เมื่อมาถึงห้องโถง จ้าวเยว่ก็ต้องตกใจเล็กน้อยกับข้าวของที่วางเรียงรายอยู่ มีทั้งเครื่องประดับจำพวกสร้อย แหวน ปิ่นปักผม กำไลหยก และผ้าไหมแพรพรรณราคาแพงอีกหลายพับ
ตอนแรกนางนึกแปลกใจอยู่ว่าจ้าวฮูหยินลงทุนซื้อของมากมายขนาดนี้ทำไมกัน ทว่าก็ได้แค่เพียงเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ มิได้ถามไถ่ออกมา
“ท่านแม่ เรียกข้ามามีอะไรหรือเจ้าคะ แล้วนี่อะไรเจ้าคะ”
จ้าวฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตำแหน่งนายหญิงของจวน หันหน้าไปทางสิ่งของเหล่านั้นทันทีเมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยถาม
“เจ้าคงเห็นสิ่งของพวกนี้แล้วสินะ”
“เจ้าค่ะ”
จ้าวฮูหยินเมื่อได้รับคำตอบของบุตรสาวจึงได้เอ่ยประโยคต่อมา “นี่เป็นสิ่งของที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาพระราชทานให้แก่เจ้า เป็นสิ่งสำคัญที่ให้เจ้าเอาไว้ใช้ยามออกเรือน พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาวัดตัวเพื่อตัดชุดแต่งงานให้เจ้า”
จ้าวเยว่มองไปที่ผ้าไหมสีแดงหลายพับที่อยู่ในหีบที่กำลังเปิดอ้า พร้อมกับลอบถอนหายใจเบา ๆ หากเป็นสตรีอื่น พวกนางคงดีใจกันจนแทบจะร้องไห้เลยทีเดียว ที่ได้รับสิ่งของพระราชทานเหล่านี้ ซึ่งขัดแย้งกับกิริยาของนางในตอนนี้ยิ่งนัก
เนื่องจากหญิงสาวไม่รู้สึกอะไรกับข้าวของพวกนี้ที่ได้รับมาเลยแม้แต่น้อย นางไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่ก็ไม่ถึงกับว่าอยากจะผลักไสสิ่งของเหล่านี้ออกไป หรือต่อให้อยากผลักไสก็คงทำไม่ได้ จึงได้แต่น้อมรับไว้เท่านั้น
“เจ้าค่ะ”
“นอกจากนี้ฮองเฮายังได้พระราชทานยาบำรุงร่างกายให้กับเจ้า ผิงผิงมารับไป เอาไว้ต้มให้คุณหนูของเจ้าดื่มทุกวันอย่าให้ขาด”
ผิงผิงเดินไปรับห่อยาสมุนไพรมาจากสาวใช้ประจำกายของจ้าวฮูหยิน ตรงหน้าห่อยาเขียนวิธีการต้มยาไว้ให้เสร็จสรรพ
“ยาอะไรหรือท่านแม่ เหตุใดข้าต้องกินด้วยเจ้าคะ” จ้าวเยว่เอ่ยถามมารดา และรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าตนเองต้องกินยาทุกวัน
จ้าวฮูหยินจึงอดที่จะหันไปมองอย่างเสียไม่ได้
“ยาบำรุงร่างกายสำหรับสตรี เจ้าจำเป็นต้องกิน เพื่อเตรียมตัวเป็นฮูหยินตระกูลเสวี่ย จะได้มีบุตรในเร็ววัน”
จ้าวเยว่กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตอบรับว่า
“เจ้าค่ะ”
จ้าวเยว่เดินกลับมาห้องตนเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผิงผิงกับสาวใช้อีกจำนวนหนึ่งตามมาด้านหลัง ทั้งหมดกำลังช่วยกันขนของมาไว้ในห้องของนาง
จ้าวเยว่สั่งให้พวกนางวางสิ่งของเหล่านี้ไว้ตรงมุมห้อง รวมกับพวกเครื่องบำรุงผิวพรรณที่ซื้อมาเมื่อเช้านี้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรกับพวกมันอีกเลย
ผิงผิงเรียกสาวใช้อีกคนหนึ่งมาแล้วยื่นห่อยาให้นาง สาวใช้นางนั้นรับคำสั่งแต่โดยดี หลังจากนั้นเพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ยาถ้วยหนึ่งก็ถูกส่งถึงมือของจ้าวเยว่
