ในระหว่างที่พี่ชายทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ เสียงกุกกักก็ดังมาจากด้านหลังของหีบใบหนึ่งตรงมุมห้อง จ้าวเยว่ถึงกับตกใจเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก
พี่ชายทั้งสองจึงจับความผิดปกติได้ในทันที จ้าวหลู่เจินลุกขึ้นและเดินตรงไปที่หีบใบนั้น พลางชักดาบคู่กายออกจากฝัก
คมดาบในมือต้องแสงเทียนจนเป็นประกาย ชายหนุ่มได้ใช้ปลายดาบจ่อไปตรงกลางหีบแล้วเอ่ยเสียงดัง “ออกมา!”
เซียวเฟิงกับซูหนิงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ทั้งคู่ต่างยกมือขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยิ้มเจื่อนออกมา
“ท่านพี่ทั้งสอง ข้าเอง” เซียวเฟิงยิ้มแหย ๆ ขณะเอ่ยด้วยเสียงอ่อย
“ให้ตายเถอะคุณชายเซียว เหตุใดจึงได้มาอยู่ในห้องของน้องสามได้ล่ะ” จ้าวหลู่เจินถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่ามีบุคคลอื่นในห้องของน้องสาว
เซียวเฟิงที่บัดนี้หายตกใจแล้ว จึงได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ “ก็เหมือนพวกท่านทั้งสองนั่นแหละ ข้าได้ข่าวเรื่องการแต่งงาน จึงมาปลอบนาง”
ทั้งจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินมองไปทางซูหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวเฟิง แล้วจ้าวหลู่เจินก็เอ่ยถามเสียงเข้ม
“แล้วแม่นางน้อยผู้นี้เป็นใคร”
ซูหนิงกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้แม้แต่จะเปิดปากเอ่ยก็ยังทำไม่ได้ จ้าวเยว่เห็นเช่นนั้นจึงชิงตอบแทน
“คุณหนูรองตระกูลซู นางมีชื่อว่าซูหนิง นางเป็นสหายของข้าเอง”
“ใช่ ๆ” ซูหนิงพยักหน้าตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
จ้าวอวี้เฉินยิ้มให้น้องสาวของตนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่เลวนี่ เดี๋ยวนี้มีสหายกับเขาแล้วหรือ”
“ก็มีแค่สองคนนี่แหละเจ้าค่ะท่านพี่” จ้าวเยว่จึงเอ่ยตอบพี่ชาย
“สาม” ซูหนิงแทรกขึ้นมา “ท่านลืมพี่ถงถงแล้วหรือ วันนั้นนางก็เดินออกมาอยู่ข้างท่านด้วย”
เมื่อเอ่ยถึงฟ่านถงถง จ้าวเยว่ก็นึกออกขึ้นมาทันที
“อ้อ...แม่นางที่มีคุณธรรมผู้นั้นนั่นเอง”
หลังจากนั้น คนทั้งห้าก็สนทนากันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะแยกย้ายกันไป เซียวเฟิงกับซูหนิงเองก็ต้องกลับจวนแล้ว เพราะได้หายออกมานาน เดี๋ยวจะเป็นที่สงสัยเอา จ้าวเยว่จึงได้ฝากพี่ชายให้ไปส่งสหายทั้งสองด้วยตัวเอง
จ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินจึงได้ช่วยคุ้มครองให้พวกเขาออกทางประตูหลังไป
เช้าวันต่อมา
จ้าวเยว่ตื่นขึ้นมาปฏิบัติตัวเฉกเช่นทุกวัน ซึ่งก็คือไปล้างหน้าบ้วนปาก แล้วก็ไปกินอาหารเช้าด้วยความเกียจคร้าน ถ้าหากเป็นบุตรสาวจวนอื่น เมื่อได้รับการสมรสพระราชทาน พวกนางจะต้องตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น และกระตือรือร้นที่จะเตรียมการทุกอย่างเพื่อเป็นเจ้าสาว
แต่สำหรับจ้าวเยว่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็ไม่สามารถมาสั่นคลอนวิถีชีวิตอันเกียจคร้านของนางได้ทั้งนั้น
