เรือนก้งเยว่
เพราะหลังจากออกจากเรือนเหิงเยว่ของฮูหยินแล้วสีหน้าของนายท่านไม่สู้ดี ห้าวอี้จึงเก็บปากเก็บคำเอาไว้ จะขยับเดินหยิบจับสิ่งใดล้วนไม่กล้า ทำเพียงยืนสูดหายใจลึกๆ รอคำสั่งของนายท่านเท่านั้น
กระทั่งได้ยินอีกฝ่ายผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมาจึงรู้สึกว่าเคราะห์คราวนี้กำลังผ่านพ้น
“เตรียมตัว ไปร้านเหิงเยว่”
ร้านเหิงเยว่ ชื่อเดียวกับเรือนเหิงเยว่ที่พำนักของ เจียงซูหลัน แต่สภาพแตกต่างกันยิ่งนัก ร้านนี้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของเมืองหลวง ค้าขายสมุนไพรให้กับขุนนางและชาวบ้าน บางครั้งบางคราวก็ทำสัญญาซื้อขายกับสำนักแพทย์หลวง หลายปีมานี้กิจการของร้านเหิงเยว่จึงนับว่าเจริญรุ่งเรืองไม่น้อย อีกอย่างร้านนี้ยังกระจายตัวอยู่ทั่วทุกเมืองของแคว้นเว่ย
ทายาทแต่ละสายที่แยกจวนออกไปนั้น ล้วนเพื่อดูแลกิจการร้านสมุนไพรของตระกูลทั้งสิ้น แน่นอนว่าถ้าหากค้าขายสมุนไพรเพียงอย่างเดียวจะทำให้กิจการรุ่งเรืองเฉกเช่นที่เห็นได้อย่างไร
ภายในร้านยังมีการค้าขายความลับ วันวันหนึ่งเงินหลายแสนตำลึงจึงไหลเข้าร้านราวกับสายน้ำหลาก จนตอนนี้คลังเก็บเงินของสกุลหานไม่มีพื้นที่ว่างแล้ว
มาถึงหน้าร้าน แม้ป้ายอักษรจะโดดเด่นและกินพื้นที่กว้างขวาง ทว่าด้านในกลับปรากฏเพียงชั้นเก็บยาสมุนไพร ลูกจ้างในร้านมีเพียงสี่ห้าคนเท่านั้น ส่วนผู้ดูแลร้านก็แต่งกายภูมิฐานไม่ได้โดดเด่นเลยแม้แต่น้อย แต่คนเหล่านี้กลับมีฝีมือไม่ธรรมดา หากไม่เชี่ยวชาญด้านยารักษาโรค ก็เชี่ยวชาญด้านการใช้พิษ หนำซ้ำยังมีวรยุทธ์ติดตัวอีก
เห็นนายท่านหานก้าวเข้ามา แต่ละคนล้วนประสานมือคำนับปากเรียกนายท่าน นายท่านไม่หยุด กระทั่งสัมผัสได้ถึงความเยียบเย็นที่แผ่ออกมาจนทำให้ร้านขายสมุนไพรถูกปกคลุมด้วยความน่ากลัว จึงพากันถอยห่างอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีผู้ใดต้องเคราะห์ร้ายถูกนายท่านเปิดโปงกันแน่
เลยผ่านหน้าร้านเข้ามา จะเป็นเรือนเก็บสมุนไพรหลายหลัง แต่ละเรือนนั้นล้วนมีสมุนไพรแตกต่างกัน พอก้าวเข้ามาในเรือนที่เจ็ดแม้ด้านหน้าจะมีสมุนไพรแต่เดินผ่านทางคับแคบเข้ามากลับเป็นห้องๆ หนึ่ง รอบด้านนั้นเต็มไปด้วยกระบอกไม้ไผ่ยาวเพียงหนึ่งฉื่อเท่านั้น ที่สำคัญมันมีเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
หานไป่จิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วลูบไล้แหวนหยกเลือดบนข้อนิ้วโป้งของตนด้วยท่าทีนิ่งสงบ ชั่วอึดใจจึงเอ่ยออกมาคำหนึ่ง “เจียงซูหลัน”
