เห็นดวงตาของเจียงซูหลันชื้นแดงเช่นนั้น ไม่รู้ว่าทำไมภายในใจของหานไป่จิ้งจึงรู้สึกว่ากำลังถูกแมวตัวน้อยข่วนตะกุยสร้างรอยแผลทั้งบางเบาและหนักหน่วงเอาไว้ ยามนี้จึงกุมมือข้างหนึ่งของนางแล้วเช็ดขอบตาแดงให้
จู่ๆ ถูกบุรุษผู้หนึ่งแสดงท่าทีเช่นนี้ ภายในใจย่อมหวั่นไหว เมื่อเป็นเช่นนี้เจียงซูหลันจึงรีบเบือนหน้าหนี ไม่อาจปล่อยให้ตนพลั้งเผลอ โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของตนได้ลบล้างความอ่อนโยนที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จนเลือนหายไป
เพียงชั่วอึดใจเดียว แววตาของนายท่านสกุลหานคล้ายจะดุดันขึ้น ในเมื่อฮูหยินไม่ยอมให้แตะต้องจึงรั้งสาบเสื้อเพื่อปกปิดรอยแผลไว้เช่นเดิมพลางก้าวยาวๆ ออกจากห้องชั้นในของเรือนเหิงเยว่ไป พอเห็นห้าวอี้ยืนอยู่หน้าเรือนก็รีบโยนเข็มขัดรัดเอวให้ แน่นอนว่าเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของนายท่านหลุดลุ่ย ห้าวอี้ย่อมเหลือบสายตามองเข้าไปในเรือนอย่างอยากรู้ว่าเกิดสิ่งใด แต่พอสบกับสายตาเดือดดาลแล้วจึงกลืนคำถามที่ติดอยู่ปลายลิ้นลงคอ ทำเพียงก้าวเท้ายาวๆ ติดตามไปอย่างรีบร้อน
ทันทีที่กลับมาถึง หานไป่จิ้งก็คว้ากระบี่เล่มหนึ่งแล้วกระโดดลงไปกลางลานฝึกซ้อมด้านหน้าเรือนก้งเยว่ บริเวณโดยรอบในยามนี้จึงแว่วเสียงกระบี่ฟาดฟันเสียดแทงจิตใจผู้คน วิถีกระบี่ดุดันนั้นทำเอาสาวรับใช้หลายคนตกใจจนสิ้นสติ พริบตาเดียวก็ไม่มีผู้ใดกล้าเฉียดเข้ามาในเรือนอีก คงมีเพียงห้าวอี้ที่ยังยืนหยัดอยู่ด้านข้าง
ห้าวอี้นึกว่านายท่านหานจะฝึกกระบี่เพียงไม่กี่ชั่วยาม ทว่าบัดนี้ย่างเข้ายามไฮ่แล้วแต่ยังไม่ยอมวางมือ
“นายท่าน” ห้าวอี้สูดหายใจก่อนจะเอ่ยปาก “นายท่าน...นายท่านฝึกกระบี่มาสามชั่วยามแล้ว พักสักหน่อยเถิด”
แต่ดูเหมือนหานไป่จิ้งจะไม่ได้ยินคำพูดของห้าวอี้ ถึงได้ยังฟาดฟันกระบี่ออกไป แต่ละท่วงท่าหนักแน่นดุดันยิ่ง เพื่อหยุดการฝึกกระบี่ของผู้เป็นนายจึงคว้ากระบี่ของตนกระโจนเข้าไปในลาน
เสียงกระบี่สองเล่มปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า ท่วงท่าแม้จะคล้ายคลึงกันแต่เพราะต้องลดพละกำลังลงห้าวอี้จึงออกแรงเพียงครึ่งเดียว ทว่าผู้เป็นนายคงไม่ชอบใจสักเท่าไหร่จึงยังพุ่งเข้าใส่ด้วยความรุนแรง เมื่อเป็นเช่นนี้ห้าวอี้จึงทุ่มเทกำลังลงไปทั้งหมด