เมื่อกินข้าวเสร็จ ทั้งบิดาและพี่ชายทั้งสองก็ต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ของตน ในห้องโถงตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่จ้าวเยว่กับจ้าวฮูหยินเท่านั้น
“เดี๋ยวก่อน เจ้าอย่าเพิ่งไป”
เสียงของจ้าวฮูหยินดังขึ้นมา เมื่อจ้าวเยว่กำลังจะหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้องโถงไป
นางจำต้องหมุนตัวกลับไปหาด้วยท่าทีที่เบื่อหน่ายก่อนจะถามกลับมารดาของตน
“ท่านแม่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
จ้าวฮูหยินควักถุงเงินออกมาแล้ววางบนโต๊ะ
“เอาเงินนี่ไปแล้วไปซื้อสิ่งของที่เจ้าต้องการ เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว”
“ให้ข้าซื้ออะไรหรือเจ้าคะท่านแม่”
จ้าวเยว่ไม่ได้เสแสร้ง แต่นางไม่รู้จริง ๆ ว่าการเป็นเจ้าสาวต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง จึงได้ถามออกไป
“เจ้านี่มันจริง ๆ เลยนะ เจ้าก็ไปหาซื้อพวกเครื่องหอม ผ้าขัดตัว น้ำมันใส่ผิว น้ำมันทาผม แป้งผัดหน้า ชาด หรืออะไรก็ตามที่เจ้าต้องใช้บำรุงตัวเองในทุกวันอย่างไรเล่า” จ้าวฮูหยินเอ่ยด้วยความอ่อนใจเมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนนั้นช่างไม่รู้อะไรเลย
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” จ้าวเยว่ตอบกลับจากนั้นจึงยื่นมือไปรับถุงเงินจากมารดามาไว้กับตน พร้อมกับก้าวออกมาจากห้องโถงทันที
เมื่อถึงยามอู่ จ้าวเยว่และผิงผิง ก็พากันเดินมาถึงตลาดทางตอนใต้ของแคว้นฉางอัน สาเหตุที่จ้าวเยว่เลือกมาที่ตลาดแห่งนี้เพราะว่าตลาดนี้อยู่ไกลจากจวนของนางเป็นพิเศษ สามารถถ่วงเวลาให้เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกได้นานขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ ผิงผิงจำได้ว่ามีร้านขายน้ำมันทาผิวกับน้ำมันใส่ผมอยู่ทางด้านโน้น พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” ผิงผิงบอกพร้อมกวักมือเรียกนายของตน
จ้าวเยว่ที่กำลังยืนมองภาพวาดอยู่อย่างใจจดใจจ่อ และไม่ได้สนใจที่ผิงผิงเอ่ยแม้แต่น้อย นางได้แต่โบกมือให้ผิงผิงไปซื้อของเอง
“คุณหนูต้องไปลองดมกลิ่นดู ว่าชอบกลิ่นไหนนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปซื้อมาเถอะ จะกลิ่นไหนมันก็ทาได้ทั้งนั้น ขอแค่ไม่ใช่กลิ่นเหม็นก็พอ”
ผิงผิงเดินจากไปไม่นาน ก็กลับมาพร้อมขวดน้ำมันสองขวด
“ได้แล้วเจ้าค่ะคุณหนู ท่านจะลองดมดูหน่อยหรือไม่”
ผิงผิงยื่นขวดน้ำมันให้คุณหนู แค่จ้าวเยว่ก็ยังโบกมือไล่
จ้าวเยว่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม นางรู้สึกอยากได้ภาพ ๆ หนึ่งขึ้นมา ภาพนี้เขียนขึ้นโดยจิตรกรที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าใดนัก นามว่าหลินย่อฝู่ ทว่าความสามารถการวาดเส้นของเขานั้นช่างคมคาย จนสะกดใจจ้าวเยว่ให้ยืนมองได้ตั้งนานสองนาน
“ผิงผิง เงินเหลืออยู่เท่าไร” จ้าวเยว่ถามขึ้นมา โดยไม่หันไปมองคนข้างกาย สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพวาดภาพนั้น