จ้าวเยว่รับถ้วยยานั้นมาแล้วดื่มเข้าไปรวดเดียวหมด โดยไม่รอให้เย็น
“คุณหนูระวังเจ้าค่ะ ค่อย ๆ ดื่ม” ผิงผิงเห็นอย่างนั้นก็เอ่ยทักท้วงทันที เพราะกลัวความร้อนของยาลวกปากเจ้านายของตน
“ดื่มช้าหรือเร็ว ก็ต้องดื่มอยู่ดี”
จ้าวเยว่สวนกลับอย่างไม่ยินดียินร้าย ยามนี้นางรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงหุ่นไม้ประดับจวนสกุลจ้าวใครอยากให้ทำอะไรก็ทำเถิด นางหมดอารมณ์ไม่อยากออกความคิดเห็นหรือโต้แย้งอะไรอีกแล้ว
“ผิงผิงเห็นคุณหนูเป็นอย่างนี้ ผิงผิงไม่สบายใจเลยเจ้าค่ะ” ผิงผิงบอกด้วยสีหน้าหม่นเศร้า เมื่อท่าทางของคุณหนูไม่สดใสเช่นเคย
จ้าวเยว่เอนตัวลงนอนบนเตียง ขาที่พาดอยู่ปลายเตียงนั้นแกว่งไปมา นางถอนหายใจคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ! แล้วจะให้ข้าเป็นอย่างไรเล่า ในเมื่อข้าทำอะไรไม่ได้ คงทำได้แค่เพียงไม่ยินดียินร้ายกับการแต่งงานครั้งนี้ เจ้าว่าจริงหรือไม่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากคุณหนูของตน ผิงผิงจึงมีสีหน้าที่เศร้าสร้อยยิ่งกว่าเดิม
“ผิงผิงอยากเห็นคุณหนูร่าเริงเหมือนเดิมนี่เจ้าคะ อย่างนั้นคุณหนูดูจะมีความสุขมากกว่า”
“ลองเปลี่ยนกันดูบ้างไหมล่ะ ถ้าหากเจ้าเป็นข้า เจ้าจะยังร่าเริงอยู่อีกหรือไม่” จ้าวเยว่ย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
เมื่อได้ยินคำถามนี้จากผู้เป็นนาย ผิงผิงถึงกับเบิกตาโตขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“ต้องร่าเริงสิเจ้าคะ ใครได้แต่งงานกับแม่ทัพเสวี่ย แล้วจะไม่ดีใจได้อย่างไร ท่านแม่ทัพออกจะรูปงามและเก่งกาจถึงเพียงนั้น มีแต่คุณหนูนั่นแหละเจ้าค่ะ ที่ไม่รู้สึกยินดีอะไรกับใครเขา”
“ก็ข้าไม่เหมือนเจ้านี่ ข้าไม่ได้สนใจบุรุษรูปงามสักหน่อย”
“แล้วคุณหนูสนใจบุรุษแบบใดหรือเจ้าคะ” ผิงผิงถามขึ้นอย่างสงสัย พลางทำสายตาอยากรู้อยากเห็นราวกับเด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ปาน
จ้าวเยว่สูดลมหายใจคราหนึ่ง แล้วทำท่าทางครุ่นคิด พลางตอบกลับตามความคิดของตนเอง
“ข้าน่ะหรือ ข้าไม่ชอบบุรุษแบบใดเลย เพราะข้าไม่อยากแต่งงาน อยากอยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ชายทั้งสองไปจนแก่เฒ่า”
“เฮ้อ!” ผิงผิงถอนหายใจออกมา
“คุณหนู วันนี้จะมีงานโคมไฟที่ถนนหนิวหลาง พวกเราไปเที่ยวกันดีหรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าคุณหนูจะได้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง” ผิงผิงรีบเสนอเรื่องเที่ยวที่คุณหนูของนางชื่นชอบทันที
ถึงแม้ว่าจ้าวเยว่จะไม่ยินดียินร้ายเรื่องแต่งงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ยินดีเรื่องการไปเที่ยวเล่น จึงเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนทันที เมื่อได้ยินผิงผิงเอ่ยชวน
“ไปสิ มีหรือข้าจะไม่ไป”
“อย่างนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเตรียมตัวเลยนะเจ้าคะ เดี๋ยวผิงผิงช่วยคุณหนูแต่งกายให้งดงามเอง”