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมิอาจต้านทานวิถีกระบี่ของผู้เป็นนายจึงรีบหนีออกมาแล้วพุ่งไปยังเรือนเหิงเยว่ด้วยใบหน้าอาบเหงื่อ แต่ยามนี้ประตูเรือนบานใหญ่ได้ปิดลงแล้วจึงทำได้เพียงเรียกบ่าวเฝ้าประตูเสียงดังลั่น
คงเป็นเพราะวันนี้เจียงซูหลันรู้สึกแปลกๆ ดวงตากลมโตจึงเบิกโพลงจับจ้องผ้าม่านที่ทิ้งตัวลงมาบดบังเงาร่างของนางออกจากสายตาผู้อื่น พอแว่วเสียงพูดคุยกันด้านนอกจึงรั้งผ้าห่มออกแล้วก้าวลงจากเตียง จุดโคมจนห้องส่องสว่างถึงได้ส่งเสียงเรียกคนสนิทของตน “เสี่ยวถง เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ”
เสี่ยวถงรีบก้าวเข้ามาแล้วหยิบเสื้อคลุมมาห่อหุ้มร่างกายของนายหญิง ปากเอ่ยว่า “ห้าวอี้มาร้องเรียกให้เปิดประตู บอกว่าตั้งแต่กลับไปนายท่านฝึกกระบี่ไม่หยุด บัดนี้ฝ่ามืออาบย้อมไปด้วยเลือดแล้ว ห้าวอี้พยายามหักห้ามแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้จึงต้องมารบกวนฮูหยิน”
ฟังแล้วภายในอกของเจียงซูหลันพลัดอึดอัดอย่างไม่รู้สาเหตุ สุดท้ายก็คว้าโคมไฟส่องนำทางแล้วเดินเร็วๆ ออกจากเรือนมุ่งตรงไปยังเรือนก้งเยว่อย่างรีบร้อน ด้านหลังนั้นมีเสี่ยวถงกับห้าวอี้เร่งฝีเท้าตามมา
“ฮูหยิน มืดค่ำแล้วระวังเท้านะเจ้าคะ”
กว่าเสี่ยวถงจะถึงตัวนายหญิง ทุกคนก็มาหยุดตรงลานกว้างหน้าเรือนก้งเยว่ สภาพที่เห็นคือกิ่งไม้ใบไม้ปลิดปลิวเต็มพื้น แม้แต่แปลงดอกเหมยกุยก็ยังถูกทำลาย ส่วนคนลงมือทำนั้นยังคงวาดท่วงท่ากระบี่ไปตามที่ร่ำเรียนมา เห็นเช่นนั้นเจียงซูหลันจึงยกโคมไฟเพื่อมองภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนขึ้น ทว่าในยามเดินไปหาคนเป็นสามียังเผลอเหยียบหนามดอกไม้จนเท้าเจ็บ
แม้เลือดจะไหลแต่กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมา เสี่ยวถงเห็นแล้วรีบห้าม
“ฮูหยินอย่าเข้าไป”
น่าเสียดายที่นายหญิงของเสี่ยวถงไม่ฟัง ยังคงขยับเดินไปใกล้คนฝึกฝนกระบี่ด้วยฝีเท้ามั่นคงยิ่ง กระทั่งเข้าใกล้เขานางจึงร้องเรียก “นายท่าน...หยุดฝึกกระบี่ก่อนเถิด ท่านฝึกมานานแล้วควรหยุดพักเสียที”
แต่ไม่ว่าจะพูดสิ่งใด มือของหานไป่จิ้งก็ยังวาดกระบี่ออกไป
“หานไป่จิ้ง!” ในที่สุดก็ตะโกนเรียกเขา “ท่านอยากตายหรือไง!”
