดผู้กำกับและนักแสดงต่างก็ต้องยืนให้สัมภาษณ์ร่วมกันต่อนักข่าวสายบันเทิงจากสื่อหลาย ๆ เจ้า ปวริศายืนดูเหล่าผู้จัดผู้กำกับนักแสดงที่มีไมค์รายล้อมอยู่ด้านหน้าบริษัท เธอก็รีบเดินเลี่ยงไปทางหลังบริษัททันที เพราะตรงนั้นจะมีจุดบริการเครื่องดื่ม และอาหารสำหรับทีมงานในวันนี้ เธอกระหายน้ำอยากได้น้ำเย็น ๆ สักแก้ว
หลังจากรับน้ำแดงผสมโซดาจากป้าคนหนึ่งที่ดูแลตรงส่วนของเครื่องดื่มและอาหารมาแล้ว เธอก็รีบเดินกลับเข้าไปภายในบริษัทต่อ เนื่องจากยังมีงานจัดเตรียมเครื่องประดับที่ใส่คู่กับเสื้อผ้าสำหรับนักแสดงอีกหลายชิ้นที่ยังไม่เรียบร้อยดี ขณะเดินเธอก็หยิบมือถือขึ้นมาตอบแช็ตกับลูกค้าไปด้วย ทั้งนี้ นอกจากจะทำงานอยู่ฝ่ายคอสตูมแล้ว เธอยังมีจ็อบเล็ก ๆ ซึ่งก็คือ เปิดขายเสื้อผ้าออนไลน์ไปด้วย
แม้การทำงานหลายอย่าง อย่างพร้อม ๆ กันจะทำให้เธอเหนื่อยขึ้นไปอีกก็จริง แต่ปวริศาก็บอกกับตัวเองเสมอว่า เธอจะไม่ยอมกลับไปมีชีวิตแบบอดมื้อกินมื้อเหมือนตอนเด็ก ๆ อีกแล้ว ความขยันเท่านั้น ที่จะทำให้เธอหลุดพ้นวัฏจักรความยากจนข้นแค้นนั้นไปได้
ขณะที่มือข้างหนึ่งยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ อีกข้างมัวแต่กดข้อความตอบลูกค้ารัว ๆ แต่สายตาหญิงสาวก็ไปสะดุดเข้ากับรองเท้าสีดำเงาวับคู่หนึ่งตรงหน้า หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาตามสัญชาติญาณ…
"คุณ!" แล้วเธอก็ผงะกับร่างสูงที่เข้ามายืนขวางทางด้วยใบหน้าราบเรียบจัดตรงหน้า
เขาเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อครู่ยังเห็นยืนให้สัมภาษณ์นักข่าวร่วมกับคนอื่น ๆ อยู่ตรงนั้นอยู่เลย!
อรุษรู้ว่าเวลานี้ ที่นี่ยังไม่มีคนเดินผ่านไปมานัก เขาจึงรีบถามถึงเรื่องที่ยังค้างคาใจต่อคนตรงหน้าทันทีว่า "วันนั้น... คุณว่าอะไรนะ?"
ถามแล้วก็เห็นว่า ดวงตาทั้งสองของหญิงสาวได้กลอกไปมาอย่างรวดเร็ว คงกำลังขบคิดให้ทันกับสิ่งที่เขาถาม ทว่า ขณะรอฟังคำอธิบายจากปากของเธออยู่ พัดลมตัวใหญ่ที่ทีมงานได้ตั้งเอาไว้ เพื่อใช้คลายความร้อนก็หมุนกลับมาทางที่เขาและเธอยืนอยู่ จนเกิดลมแรง ๆ พัดขึ้นมาวูบหนึ่ง ทำให้ผมยาวสีน้ำตาลที่ปล่อยสยายและตกระตามใบหน้าของหญิงสาวปลิวกระจายขึ้น
แล้วดวงตาทั้งสองของอรุษที่จับจ้องคนตรงหน้าอยู่แล้วก็เห็นบางสิ่งขึ้นมา …
จากนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นขวางก็แปรเปลี่ยนเป็นแววแห่งความตกใจ จู่ ๆ ลำตัวของชายหนุ่มก็แข็งทื่อขึ้นคล้ายกำลังถูกสาปให้กลายเป็นหินขึ้นมาชั่ว ขณะหนึ่ง…