แน่นอนว่าชื่อนี้ทำให้สีหน้าของห้าวอี้เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนเดินทางมายังร้านเหิงเยว่ ห้าวอี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า คนที่ต้องตกเป็นเหยื่อถูกล้วงความลับทั้งหมดจะเป็นภรรยาเอกของนายท่าน
ถ้าหากคุณหนูสิบห้าตระกูลเจียงรู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงถูกคนเป็นสามีล่วงรู้ทั้งหมดแล้ว ไม่รู้จะโกรธเคืองสักเพียงใด
“ขอรับ” ถึงกระนั้นเมื่อเป็นคำสั่ง ห้าวอี้พลันขยับตัวทีหนึ่ง ก็มาถึงช่องลับขนาดสิบฉื่อ ในนั้นมีกล่องไม้ไผ่ขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏอยู่ เปิดออกมาแล้วก็จะเป็นกระดาษ อักษรบนกระดาษย่อมเปิดเผยตัวตนของคนที่นายท่านต้องการ
หลังจากกวาดตาอ่านรอบหนึ่ง สีหน้าของหานไป่จิ้งไม่ได้ผิดไปจากเดิม นางยังคงเป็นคุณหนูสิบห้าตระกูลเจียงที่สูงศักดิ์ มีความสามารถการประพฤติตัวล้วนเหมาะสม นับตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกระทำเรื่องร้ายแรงใดจนเสื่อมเสียเกียรติตระกูลเจียงเลยสักครั้ง แต่พอนึกถึงท่าทีที่นางแสดงออกในยามพบกันครั้งแรกแล้วหานไป่จิ้งพลันตวัดดวงตาล้ำลึกมองหน้าคนสนิททันที
แม้ผู้เป็นนายจะไม่เอ่ยคำใด ห้าวอี้ก็รู้ว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจียงซูหลันล้วนต้องขุดลงไปอีกร้อยจั้ง ไม่อาจปล่อยให้พลาดสายตาไปแม้แต่นิดเดียว
จัดการกับภรรยาเอกของตนเรียบร้อย หากไม่หยิบรายงานอีกฉบับหนึ่งมาเปิดอ่านก็คงเป็นไปไม่ได้
เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้ามุมปากของหานไป่จิ้งพลันโค้งสูง “เป็นฝีมือของคนผู้นั้นสินะ”
“ให้ลงมือเลยหรือไม่”
“ปล่อยให้ตายไปง่ายๆ คงผิดต่อรอยแผลบนหัวไหล่ของข้ายิ่งนัก”
“ถ้าเช่นนั้น”
“การเห็นคนผู้หนึ่งทุกข์ทรมาน ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างปกติ เจ้าว่าไม่ดีหรือ”
ขณะประสานมือรับคำสั่ง ในหัวของห้าวอี้อดนึกเวทนาสงสารคนผู้นั้นไม่ได้ ดูเหมือนชะตาชีวิตของสกุลซุนจะต้องเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมือเสียแล้ว อีกอย่างการที่สกุลหานจะกำจัดตระกูลๆ หนึ่งออกจากเมืองหลวง นับๆ ดูแล้วมีจำนวนไม่น้อยเลย ที่ง่ายดายเช่นนี้เป็นเพราะสกุลหานไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในราชวงศ์
นี่คือกฎที่บรรพชนสกุลหานตั้งเอาไว้
กฎเช่นนี้มิเพียงปกป้องคนในสกุล แต่ยังสามารถทำให้ราชวงศ์ยื่นมือมาช่วยเหลือในทุกเมื่ออีกด้วย
