อากาศยามดึกสงัดลดต่ำลง ทำให้เฉี่ยวอวี้ที่หลับเกิดอาการหนาวเหน็บ ร่างกายที่ต้องการความอบอุ่นจึงค่อยๆ ขยับกายเข้าหาร่างใหญ่ แล้วซุกกายเข้าอกอุ่นอย่างลืมตัว เขาย่อมได้สติเพราะการเคลื่อนไหวพร้อมหันกลับมามองนางที่ตอนนี้ศีรษะต่ำเพียงหัวไหล่เขา แขนที่ว่างก็โอบกอดด้วยความเผลอไผลและหลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
เสียงเคาะประตูเรือนทำให้เทียนฟ่งอวิ๋นตื่นจากการหลับใหล เขาลุกจากเตียงตั่งโดยประคองศีรษะเฉี่ยวอวี้อย่างเบามือ แล้วลุกขึ้นเปิดประตูเรือน ทหารคุ้นตาคารวะเพื่อรายงานบางอย่างกับเขา เขาพยักหน้ารับรู้ สักพักทหารก็ลาออกไปนอกเรือน ทิ้งให้เจ้าของเรือนยืนใช้ความคิดสักพัก แล้วปิดประตูเรือนเดินกลับเข้ามาที่เตียงเหมือนเดิม นัยน์ตาจับจ้องสตรีตรงหน้า พร้อมภายในใจบังเกิดความคิดว่ารอเพียงเวลาอีกไม่นาน คดีก็จะเปิดเผย นางจะใช่คนร้ายหรือไม่ ก็ต้องรอเจ้าตัวเป็นคนชี้ความผิด
เสียงสกุณาร้องประสานแข่งขัน บ้างบินออกจากรังเพื่อออกหาอาหาร เหล่าแมลงผึ้ง ภู่ บินโฉบคลอเคลียกับมวลพฤกษาเพื่อลิ้มรสน้ำมธุรสยามอรุณแรกเริ่ม ใครเห็นภาพเช่นนั้นย่อมเกิดความบันเทิงในใจ แต่กลับอีกชีวิตหนึ่งนางต้องตื่นมาเพื่อจัดแจงอาหารให้กับผู้เป็นนักรบของแว่นแคว้น ที่บัดนี้ผันตัวเองเป็นตุลาการตัดสินคดีให้กับสหายของบิดา อาหารของเหล่าทหารจำนวนมากคงไม่ลำบากนางเท่าใดนัก หากแต่นางต้องทำอาหารที่ดีกว่าเหล่าทหาร แปลกใหม่และรสชาติต้องดีกว่า ดีที่นางเป็นเด็กกำพร้า เคยทำงานหลายที่เพื่อหาเงินเลี้ยงดูตนเอง งานในครัวของโรงแรมเมื่อผู้ช่วยพ่อครัวขาดนางยังเคยสัมผัส หรือลักจำสูตรอาหารผ่านสมองแล้วทำไปขายให้เพื่อนในรั้วมหาลัยตอนเป็นนักศึกษาอยู่นางก็เคย นับประสาอะไรกับอาหารของชายที่เรื่องมาก หากเขากินไม่ได้ก็ถือเสียว่าเขาไร้รสนิยม นางทำอาหารพื้นๆ ให้กับทหารเพราะปริมาณค่อนข้างมาก แต่ของเทียนฟ่งอวิ๋นนางทำน้อย เน้นรสชาติ และหน้าตา ฉะนั้นมื้อนี้นางจึงทำ ข้าวอบใบบัว ไข่ม้วน แกงจืดเยื่อไผ่ และผัดผักสามสหาย นางทำตามวัตถุดิบที่มีในโรงครัว และแน่นอนตอนนางทำอาหารแต่ละชนิดนางต้องชิมเพื่อให้รู้รสชาติ จึงถือว่าเป็นการกินไปในตัว ทว่ารสชาติอาหารยังมิเข้าปาก ชายกำยำ หนวดรกรุงรังก็เข้ามาเสียก่อน
" ให้ข้าช่วยชิมไหมแม่นาง " นางผงะและถอยหลังไปหลายก้าว เขาก็มิสนใจ ทำเพียงวางกวางที่ถูกยิงตายด้วยลูกธนูมาไว้ที่ครัว เนื้อตัวเปื้อนเลือดและหันมาสนทนากับหลางเฉี่ยวอวี้อีกครั้ง
