เพิ่งจะผ่านยามเซินมาสองเค่อหานไป่จิ้งก็เตรียมตัวออกจากเรือนก้งเยว่ไปกินมื้อค่ำกับฮูหยินของตนแล้ว
ทว่าเพิ่งเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวนอกเสร็จห้าวอี้ก็พกสีหน้าไม่สู้ดีเดินเข้ามา พอเหลือบเห็นกระบอกไม้ไผ่ขนาดหนึ่งฉื่อในมือของอีกฝ่ายก็พลันทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จิบน้ำชาคำหนึ่งลงคอจึงเอ่ยปากออกมา
“มีสิ่งใดก็ว่ามาเถิด”
“สิ่งที่นายท่านให้ร้านเหิงเยว่ตรวจสอบเพิ่มนั้น บัดนี้ได้มาแล้วขอรับ”
แววตาของหานไป่จิ้งยังนิ่งสงบ “นางปิดบังสิ่งใดไว้ ก็ว่ามาเถิด”
ห้าวอี้ไม่กล้ารายงาน ทำเพียงมอบกระดาษแผ่นเล็กให้ หลังจากเห็นนายท่านกวาดตามองก็ทำเพียงยืนกลั้นหายใจ ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงแตกกระจายของถ้วยน้ำชา
ถ้วยน้ำชาทำจากหยกชั้นดี พอตกถึงพื้นกลับแตกออกเป็นหลายส่วน แต่ละส่วนนั้นล้วนทำให้คนเก็บเศษหยกมีรอยแผล
“นางมีใจลึกซึ้งให้ซุนเจ้าเฟิงเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงเดือดดาลเล็ดลอดออกมา “หาใช่ผู้อื่นแต่เป็นซุนเจ้าเฟิง!”
นึกถึงรอยกระบี่บนหัวไหล่ด้านซ้ายของผู้เป็นนายแล้วหน้าผากของห้าวอี้ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นออกมา เหตุใดฮูหยินถึงต้องเกี่ยวพันกับคนผู้นี้ด้วย ในเมื่อทั้งที่ลับที่แจ้งสกุลหานกับสกุลซุนล้วนฟาดฟันกันมาไม่รู้จักจบจักสิ้น วันนี้เจียงซูหลันแต่งเข้าสกุลหานแต่หัวใจกลับมอบให้คุณชายซุนเช่นนั้น ห้าวอี้จึงได้แต่สูดหายใจยาวๆ แทน
เห็นผู้เป็นนายกำลังกัดฟัน ดูท่าทางเรื่องไปกินมื้อค่ำกับ ฮูหยินคงไม่เกิดขึ้นแล้ว
หานไป่จิ้งนิ่งเงียบ ดวงตาดำเข้มกวาดอ่านอักษรที่ปรากฎอยู่บนกระดาษแผ่นเล็กซ้ำไปซ้ำมา กระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูปจึงหยิบกลักไฟค่อยๆ แผดเผาทำลายจนมอดไหม้
จัดการกับรายงานฉบับนั้นไปแล้วจึงตวัดดวงตาดุดันมองไปยังทิศทางที่ตั้งของเรือนเหิงเยว่ ถ้าสายตานี้แปรเปลี่ยนเป็นไฟคงโหมไหม้เรือนหลังนั้นจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน
หลังจากนั้นสีหน้าก็คืนสู่ปกติแล้วก้าวออกจากเรือน ก้งเยว่มุ่งฝีเท้าไปยังเรือนพำนักฮูหยินของตนด้วยฝีเท้าหนักแน่นยิ่ง กระทั่งสบสายตากับนางหานไป่จิ้งจึงรู้สึกภายในใจของตนนั้นมีความกรุ่นโกรธแผดเผามากเพียงใด ดังนั้นระหว่างกินมื้อค่ำจึงไม่มีคำพูดจะกล่าว รอจนมื้อค่ำสิ้นสุดลงจึงถึงเวลาจัดการกับสตรีที่ริอาจมอบใจให้บุรุษอื่นเสียที
เดิมเจียงซูหลันก็คาดเดาไว้แล้วว่าหลังมื้อค่ำจบลงคนผู้นี้ย่อมไม่ยอมออกจากเรือนเหิงเยว่โดยง่าย แต่ที่เหนือความคาดคิดก็คือการเผชิญหน้ากับคุณชายหานที่มีอำนาจครอบครองสกุลหานจนเป็นนายท่านเหนือทุกผู้คนจะทำให้นางรู้สึกอึดอัดได้มากเพียงนี้ โดยเฉพาะในยามที่เขาจิบน้ำชาแต่กลับตวัดดวงตาคมกริบดุจบ่อน้ำที่มองไม่เห็นก้นบึ้งมองนาง แววตาของเขาแม้ไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ ออกมาแต่กลับสามารถกดดันนางจนหายใจไม่ออก กระทั่งเสี่ยวถงเองก็ยังเอาแต่ก้มหน้าอย่างไร้ซุ่มเสียง