จะไม่ให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อบางครั้งราชวงศ์ก็ต้องการกำจัดเสี้ยนหนามโดยไม่ต้องลงมือเองให้เสียเกียรติ
การมองดูผู้อยู่ต่ำกว่ากำจัดกันเองนั้น นับว่าไม่เปลืองแรง แถมยังได้ผลประโยชน์อีกด้วย
เพราะเป็นเช่นนี้ หลายสิบปีที่ผ่านมาจึงมีคนลอบสังหารนายท่านไม่น้อย หนำซ้ำยังลงมือกับหัวหน้าสาขาอื่นทั่วทั้งแคว้นอีกด้วย โชคดีที่ต่อให้คนพวกนั้นมีฝีมือแค่ไหนก็ไม่อาจโค่นล้มสกุลหานลงได้
ขลุกอยู่ร้านสมุนไพรเหิงเยว่ทั้งวัน ยามซวีสองเค่อ หานไป่จิ้งจึงกลับมาถึงเรือนก้งเยว่ แต่แทนที่จะพักผ่อนเฉกเช่นหลายวันที่ผ่านมา วันนี้กลับเดินไปยังด้านหลังของเรือน สถานที่แห่งนี้มีป่าไผ่สูงชันหนาทึบจนสามารถแบ่งส่วนของเรือนหลักกลับเรือนหลังได้อย่างง่ายดาย ผ่านป่าไผ่หนาทึบเข้ามาแล้วก็จะได้กลิ่นดอกเหมยกุยส่งความหอมอบอวลไปทั่ว ทว่าพ้นจากแปลงเหมยกุยไปแล้วกลับมีแปลงสมุนไพรเป็นจำนวนไม่น้อย
สมุนไพรเหล่านี้ทั้งมีพิษและไร้พิษ ผ่านการเคี่ยวปรุงหลายชั่วยามก็จะได้ทั้งยารักษาโรคและยาผลาญพร่าชีวิตคน
ถ้าหากจิตใจไม่สงบ หานไป่จิ้งมักมาขลุกอยู่ในเรือนสมุนไพร ปรุงยาพิษชนิดใหม่ จนตอนนี้มียาพิษเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ละชนิดล้วนสามารถทำให้ผู้อื่นสิ้นลมในเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา
ทันทีที่คุณชายนั่งลงตรงหน้าเตา ห้าวอี้ก็หยิบกล่องไม้เข้ามา ในนั้นมีตะขาบอยู่เจ็ดตัว
“ตะขาบจากชายแดนเหนือส่งมาแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปนำคางคกมาเถิด” สั่งแล้วก็มองตะขาบทั้งเจ็ดตัวด้วยแววตาล้ำลึกขึ้น “พักนี้ข้าปล่อยให้ลี่อี๋เหนียงสบายเกินไป เรียกนางมาดูข้าปรุงยาพิษก็นับว่าเป็นความกตัญญูที่ข้าสมควรมีต่อนาง”
ไม่รู้ว่าชาติก่อนลี่อี๋เหนียงผู้นี้ไปกระทำความผิดใหญ่หลวงใดมา ชาตินี้จึงต้องมาพบกับลูกเลี้ยงที่รังเกียจนางยิ่งนัก จะกตัญญูต่อแม่เลี้ยงสักนิดก็หามีไม่ ที่ลี่อี๋เหนียงสามารถอยู่ในจวนสกุลหานแห่งนี้ได้ล้วนเป็นความเมตตาของนายท่านทั้งสิ้น
หานไป่จิ้งเพิ่งถลกหนังคางคกตัวหนึ่งเสร็จ ลี่จินหรือ ลี่อี๋เหนียง อนุภรรยาของนายท่านหานเต๋อก็เดินเข้ามาในเรือนโดยไม่มีสาวใช้ติดตาม ที่เป็นเช่นนี้เพราะนางไม่อยากให้สาวใช้เห็นภาพน่าขายหน้าของตน อุตส่าห์วางแผนไว้อย่างดีว่าจะได้เป็นนายหญิงแห่งสกุลหาน มีอำนาจเด็ดขาดในมือมากมาย ทรัพย์สมบัติเงินทองก็มีให้ใช้ไม่ขาด ทว่าหลังจากสามีกับฮูหยินใหญ่ตายจากไป ฐานะของนางในสกุลหานกลับตกต่ำกว่าพ่อบ้านผู้หนึ่งเสียอีก