" ชิมต่อสิ ข้าไม่รบกวนหรอก ข้าเพียงเข้ามาเพื่อจะแล่เนื้อกวางเสียหน่อย ลูกกวางตัวน้อยเนื้อคงหวานน่าดู เจ้าว่าไหม " เขาพูดก็หัวเราะ จากนั้นก็เดินไปหยิบมีดมาแล่เนื้อกวางตามที่แจ้งกับนาง ส่วนหลางเฉี่ยวอวี้ก็รีบจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรีบเร่ง เมื่อเสร็จสิ้นนางรีบกุลีกุจอออกจากโรงครัว โดยสองมือมีอาหารที่ปรุงใหม่ออกมาด้วย อาหารจึงถูกยกมาภายในเรือนใหญ่เพื่อรอเจ้าของจวนกลับจากฝึกยุทธ์เพื่อทานมื้อเช้า นางรอไม่นานเขาก็มาในชุดที่เตรียมออกไปข้างนอก นางตักชามข้าวให้เขาและยืนรอเขาทาน
" ลงกินพร้อมกัน ดูเจ้าหน้าซีดๆ คงไม่ใช่หิวกระมัง " เขายิ้มน้อยๆ ด้วยรู้สาเหตุว่าที่นางหน้าซีดคืออะไร
" ข้าไม่หิว " นางหรือจะบอกว่านางเจอใครในโรงครัว
" ทำไม? หรือแอบใส่ยาพิษ?"
" ท่าน!"
" หากบริสุทธิ์ใจก็นั่งกินด้วยกัน เร็ว! ข้ามีธุระต้องไปจัดการ " นางจำต้องนั่งทานกับเขาด้วย เมื่อนางคีบอาหารเข้าปาก เขาก็จับมือข้างนั้นนำมายัดใส่ปาก นางมองสิ่งที่เขาทำ นางกำลังอ้าปากจะต่อ่าเขา เขาก็คีบอาหารยัดใส่ปากนาง ทำให้เฉี่ยวอวี้จนในคำพูด
" ข้าป้อนเจ้าแล้ว เจ้าป้อนข้าบ้าง "
" ไม่ "
" ทำไมเล่า "
" ก็เพราะว่า ข้า.." อาหารถูกเขายัดไปอีก และเขาก็เลื่อนมือแกร่งไปจับที่มือนางแล้วไปจ่อกับอาหารตรงหน้าเพื่อให้รู้ว่านางควรคีบอาหารเข้าปากเขาเช่นกัน เขาและนางผลัดกันป้อนไปมา คนที่ดูจะพอใจกับการกระทำมากที่สุดคงหนีไม่พ้น เทียนฟ่งอวิ๋น เมื่อทานมื้อเช้าเสร็จเขาก็เริ่มสั่งงานให้นางรู้ว่า อะไรที่เกี่ยวกับเขา นางต้องเป็นคนรับผิดชอบ รวมทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้าของทหารด้วยเช่นกัน นางอยากจะปฏิเสธแต่ต้องยอมเงียบเสียดีกว่า พยายามคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด สู้ใช้ชีวิตบนโลกนี้ให้มีความสุขก็พอ เมื่อนึกได้เช่นนั้นมุมปากก็ยกยิ้มจนแทบจะมองมิเห็นหากไม่สังเกต แต่มิใช่กับเทียนฟ่งอวิ๋น ที่เขาจ้องนางอยู่ก่อน เขานึกว่านางมีความสุขกับคำสั่งที่ทำให้นางได้ใกล้ชิดเขา
" เจ้ายิ้มอะไร " เทียนฟ่งอวิ๋นเอ่ยถาม
" เฮ้อ! ท่านแม่ทัพ ท่านรู้อะไรไหม "
" รู้อะไร? " คิ้วของเขาเริ่มผูกเข้าหากัน เพื่อฟังคำของนาง
" กฎของธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าแกร่งที่สุดจะอยู่รอด ยืดหยุ่นและปรับตัวต่างหากที่อยู่รอด "
" เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"