น้ำชาจิบไปครึ่งถ้วยแล้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำจึงเล็ดลอดออกมา
“ข้ากับเจ้าแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่ความเป็นจริงนั้นกลับรู้จักกันผิวเผินยิ่ง ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ฮูหยินใช้ชีวิตอยู่ในจวนสกุลเจียงเช่นไร พอจะบอกเล่าให้สามีอย่างข้าฟังบ้างได้หรือไม่”
นางไม่สนใจการเติบโตของเขา เหตุใดเขาต้องใส่ใจกับชีวิตในอดีตของนางด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังกัดฟันตอบออกมา
“ข้าเป็นเพียงคุณหนูในห้องหับ วันๆ นอกจากร่ำเรียนคัมภีร์สตรีแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใด ใช้ชีวิตเติบโตอยู่ข้างกายมารดา เรื่องราวเหล่านี้ก่อนจะแลกใบชะตากันนายท่านล้วนรู้หมดแล้วมิใช่หรือ”
“แล้วมีสิ่งใดที่ข้ายังไม่รู้อีกบ้างเล่า ไม่ทราบว่าฮูหยินจะยอมบอกกล่าวได้หรือไม่”
“ข้าภรรยาไม่มีสิ่งใดต้องบอกนายท่านอีกแล้ว”
นางสบตากับเขาด้วยท่าทีนิ่งสงบ แต่มือที่ซ่อนอยู่ใต้ชายแขนเสื้อกว้างกลับสั่นเทา จนต้องฝืนหยิบน้ำชามาจิบลงคอคำหนึ่ง
“ไม่รู้ว่าผ่านวัยปักปิ่นมานี้ ฮูหยินเคยไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์นอกจวนบ้างหรือไม่”
“ข้าภรรยาไม่เคยไปที่ใด”
นางโกหก เทศกาลหยวนเซียวปีก่อนเคยออกนอกจวนและครั้งนั้นยังพานพบกับคนผู้หนึ่งอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นก็มีเพียงมารดาที่รู้เรื่องนี้ เหล่าพี่น้องในสกุลเจียงหารู้ไม่
“ฮูหยินของข้าช่างเป็นสตรีที่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมยิ่งนัก”
นางยิ้มไม่ตอบคำ แต่แววตาที่หลุบมองถ้วยน้ำชาในมือคล้ายปรากฎความหวาดหวั่นออกมา
เสียงวางถ้วยน้ำชาลงด้วยแรงหนักหน่วงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าหานไป่จิ้งกำลังระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ยามนี้จึงหยัดกายลุกขึ้นขยับเดินมายังเบื้องหน้าของเจียงซูหลัน
“เวลาไม่เช้าแล้ว ฮูหยินข้าว่าเราสองคนเข้านอนกันเถิด” เขาบอกกล่าวความต้องการของตนอย่างตรงไปตรงมา
เจียงซูหลันช้อนดวงตาตื่นตระหนกขึ้นมอง แล้วอ้อมแอ้มกล่าว
“นายท่านบอกว่าจะให้เวลาข้าภรรยาเจ็ดวัน นี่เพิ่งผ่านพ้นวันที่สามมาเอง”
ได้ยินฮูหยินเอกของตนเอ่ยวาจาเช่นนี้ ปลายนิ้วหนาหนักจึงไล้ข้างแก้มของนางเบาๆ “ข้าย่อมให้เวลากับเจ้า แต่ในเมื่อเราสองคนเป็นสามีภรรยากัน นอนเคียงข้างกันโดยไม่ต้องร่วมรักก็ถือว่าพอทำได้กระมัง”
“แต่ว่า...”
