นับตั้งแต่เจียงซูหลันเอ่ยปากบอกหานไป่จิ้งว่าเจ็ดวันนี้นางไม่อาจปรนนิบัติรับใช้เขา นายท่านสกุลหานผู้นั้นก็ไม่เคยย่างกรายเข้าใกล้เรือนเหิงเยว่อีกเลย ทว่าผ่านมาเพียงสามวันคนที่นางไม่เคยพานพบมาก่อนกลับให้สาวใช้ประคองเข้ามา ด้านหลังยังมีคนกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย ในมือของบรรดาสาวใช้เหล่านั้นมีของตกแต่งเรือนเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว
ลี่อี๋เหนียง อนุภรรยาของพ่อสามีที่ตายจากไปหลายปีของนางผู้นี้นับว่ายังงดงามอยู่มาก ดูแล้วอายุน่าจะไม่เกินสามสิบกระมัง รูปร่างเพรียวบางราวกับกิ่งหลิวต้องลมไม่มีผิด แถมผิวยังขาวราวกับต้นหอมอีกด้วย มิน่าเล่าขนาดพ่อสามีของนางมีฮูหยินใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามลำดับหนึ่งของแผ่นดินอยู่ข้างกาย พอพานพบสตรีอย่างลี่จินผู้นี้กลับยอมรับเข้ามาในจวน
โฉมงามแนบอกไม่ถึงสองปี พ่อสามีก็ไร้วาสนาต้องตายจากไปก่อน ไม่รู้ว่าก่อนสิ้นชีวิตจะมีความเสียดายมากเพียงใด
เมื่อแม่เลี้ยงสามีก้าวมายืนตรงหน้า เจียงซูหลันพลันรีบยอบกายลง “ลูกสะใภ้คำนับลี่อี๋เหนียง” นางไม่เรียกแม่สามี แต่ก็ยังแทนตัวเองว่าลูกสะใภ้ ถึงอย่างไรผู้อื่นก็เป็นอนุภรรยาของพ่อสามี สิ่งนี้ไม่อาจลืมเลือนง่ายๆ
ลี่จินเชิดหน้าขึ้น แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้กลางห้องโถงเผยท่าทีเย่อหยิ่งออกมา ในเมื่อหานไป่จิ้งมีคำสั่งให้จัดการลูกสะใภ้ผู้นี้ก็ย่อมต้องทำ อีกอย่างหลายปีมานี้หานไป่จิ้งทำร้ายนางสารพัด หากไม่เอาคืนสักหน่อยก็คงเป็นไปไม่ได้ ต่อไปนี้นางจะเป็นแม่สามีที่รังแกลูกสะใภ้ ทำเช่นนี้จึงไม่ผิดต่อฐานะอี๋เหนียงของตน
ลี่จินทอดสายตามองลูกสะใภ้ เจียงซูหลันผู้นี้กวาดตามองรอบหนึ่งก็ไม่นับว่างดงามเหนือสามัญ ฮูหยินใหญ่สกุลเจาผู้นั้นยังเหนือกว่ามาก แววตาสีหน้าจึงเผยความเหยียดหยามออกมาสามส่วน อีกสามส่วนเป็นดูแคลน ที่เหลือนั้นไร้ซึ่งความหมายอื่นใดให้เห็น
นั่งอยู่นานแล้ว แต่ลูกสะใภ้กลับไม่ยกน้ำชาคารวะตน จึงเอ่ยปากออกมา “ดูท่าทางสกุลเจียงคงอบรมสั่งสอนคุณหนูสิบห้ามาน้อยยิ่งนัก เห็นแม่สามีนั่งอยู่เหตุใดยังไม่คุกเข่าคำนับยกน้ำชาให้อีกเล่า”
‘แม่สามี’ คำนี้ฟังแล้วไม่รู้ว่าทำไมเจียงซูหลันจึงอดยิ้มเยาะในใจไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นต่อให้สตรีผู้นี้ไม่ได้คลอดหานไป่จิ้ง ออกมา แต่ก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งของพ่อสามีอยู่ดี ดังนั้นจึงคุกเข่า รับน้ำชาจากเสี่ยวถงมายื่นให้ “หลันเอ๋อคำนับลี่อี๋เหนียง เชิญลี่อี๋เหนียงดื่มน้ำชา”