เมื่อเขาไม่มีท่าทีตอบสนองเจียงซูหลันจึงตัดใจพุ่งเข้าหา การกระทำของนางทำเอาเสี่ยวถงกรีดร้องแม้กระทั่งห้าวอี้ยังกลั้นหายใจด้วยความหวาดกลัว จะพุ่งเข้าใส่ก็ไม่ทันการเสียแล้วเพราะยามนี้ปลายกระบี่แหลมคมกำลังจะทิ่มแทงลำคอของ ฮูหยิน
“นายท่าน! ฮูหยิน!” สองบ่าวร้องลั่นออกมาพร้อมกัน
เจียงซูหลันรู้ว่าครั้งนี้ตนอาจต้องจบชีวิต จึงหลับตากลั้นหายใจ
กระทั่งรอบตัวเงียบสงัดจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นปลายกระบี่แหลมคมจ่ออยู่ตรงลำคอ ดวงตากลมโตพลันจ้องมองเจ้าของใบหน้าอาบเหงื่อนิ่งนาน เห็นเขาไม่ขยับนางจึงจับมือเขาแล้วค่อยๆ ลดกระบี่ลง หลังจากนั้นก็หันไปมองห้าวอี้พลางสั่งด้วยสายตาให้อีกฝ่ายมานำกระบี่เล่มนี้ออกไป
กระบี่หลุดมือไปแล้ว สติของหานไป่จิ้งจึงคล้ายเพิ่งกลับมา มองฝ่ามือของตนที่ถูกเจียงซูหลันค่อยๆ พันผ้าเช็ดหน้าเพื่อห้ามเลือดไม่รู้ว่าทำไมดวงตาถึงแดงก่ำ แต่ถึงกระนั้นนับตั้งแต่เห็นหน้านาง กระทั่งฝ่ามือถูกพันห้ามเลือดเขากลับไม่มีคำพูดจะเอ่ย ปล่อยให้นางพันแผลแล้วเสร็จจึงเดินดุ่มๆ กลับเข้าเรือนก้งเยว่
ด้านหลังเจียงซูหลันเร่งฝีเท้าตามมา ห้าวอี้คล้ายจะรู้ว่าควรทำสิ่งใดจึงก้มลงหยิบกล่องยามาวางไว้แล้วค่อยถอยออกไป
เสี่ยวถงเองก็รีบยกอ่างน้ำกับผ้าสะอาดตามเข้ามาด้วย แต่พอสัมผัสได้ว่าภายในห้องนี้น่าหวาดหวั่นจึงหลบออกไปเงียบๆ ก้าวออกจากห้องชั้นในยังเห็นคนสนิทของนายท่านยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางนิ่งสงบ ทว่าพอมองให้ชัดๆ กลับเห็นแผ่นหลังของคนผู้นั้นสั่นเทิ้ม ห้าวอี้คงเป็นห่วงนายท่านไม่น้อยจึงได้เปิดเผยความอ่อนแอออกมา
เสี่ยวถงขยับไปยืนข้างๆ ปากเอ่ยว่า “วางใจเถิด นายท่านไม่เป็นอะไรหรอก เพราะฮูหยินของข้าจะดูแลนายท่านเป็นอย่างดี”
ห้าวอี้ไม่พูดอะไร เพราะรู้ว่าที่นายท่านเป็นเช่นนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากฮูหยินทั้งสิ้น ยามนี้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันย่อมไม่มีสิ่งใดให้เป็นกังวลอีก
“เราสองคนกลับเรือนไปพักพร้อมกันเถิด”
จู่ๆ คนหน้าขรึมเอ่ยวาจาเช่นนี้ทำเอาเสี่ยวถงต้องหรี่ลง ครั้นจะเอ่ยปากถามว่าเขาพูดจาเช่นนี้ไม่กลัวว่าผู้อื่นจะเข้าใจผิดว่านางกับเขามีอะไรกันหรือไงอีกฝ่ายก็หายไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่เหลียวหลังกลับไปมองเรือนก้งเยว่คราหนึ่งก่อนจะตัดสินใจทิ้งนายหญิงไว้ที่นี่ ส่วนตนนั้นเร่งกลับเรือนเหิงเยว่ไป
เพราะเห็นสภาพสามีเป็นเช่นนี้ หนำซ้ำรอบๆ กายของเขายังไม่มีคนคอยปรนนิบัติ มองไปนอกเรือนก็ไม่เห็นห้าวอี้กับเสี่ยวถงยืนอยู่แล้ว เจียงซูหลันจึงรู้ตัวว่าหน้าที่รับใช้หานไป่จิ้งตกเป็นของนางเพียงคนเดียว อีกอย่างหากนับดูฐานะและความสัมพันธ์ทั้งหมด หากนางไม่อยู่ดูแลเขาก็คงนับว่าไร้คุณธรรมจนเกินไป พอเห็นหานไป่จิ้งนั่งอยู่บนตั่งตัวยาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จึงยกอ่างเช็ดหน้าตามไป
หยิบผ้าชุบน้ำบิดหมาดแล้วส่งให้
“ท่านพี่เช็ดหน้าเช็ดตาสักหน่อยเถิด” เพราะไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวบางคำที่ไม่เคยเรียกก็เรียกอย่างคล่องปาก เมื่อเขาไม่ยอบยื่นมือมารับจึงเป็นฝ่ายเช็ดให้เสียเอง ระหว่างนั้นก็ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “ท่านพี่ฝึกกระบี่ตั้งหลายชั่วยาม หิวหรือไม่ เดี๋ยวข้าภรรยาเข้าครัวตุ๋นน้ำแกงให้ท่านสักถ้วย”