“วางใจเถิด ร่างกายของเจ้ายังไม่พร้อม ข้าย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบาก”
นางไม่อยากเชื่อวาจาของเขา แต่กลับไม่อาจปฏิเสธออกมาได้แม้แต่คำเดียว ยิ่งนึกถึงคำพูดที่ลี่อี๋เหนียงทิ้งเอาไว้ก็ยิ่งต้องกล้ำกลืนความรู้สึกฝาดขมลงคอพลางเอ่ยว่า “ข้าจะเรียกเสี่ยวถงมาปรนนิบัติท่านพี่เข้านอน”
“เหตุใดฮูหยินไม่ปรนนิบัติสามีอย่างข้าด้วยตัวเองเล่า”
ว่าแล้วก็กางแขนทั้งสองข้าง “เริ่มจากถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกก่อนเป็นอย่างไร”
เจียงซูหลันเม้มปากแน่น แต่ชั่วอึดใจเดียวก็ลุกขึ้นค่อยๆ ปลดเสื้อคลุมให้เขาอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นก็หมุนตัวไปจัดแจงเครื่องนอนบนเตียง กระทั่งเห็นว่าเรียบร้อยจึงรั้งผ้าม่านลง
ระหว่างนางรั้งผ้าม่าน หานไป่จิ้งพลันขยับเข้าหา วางมือแตะลงบนเนินไหล่ทั้งสองข้าง “ให้ข้าปรนนิบัติฮูหยินบ้างดีหรือไม่”
นางยืนเกร็งตัวไม่คัดค้าน แล้วปล่อยให้มือหนาใหญ่ของเขาดึงรั้งอาภรณ์ตัวนอกออก กระทั่งเหลือเพียงตัวในสีขาวจึงปีนขึ้นเตียงไปนอนพร้อมรั้งผ้าห่มมาคลุมกาย
ด้านข้างนายท่านสกุลหานก็สอดตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน พร้อมปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
เห็นเขาหลับง่ายดายเช่นนั้น เจียงซูหลันพลันตะแคงตัวหันหลังให้ แต่ยังไม่ทันหลับสนิทก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของคนนอนอยู่ ตอนนี้เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ ลำแขนโอบกอดเอวบางเอาไว้ พร้อมๆ กับแนบร่างกายส่วนหน้าให้สนิทกลับแผ่งหลังบอบบาง ลมหายใจอุ่นร้อนยังรินรดขมับจนทำเอานางต้องกลั้นหายใจ
“ท่าน!” น้ำเสียงที่เล็ดออกมาแฝงความไม่ยินยอมอยู่บ้าง
คนกำลังนอนโอบกอดหญิงงามกดมุมปากลึกพลางกระซิบบอกทั้งๆ ที่ยังปิดตาสนิท “สามีอย่างข้าคงมีสิทธิ์กอด ฮูหยินกระมัง”
เขาเป็นสามี ย่อมมีสิทธิ์ทุกอย่างในเรือนร่างและชีวิตของนาง ข้อนี้ไม่ว่ายังไงเจียงซูหลันก็ไม่มีทางหลีกหนีได้สุดท้ายจึงยอมข่มตาหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เมื่อนางว่าง่ายแรงที่โอบกระชับพลันผ่อนคลายลง หนำซ้ำยังเกิดเรื่องน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลังปิดตาเพียงไม่นานหานไป่จิ้งก็พลันหลับสนิท ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ล่วงเลยถึงยามเฉินสองเค่อแล้ว