ลี่จินเชิดหน้าคอตั้งตรง จิบน้ำชาคำหนึ่งแล้วไม่ดื่มอีก ถึงกระนั้นก็ยังไม่บอกให้เจียงซูหลันลุกขึ้น ปากเอ่ยอบรม “ตัวข้าเป็นอนุภรรยาดูแลปรนนิบัตินายท่านหานเต๋อมาหลายปี ข้าจึงเห็นจิ้งเอ๋อเติบโตจากหนุ่มน้อยมาจนกระทั่งเป็นบุรุษรูปงาม ข้ารักทะนุถนอมจิ้งเอ๋อราวกับเป็นบุตรในไส้ ดังนั้นข้าจึงมีคำพูดหนึ่งอยากพูดกับคุณหนูสิบห้าตระกูลเจียงให้ชัดเจน”
“ลี่อี๋เหนียงต้องการพูดสิ่งใดก็พูดมาเถิดเจ้าค่ะ”
“หลันเอ๋อ เจ้าจงปฏิบัติตามหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาให้ดี เข้าใจหรือไม่ เพราะถ้าเจ้าทำผิดพลาดแม้แต่ประการเดียว ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป”
“ลูกสะใภ้เข้าใจ”
“อ้อ! และเจ้าควรรู้ไว้ว่า หนังสือหย่าขาดที่สกุลหานจะมอบให้เจ้านั้น ง่ายดายกว่าหนังสือจดทะเบียนการเป็นสามีภรรยากันยิ่งนัก ฉะนั้นถ้ายังไม่อยากเป็นหญิงหม้ายในเวลารวดเร็วละก็ ควรปฏิบัติตนเช่นไรย่อมปฏิบัติตนเช่นนั้น โดยเฉพาะการปรนนิบัติแม่สามี”
ว่าแล้วก็ยิ้มออกมาด้วยดวงตาใสซื่อ “นี่ก็ยามอู่สองเค่อแล้ว ถึงเวลากินมื้อเที่ยง ไม่ทราบว่าลูกสะใภ้จะปรนนิบัติแม่สามีอย่างข้าได้หรือไม่”
ได้ยินคำนี้เสี่ยวถงถึงกับเหลือบตามองสีหน้าของคุณหนู ในดวงตาปรากฏความไม่พอใจชัดเจน กระทั่งเห็นคุณหนูคลี่ยิ้มจึงเก็บงำท่าทีเอาไว้ รีบประคองเจียงซูหลันลุกขึ้น
“ลูกสะใภ้ ยินดีปรนนิบัติแม่สามี” นางเปลี่ยนคำเรียก ลี่อี๋เหนียงคำนี้เรียกให้น้อยลงสักหน่อยอีกฝ่ายคงไม่สร้างความลำบากให้ตนมากนัก หลังจากนั้นจึงสบตากับเสี่ยวถง ไม่นานสาวใช้ก็ยกสำรับอาหารเข้ามา
มื้อกลางวันของวันนี้จึงมีอาหารเพิ่มขึ้นอีกสองจาน เมื่อแม่สามีนั่งลงบนเก้าอี้เจียงซูหลันก็ยืนด้านข้างคอยคีบอาหารใส่ชามให้ “เนื้อปลาหมักเซียนบุปผาจานนี้อร่อยยิ่งนัก ได้กลิ่นหอมของบุปผาเจ็ดชนิดสามารถดับกลิ่นคาวปลาได้เป็นอย่างดี แม่สามีกินให้มากสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ลี่จินกัดกินคำเล็กๆ คำหนึ่ง “เนื้อปลาหมักจานนี้ไม่แล้ว วันหลังข้าคงต้องรบกวนหลันเอ๋ออีก”
“ถ้าหากแม่สามีชอบ ลูกสะใภ้ยินดีเข้าครัวลงมือทำไปมอบให้ที่เรือนด้วยตัวเอง”
“ดียิ่งนัก” ชมแล้วก็ชี้มือไปยังอีกจานหนึ่ง
เจียงซูหลันจึงรีบคีบกับข้าวจากจานนั้นใส่ชามให้ กระทั่งแม่สามีกินอิ่ม จิบน้ำชาล้างปาก ยอมกลับเรือนพำนักไปนั่นแหละจึงรู้สึกว่าสามารถหายใจได้คล่องขึ้น วันนี้มาให้นางปรนนิบัติถึงเรือน วันข้างหน้าคงหนักหนายิ่งกว่านี้มากนัก