ผิงผิงยิ้มยินดีเมื่อเห็นคุณหนูของตนร่าเริงขึ้นมาบ้าง นางจึงลุกขึ้นไปจัดชุดให้จ้าวเยว่กับการไปเที่ยวงานโคมไฟในครั้งนี้
หลังจากได้ไปขออนุญาตจากจ้าวฮูหยินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองนายบ่าวก็มาถึงถนนหนิวหลางในยามซวี ทั่วทั้งถนนตกแต่งไว้ด้วยโคมไฟสีแดงยาวไปสุดถนน ซึ่งจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ตอนนี้ คือหน้าโรงเตี๊ยมที่พวกนางมากินข้าวกันก่อนหน้านี้นั่นเอง
เวลานี้ทั่วทั้งถนน มีโคมไฟร้อยกว่าดวงแขวนเอาไว้ให้ผู้คนได้ทายปริศนา หากผู้ใดตอบคำถามข้อนั้นถูก ก็จะได้โคมไฟที่เป็นสัญลักษณ์ของคำถามนั้นไป
จ้าวเยว่ก็สนใจเป็นอย่างมาก จึงหมายมั่นว่าต้องได้โคมไฟกลับไปสักอัน
พ่อบ้านโรงเตี๊ยมชราผู้หนึ่งเดินออกมาข้างหน้า แล้วเริ่มถามคำถาม “นี่เป็นโคมไฟดวงที่ห้า หากผู้ใดตอบคำถามข้อนี้ได้ ก็จะได้รับโคมไฟที่วาดรูปกระต่ายกลับไป คำถามมีอยู่ว่า ตัวเลขใดขยันที่สุดและตัวเลขใดขี้เกียจที่สุด”
เสียงสนทนาดังขึ้นทั่วบริเวณ ทุกคนต่างพยายามคิดหาคำตอบกันอย่างสุดกำลัง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดที่ดูแล้วจะสามารถตอบได้
จ้าวเยว่เองก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วนางก็คิดออก จึงยกมือขึ้นมาตะโกนว่า “ข้า ๆ ข้าตอบได้”
ทุกคนที่อยู่ในงานพอเห็นว่าเป็นจ้าวเยว่ก็พากันประหลาดใจ ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าสตรีขี้เกียจอย่างนาง จะมีความรู้มาทายปริศนากับเขาด้วยหรือ
จ้าวเยว่เดินขึ้นไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยถึงคำตอบที่นางคิดไว้
“ตัวเลขที่ขี้เกียจที่สุดคือหนึ่ง ส่วนตัวเลขที่ขยันที่สุดคือสอง คำพังเพยกล่าวไว้ ว่าหนึ่งไม่ทำ สองทำไม่หยุด แปลว่าคนเราคิดจะทำหรือไม่ทำอะไร ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำเสียตั้งแต่แรก”
“แม่นางช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก เป็นคำตอบที่ถูกต้อง”
พ่อบ้านชรากล่าวจบก็ยื่นโคมไฟรูปกระต่ายให้กับจ้าวเยว่ ก่อนจะมีเสียงปรบมือชื่นชมนางดังมาไม่ขาดสาย
ในฝูงชนที่ยืนออกันเต็มหน้าโรงเตี๊ยมตอนนี้นั้น มีชายหนุ่มในชุดชาวบ้านยืนปะปนอยู่ด้วย ซึ่งเขาคือชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่ซื้อภาพวาด และนั่งกินอาหารในโรงเตี๊ยมเดียวกับจ้าวเยว่ เมื่อตอนกลางวัน
บุรุษผู้นี้ที่แท้ก็คือแม่ทัพเสวี่ย เสวี่ยช่างเจิ้นนั่นเอง ที่จริงแล้วเขาตามดูจ้าวเยว่มาหลายวันแล้ว เพราะอยากรู้ว่า ว่าที่ภรรยาของตนนั้นเป็นคนอย่างไร แต่เมื่อมาพบเข้าจริง ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
จ้าวเยว่ไม่ได้อ่อนหวานและช่างเจรจาเหมือนสตรีทั่วไป แต่กิริยาท่าทางของนางนั้น ก็ไม่ได้แข็งกระด้าง อีกทั้งยังมีความชอบที่ไม่เหมือนผู้อื่นด้วย นางชอบศิลปะเช่นเดียวกับเขา มิหนำซ้ำยังชอบทำอะไรแปลกใหม่ อีกทั้งยังไม่ถือตัว สามารถนั่งกินอาหารร่วมกับสาวใช้ได้
และที่สำคัญ นางฉลาดปราดเปรื่องเอามาก ๆ
เห็นเช่นนี้แล้วเขาก็ชักจะสนใจนางขึ้นมาบ้างแล้วสิ