นอนค้างคืนด้วยกันว่าทรมานจนยากจะทานทน แต่พอเห็นเขาเข้ามายึดทุกพื้นที่ในเรือนเหิงเยว่เช่นนี้ยิ่งสร้างความอึดอัดทรมานเสียจนเจียงซูหลันหายใจไม่ออก นับตั้งแต่ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งเข้าสกุลหานมา นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าคนเป็นสามีผู้นี้กำลังลงโทษนาง ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้นางพลั้งเผลอลืมตัวไปกระทำผิดสิ่งใดไว้ เขาจึงพาตัวเองมาอยู่ที่นี่ให้เห็นเขาอยู่ตลอดทุกชั่วยาม
เจียงซูหลันได้ยินมาว่า นายท่านสกุลหานมีธุระต้องจัดการไม่น้อย ทว่าความเป็นจริงคนผู้นี้นอกจากดื่มน้ำชา เดินหมาก อ่านตำราแล้วก็ไม่เห็นมีท่าทีจะออกจากจวนเลยสักครั้ง นึกแล้วจึงอยากรู้ยิ่งนักว่าคืนวันเข้าหอเขาไปอยู่ที่ใด จึงปล่อยให้นางนั่งเฝ้าเทียนมงคลเพียงลำพัง ดังนั้นดวงตากลมโตที่ทอดมองเขาอยู่ในเวลานี้จึงเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ยิ่ง
“ฮูหยิน เหตุใดจึงจ้องมองข้าเช่นนั้นเล่า” คนถามเพิ่งละสายตาออกจากตำราในมือ ดวงตาดำล้ำลึกของเขามิได้คลาดเคลื่อนไปจากใบหน้างดงามของผู้เป็นภรรยาเลย “มีสิ่งใดก็พูดมาเถิด”
“คืนวันเข้าหอ” ในเมื่อเขาเปิดโอกาสให้ซักถาม เจียงซูหลันย่อมไม่ปล่อยไป “เหตุใดท่านจึงทิ้งข้าไว้ลำพัง”
“คืนนั้นข้าถูกลอบสังหาร” เมื่อนางอยากรู้หานไป่จิ้งก็บอกกล่าวตามตรง “จึงไม่อาจมาร่วมหอกับเจ้า และยังต้องพักฟื้นอีกเจ็ดวัน”
“ท่านถูกลอบสังหาร”
“กระบี่ของมือสังหารยังอาบยาพิษ หากรักษาไม่ทันการป่านนี้ฮูหยินคงกลายเป็นหม้าย”
นางจับจ้องสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของเขาด้วยความตื่นตระหนกปนประหลาดใจ “เกิดเรื่องเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่บอกข้าภรรยาสักคำ”
“ซูหลัน” นี่เป็นครั้งแรกที่หานไป่จิ้งเรียกชื่อนาง “การเป็นนายท่านสกุลหานไม่ได้ง่ายดายนักหรอก ที่ข้าไม่บอกเพราะไม่อยากให้ภรรยาเอกที่เพิ่งแต่งเข้าจวนมาวันแรกต้องตกใจกับเรื่องนี้ อีกอย่างข้ารู้ว่าข้าสามารถมีชีวิตรอดมาพบเจ้าได้”
ถ้อยคำนี้ของเขาสร้างความปั่นป่วนภายในอกของเจียงซูหลันไม่น้อย “แผลของท่าน หายดีแล้วหรือไม่”
หานไป่จิ้งไม่ตอบคำ แต่กลับดึงเข็มขัดรัดเอวออก คลายสาบเสื้อลงเผยหัวไหล่ข้างที่มีรอยแผลให้เห็น ตรงนั้นไม่มีผ้าสีขาวพันเอาไว้จึงปรากฎรอยแผลเป็นสีดำเข้มขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เห็นเช่นนั้นนางพลันเดินเข้าใกล้ ปลายนิ้วบอบบางลูบไล้รอยนูนด้วยตาแดงๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะนางอยู่ในฐานะภรรยาเอกของเขากระมัง เมื่ออยู่ในฐานะนี้แล้วจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงความเป็นห่วงเป็นใยที่สมควรมีไปได้