แม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ ในเมื่อในชีวิตของนางล้วนต้องอาศัยบุตรชายผู้นี้จึงจะมีชีวิตรอด
“จิ้งเอ๋อ”
หลุดปากเรียกออกมาแล้วกลับต้องรีบเปลี่ยนคำในทันที “นายท่านหาน”
หานไป่จิ้งไม่พูดอะไร ทำเพียงถลกหนังคางคกตัวต่อไปอย่างเชื่องช้า แถมยังลูบไล้ตุ่มหนังหยาบสากอีกด้วย
“ลี่อี๋เหนียง เจ้าว่าคางคกพวกนี้เป็นอย่างไร น่ารักน่าทะนุถนอมหรือไม่”
ลี่จินรู้สึกถึงความน่าสะอิดสะเอียนจนต้องเบือนหน้าหนี หากยังจับจ้องอยู่ต่อไปคงได้อาเจียนออกมาเป็นแน่ สุดท้ายจึงรีบกัดฟันอย่างรู้ดีว่าต้องรับมือกับคนผู้นี้ยังไง “นายท่านหาน มีสิ่งใดท่านรีบสั่งการมาเถิด ข้าจะจัดการทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ”
“ลี่อี๋เหนียงช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก” กัดฟันชมแล้วก็ทอดสายตามองตะขาบที่อยู่ในกล่อง “ฮูหยินของข้าเข้าจวนมาเป็นเวลาไม่น้อยแล้ว เจ้าไปทักทายนางในฐานะแม่สามีสักหน่อยเถิด”
“นายท่านหานต้องการให้ข้า...”
“ลี่อี๋เหนียง หากจัดการไม่ดี ในวันรุ่งขึ้นเห็นทีเจ้าคงต้องกินน้ำแกงคางคกเป็นแน่”
“ข้าทราบแล้ว นายท่านวางใจเถิด”
ลี่จินรีบยอบกายคำนับ แต่ยังไม่ทันได้ถอยออกไป ห้าวอี้ก็มอบขวดหยกสีครามให้ เห็นขวดนี้แล้วจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ยาแก้พิษนั่นสามารถทำให้ท่านมีชีวิตอย่างสงบไปอีกสามเดือน ถือว่าเป็นน้ำใจตอบแทนเล็กน้อยที่ข้ามอบให้”
“ขอบคุณนายท่าน”
ลี่จินฝืนใจตอบรับ หากไม่เพราะห้าปีก่อนนางถูกคุณชายตระกูลหานผู้นี้วางยาพิษละก็ นางคงไม่ต้องสูญเสียฐานะและศักดิ์ศรีจนถึงขั้นต้องมาทำงานรับใช้คนผู้นี้ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงนั้น หานไป่จิ้งสมควรต้องคารวะนางเช้าเย็นต่างหาก ทว่าในเมื่อนางไม่มีสามีให้พึ่งพิง นี่จึงเป็นทางเดียวที่สามารถมีชีวิตอยู่ในฐานะอี๋เหนียงของนายท่านหานเต๋อได้ หากไม่เช่นนั้นคนผู้นี้ต้องหาเรื่องเฉดหัวนางออกจากสกุลหาน อาจโชคร้ายถึงขั้นถูกขายไปยังซ่องประจำชายแดน
ไม่รู้ว่าชาตินี้ จะมีโอกาสเห็นคนผู้นี้ทุกข์ทรมานใจจนอยากตายบ้างหรือไม่ หากมีโอกาสละก็คงทำให้นางสามารถตายตาหลับ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
พอนึกถึงสภาพร่างกายของตนในยามยาพิษกำเริบ ลี่จินก็ถึงกับกำมือทั้งสองข้างแน่น ปลายเล็บแหลมคมทิ่มแทงเข้าเนื้อ และสิ่งที่ตามมาก็คือแขนทั้งสองข้างพุพองแสบร้อนจนต้องเทยาจากขวดหยกลงคอ หากปล่อยให้ลุกลามถึงกลางอกละก็ ต่อให้ยารักษาที่หานไป่จิ้งมอบให้มีสรรพคุณดีแค่ไหนก็คงไม่อาจยื้อชีวิตของนางเอาไว้ได้