“จะซื้อภาพนี้ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู เงินนี้เราต้องเอาไปซื้อพวกเครื่องหอม ผ้าขัดตัว แป้งผัดหน้า แล้วก็ชาดอีก ไหนจะเหลือไว้กินข้าวกลางวันด้วย ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าอยากได้จริง ๆ นะ” จ้าวเยว่ยังคงดื้อดึง
“อยากได้ก็ซื้อไม่ได้เจ้าค่ะ ไปเถอะเจ้าค่ะ”
เอ่ยจบผิงผิงก็ดึงมือคุณหนูของตนให้ออกจากร้านขายภาพวาดไป
เมื่อสองนายบ่าวเดินออกจากร้านไปแล้ว บุรุษผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายในชุดชาวบ้าน ก็เดินตรงมายังร้านขายภาพวาด
“เถ้าแก่ภาพนี้ราคาเท่าไร”
เถ้าแก่เจ้าของร้านมองดูเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ในใจก็คิดว่าท่าทางดูยากจนเช่นนี้ จะมีเงินซื้อภาพวาดของเขาหรือ จึงได้บอกราคาที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะซื้อไหว
“ยี่สิบตำลึง”
“ข้าเอา ห่อให้ข้าอย่างดีด้วยล่ะ” ชายหนุ่มผู้นั้นยื่นเงินยี่สิบตำลึงให้เถ้าแก่ โดยไม่ต่อรองราคาแม้เพียงครึ่งคำ
เถ้าแก่จึงห่อภาพวาดนั้นให้เขาอย่างดี เมื่อรับมันมาแล้ว ชายหนุ่มก็รีบเดินไปยังทิศทางที่จ้าวเยว่เพิ่งเดินไปเมื่อสักครู่
จ้าวเยว่กับผิงผิงพากันเดินซื้อของจนเหน็ดเหนื่อย จึงได้แวะกินอาหารกลางวันกันที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง นางเลือกสั่งแต่อาหารแปลก ๆ ที่ไม่มีให้กินในจวน อีกทั้งยังสั่งสุราดอกบัวมาหนึ่งไหด้วย
“คุณหนู ดื่มสุราอย่างนี้จะดีหรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามขึ้นมา สีหน้านางดูเป็นกังวลไม่น้อย
“ดีสิ ได้ออกมาข้างนอกทั้งที ควรจะต้องกินดื่มให้เต็มที่ เจ้าเองก็กินดื่มร่วมกับข้าด้วยสิ” จ้าวเยว่บอกพร้อมกับรินสุราให้ผิงผิงจอกหนึ่ง
ผิงผิงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง
“เราเป็นสตรี จะทำตัวเยี่ยงบุรุษไม่ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวผู้ใดมาเห็นเข้าจะเอาไปนินทาเอาได้”
“จะนินทาก็ช่างปะไร ข้าไม่เคยสนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว”
จ้าวเยว่ตอบอย่างไม่คิดแยแส มือข้างหนึ่งจับตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อแกะผัดเผ็ดเข้าปาก ตามด้วยยกสุราดอกบัวดื่มอีกหนึ่งจอก
“แต่ถ้าคนของสกุลเสวี่ยมาเห็นเข้า จะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
ผิงผิงยังคงกังวลและมองซ้ายของขวาอย่างไม่สบายใจ
“เห็นก็ดี พวกเขาจะได้ไม่ชอบข้า และมีเหตุที่จะไล่ข้าออกจากจวนเร็ว ๆ” จ้าวเยว่ตอบกลับและคีบอาหารกินอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำเอ่ยของสาวใช้ข้างกายเลยแม้แต่น้อย
ผิงผิงที่พยายามเอ่ยจนไม่รู้จะเอ่ยอะไรแล้วก็ได้แต่ก้มหน้างุด จนจ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ “เจ้านั่งทำอะไรอยู่เล่า กินสิ”
“เจ้าค่ะ” ผิงผิงรับคำแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา
นายบ่าวทั้งสองนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างเอร็ดอร่อย โดยมิทันได้สังเกตว่ามีคนสะกดรอยตามพวกนางมา
ชายหนุ่มในชุดชาวบ้านที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่งริมเสา ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องที่ทั้งสองสนทนากัน