“ไม่ต้อง” หานไป่จิ้งปฏิเสธเสียงเคร่งขรึม
เจียงซูหลันเม้มปาก ช่วยเขาเช็ดหน้าเช็ดมือจนแล้วเสร็จจึงพึมพำบอกออกมา “ถ้าเช่นนั้น ท่านพี่นอนพักเถิด ข้าภรรยาจะกลับเรือนเหิงเยว่แล้ว”
“ฮูหยิน”
นางไม่อยากขานรับแต่กลับต้องช้อนดวงตากลมโตมองเจ้าของแววตาดุดัน
“คืนนี้ ค้างที่เรือนนี้กับข้าได้หรือไม่”
เจียงซูหลันลอบสูดหายใจเพื่อข่มความหวาดหวั่นเอาไว้ แต่ในเมื่อนางคือภรรยาเอกของเขาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงสัมพันธ์เหล่านี้จึงตอบรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ได้”
แม้จะสัมผัสได้ว่าสตรีตรงหน้าไม่ยินยอม แต่ภายในใจลึกๆ ของหานไป่จิ้งมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะฉุดรั้งนางเอาไว้เขาจึงมองข้ามความเจ็ดปวดของนางไป ทำเพียงยืนขึ้นแล้วกางแขนทั้งสองข้างออก
“ช่วยข้าเปลี่ยนชุดเถิด”
ได้ยินคำสั่งเช่นนี้ใบหน้าของคนงามค้างแข็งอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็รวบรวมความกล้าค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าชั้นนอกให้ กระทั่งเหลือเสื้อตัวในสีขาวกับกางเกงสีเดียวกันจึงอ้อมถาม “ต้องเปลี่ยนหรือไม่”
“เปลี่ยนเถิด”
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นร่างกายเปล่าเปลือยของบุรุษ แม้บุรุษผู้นี้จะเป็นสามีแต่นางกับเขายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง ยามต้องปลดเปลื้องเนื้อผ้าออกจากร่างกายของเขามือทั้งสองข้างจึงสั่นเทาอยู่บ้าง ทว่าเพียงเสื้อสีขาวหลุดออกร่างกายของนางกลับต้องชะงักงัน ความเย็นเยียบราวกับถูกธารน้ำแข็งทับถมเป็นชั้นหนาเคลื่อนเข้ามาแทนที่จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ร่างกายของคนผู้หนึ่งเหตุใดจึงมีรอยแผลเยอะเพียงนี้ แผ่นหลัง หัวไหล่ หน้าอก หน้าท้อง ล้วนมีร่องรอยความเจ็บปวดทั้งสิ้น
“เหตุใด...” นางไม่อาจถาม รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว
“กลัวหรือไม่ รังเกียจข้าที่เป็นเช่นนี้หรือไม่”
เจียงซูหลันไม่ตอบ เอาแต่แตะปลายนิ้วสั่นๆ กับรอยแผลเป็นของเขา “เจ็บมากหรือไม่” นางถามเพราะรู้ว่าตลอดทั้งชีวิตของเขาคงไม่เคยได้ยินคำถามเช่นนี้มาก่อน แม้สกุลหานจะรู้หลักการอาศัยอยู่ร่วมกัน บุตรสายรองไม่อาจแย่งชิงตำแหน่งทายาทของบุตรสายตรงได้ แต่คนผู้นี้นับแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ใด หากนางผู้เป็นภรรยาเอกไม่ใส่ใจเขา ข้างกายของเขาก็คงไม่มีใครเหลียวแลอีก
“ไม่เจ็บแล้ว” มือข้างหนึ่งของหานไป่จิ้งกุมมือสั่นเทาของเจียงซูหลันเอาไว้ “เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้า”
คล้ายจะเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่เขาถามสิ่งใด “ข้าภรรยาเป็นสตรีของท่าน จะกลัวและรังเกียจท่านได้อย่างไร”
นางบอกว่าตนเป็นภรรยาของเขา ย่อมไม่กลัวไม่เกลียดเขา แต่คำถามนี้ฟังแล้วกลับสร้างความเจ็บปวดให้กับหานไป่จิ้งยิ่งกว่าร่องรอยแผลเป็นจากกระบี่ที่ทิ้งไว้เต็มร่างกายเสียอีก
ราตรีนี้ก็เหมือนค่ำคืนนั้น ระหว่างหานไป่จิ้งกับเจียงซูหลันไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ละคนนอนหันหลังให้กัน แม้จะนอนร่วมเตียงกันทว่าระยะห่างนั้นกลับกว้างยิ่งนัก