“คุณหนู” เสี่ยวถงได้แต่มองด้วยตาแดงๆ ผ่านมื้อกลางวันแล้วแต่คุณหนูยังไม่ได้กินข้าวสักคำ อาหารที่มีอยู่ก็เป็นของเหลือทั้งนั้น “คุณหนู บ่าวไปโรงครัว ทำอาหารให้ท่านดีหรือไม่”
เจียงซูหลันเพิ่งมาอยู่ในฐานะภรรยาเอกของหานไป่จิ้ง อำนาจธุระจัดการในจวนยังไม่มี จึงต้องรับสำรับจากโรงครัวใหญ่ของจวน หาได้มีโรงครัวเล็กในเรือนเป็นของตัวเองไม่ อาหารเที่ยงบ่าวในโรงครัวก็มาส่งแล้ว หากให้เสี่ยวถงเข้าไปที่นั่น นางคงถูกลี่อี๋เหนียงนำความผิดโทษฐานสร้างความวุ่นวายมาลงทัณฑ์เป็นแน่ ดังนั้นมื้อเที่ยงวันนี้คงกินไม่ได้เสียแล้ว จึงยิ้มเอ่ยว่า “เสี่ยวถงอย่าลำบากเลย ให้คนเก็บสำรับเถิด เจ้าไปชงชาให้ข้าสักกาหนึ่งแล้วหยิบขนมสักจานมาก็พอ”
ในใจของเสี่ยวถงไม่ยินยอมเลยสักนิด ลี่อี๋เหนียงมากินอาหารในเรือนเหิงเยว่จนหมด กลับเรือนพำนักไปก็คงมีให้กินอีกมาก แต่คุณหนูของนางลำบากดูแลผู้อื่นแล้วก็ยังไม่มีอะไรบำรุงร่างกาย ถ้าหากความสัมพันธ์ของคุณหนูกับนายท่านหานดีกว่านี้คุณหนูคงไม่ลำบากเฉกเช่นที่เป็นอยู่แน่นอน คิดแล้วเสี่ยวถงก็อดมองข้ามไปยังอีกฝั่งของเรือนไม่ได้ ไม่รู้ว่านายท่านจะรับรู้ถึงความทุกข์ยากของคุณหนูสิบห้าบ้างหรือไม่
หานไป่จิ้งย่อมรับรู้ ในเมื่อเขาเป็นคนหยิบยื่นความทุกข์ยากให้เจียงซูหลันด้วยตนเอง ถ้าหากหลายวันก่อนไม่เอ่ยปากเรียกลี่อี๋เหนียงมาใช้งาน อีกฝ่ายมีหรือจะกล้าก้าวออกจากเรือนพำนัก
สิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนเหิงเยว่ จึงไม่ทำให้สีหน้าของหานไป่จิ้งแปรเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย กลับเผยร่องรอยพอใจออกมาด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินห้าวอี้บอกว่าเจียงซูหลันกินขนมกุ้ยฮวาเป็นมื้อกลางวัน คิ้วสีเข้มเหนือดวงตาล้ำลึกนั้นกลับหรี่ลงปากเอ่ยว่า
“อาหารมื้อเย็นของเรือนรู่เยว่ในวันนี้ไม่จำเป็นต้องมีแล้ว ลี่อี๋เหนียงกินมื้อกลางวันอิ่มท้อง ไม่ต้องการสำรับมื้อเย็น”
“ขอรับ”
“แล้วก็ อาหารเย็นของข้าให้นำไปที่เรือนเหิงเยว่”
ห้าวอี้รับคำสั่งพลางยิ้มทั้งปากทั้งตา หลังจากนั้นก็รีบหมุนตัวไปแจ้งโรงครัวและยังส่งข่าวไปถึงสาวใช้คนสนิทของ ฮูหยินอีกด้วย
ยามนี้แม้ทางโรงครัวจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ทว่าในสายตาของบ่าวรับใช้ทั้งหมดในจวนสกุลหานต่างรับรู้แล้วว่า แท้จริงแล้วนายท่านหานก็รักใคร่เมตตาฮูหยินสกุลเจียงผู้นี้ไม่น้อย มิเช่นนั้นจะมาร่วนกินมื้อเย็นด้วยได้อย่างไร อีกอย่างถึงแม้ทั้งคู่ยังไม่ได้ร่วมหอกัน ทว่าสตรีงดงามกับบุรุษเพียบพร้อมมีหรือจะแยกจากกันไปได้ ไม่วันใดวันหนึ่งย่อมรักใคร่ผูกพันกันลึกซึ้ง