เมื่อกลับมาถึงจวน จ้าวเยว่ก็วางของทุกอย่างไว้ที่มุมห้องอย่างส่ง ๆ นางไม่มีความคิดที่จะใช้ของที่ซื้อมาแม้แต่น้อย ความจริงคือไม่คิดที่จะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเสียด้วยซ้ำไป ต่อให้จ้าวฮูหยินกับผิงผิงจะเคี่ยวเข็ญสักเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้น จ้าวเยว่ก็ไม่ได้ตื่นตัวกับการสมรสพระราชทานครั้งนี้แต่อย่างใด นางยังคงถือคติว่าจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม
“คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาอาบน้ำขัดตัวแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของผิงผิงดังมาจากทางถังอาบน้ำที่หลังห้อง
ผิงผิงได้ผสมน้ำอุ่นไว้ให้คุณหนูของตนเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังโรยเครื่องหอมต่างๆ ลงไปในน้ำจนหอมฟุ้ง
“อืม” จ้าวเยว่ตอบรับในลำคอ
นางคืบคลานไปที่ถังอาบน้ำช้า ๆ ปกติแล้วจ้าวเยว่เป็นคนที่ชอบแช่น้ำมาก แต่ว่าครั้งนี้กลับไม่รู้สึกมีความสุขเหมือนทุกครั้ง
การอาบน้ำขัดผิวและนวดตัว กลับกลายเป็นหน้าที่ไปแล้ว และเมื่อมันเป็นหน้าที่ หญิงสาวก็เริ่มไม่มีความสุข นางจึงได้ทำไปแบบส่ง ๆ อย่างนั้นเอง
“เจ้าลงมือขัดให้ข้าเลย ขัดให้เนื้อหนังของข้าหลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ จนเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวเลยยิ่งดี” จ้าวเยว่เอ่ยพร้อมแสดงสีหน้าไร้อารมณ์
ถ้อยวาจาของนายสาว ทำเอาผิงผิงกล่าวอย่างเหนื่อยใจว่า
“ได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูเอ่ยอะไรก็ไม่รู้”
“ข้าต้องทำอย่างนี้ทุกวันจนถึงวันแต่งงานเลยอย่างนั้นหรือไง”
จ้าวเยว่ถามอย่างเหนื่อยหน่าย ชีวิตของการเป็นเจ้าสาวน่าเบื่อถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางอยากรู้จริง ๆว่า เหตุใดทุกคนจึงดูตื่นเต้นกับเรื่องนี้นัก
“ใช่เจ้าค่ะ วันแต่งงานคุณหนูจะต้องเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในแคว้นฉางอัน” ผิงผิงกล่าวอย่างมั่นใจ นางเชื่อว่าวันแต่งงาน คุณหนูของนางย่อมต้องงดงามที่สุด หามีผู้ใดมาเปรียบได้
“ทำอย่างนี้ทุกวันข้าคงน่าเบื่อแย่”
“เมื่อก่อนคุณหนูก็ชอบแช่น้ำทุกวันอยู่แล้ว มิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดถึงจะเบื่อ”
“ตอนนี้ข้าไม่ชอบแล้ว มันเป็นการบังคับข้า”
“คุณหนูก็คิดเสียว่ามิใช่การบังคับสิเจ้าคะ คุณหนูลองคิดสิว่า นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการทำด้วยความเต็มใจเหมือนอย่างเช่นเมื่อก่อน เท่านี้ก็จะมีความสุขแล้วเจ้าค่ะ” ผิงผิงเอ่ยขึ้นเพื่อให้นายสาวสบายใจ
“ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ข้ามิได้มีจิตใจที่ดีงามอย่างแม่ชีที่จะสามารถปล่อยวางอะไรได้ง่าย ๆ เสียหน่อย” จ้าวเยว่ตอบกลับอย่างหมดอารมณ์
ครู่หนึ่งก็มีสาวใช้สองคนมาหาถึงห้อง รายงานว่าจ้าวฮูหยิน เรียกคุณหนูไปพบที่ห้องโถง จ้าวเยว่จึงให้ผิงผิงไปรายงานว่า ตนเองอาบน้ำเสร็จแล้วจะตามไป