ต่อให้ผู้คนในสกุลหานจะคิดเช่นนั้น แต่สำหรับ เจียงซูหลันแล้วไม่ยินดีกินอาหารร่วมโต๊ะกับผู้เป็นสามีแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะนางจับสังเกตบางสิ่งบางอย่างได้ โดยเฉพาะในยามที่นึกถึงท่าทีของลี่อี๋เหนียงผู้นั้น
แต่งเข้าจวนสกุลหานมาก็หลายวัน อีกฝ่ายไม่เคยเรียกไปคำนับ ที่สำคัญนางรู้มาว่าลี่อี๋เหนียงไม่ค่อยออกจากเรือนรู่เยว่ การจัดการธุระในจวนทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของพ่อบ้านไห่ฉวนทั้งสิ้น ทว่าหลังจากที่พบเจอกับหานไป่จิ้งเป็นครั้งแรก อี๋เหนียงผู้หนึ่งที่สกุลหานไม่ให้ความสำคัญกลับกล้ามาอวดอำนาจต่อหน้านาง ถ้าหากไม่มีคนคอยชักไยอยู่เบื้องหลังก็นับว่าลี่อี๋เหนียงผู้นี้ใจกล้าไม่น้อย
นึกถึงแววตาเหยียดหยามของอีกฝ่ายแล้ว เจียงซูหลันอดสูดหายใจยาวๆ ไม่ได้
“คุณหนู” ภายในใจของเสี่ยวถงมีแต่ความหวาดหวั่น “นายท่านมาที่นี่ คงไม่...”
เจียงซูหลันตบหลังมือของสาวใช้คนสนิทเบาๆ “ยังไม่ครบเจ็ดวัน เขาย่อมไม่พำนักค้างคืนกับข้า”
“แต่ว่า...”
“เจ้าไปโรงครัว บอกให้แม่ครัวทำอาหารที่นายท่านชอบอีกสักสองอย่างเถิด แล้วก็อย่าลืมเตรียมสุราไว้กาหนึ่งด้วยเล่า”
“สุราหรือเจ้าคะ”
“สุราที่พี่ชายรองมอบให้ข้าเมื่อครั้งนั้น ถึงเวลาต้องใช้งานแล้ว”
นึกถึงสุราที่คุณชายรองเจียงเส้ามอบให้คุณหนูเมื่อครั้งที่คุณหนูอายุสิบห้าปีแล้ว รอยยิ้มของเสี่ยวถงพลันกว้างขึ้น เพราะได้ยินมาว่าสุรานั้นเพียงจอกเดียวก็สามารถล้มคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากหลังมื้อค่ำนายท่านสกุลหานคิดไม่ซื่อ ก็ให้คุณหนูหลอกล่อดื่มสุรานี้สักจอกก็นับว่าสามารถเอาตัวรอดได้อย่างง่ายดายแล้ว
“บ่าวจะไปเตรียมไว้เดี๋ยวนี้”
“ระวังอย่าให้ผู้อื่นเห็นเล่า”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวถงยอบกายรับแล้วหายออกจากเรือนเหิงเยว่ไปอย่างรวดเร็ว กลับมาอีกครั้งก็ยังมาช่วยเจียงซูหลันตรวจสอบความเรียบร้อยภายในเรือน ทำราวกับว่ายินดีกับคุณหนูของตนยิ่งนัก
เจียงซูหลันสั่งสาวใช้ในเรือนเก็บกวาดให้ดี แจกันดอกไม้ที่ควรมีก็มีไม่ขาด นางทำเช่นนี้เพื่อบอกทุกคนในจวนสกุลหานว่า ตัวนางนั้นปลาบปลื้มกับการที่สามีจะมากินมื้อค่ำด้วยแค่ไหน ดังนั้นในยามที่เผชิญหน้ากับเขาต่อให้ยิ้มไม่ออกก็ต้องยิ้มทั้งปากทั้งตา มีเพียงทำเช่นนี้จึงสามารถเอาชีวิตรอดอยู่ในสกุลหานได้ตลอดรอดฝั่ง แต่หลังสบประสานสายตากับสามีแล้วไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเย็นสันหลังจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง