‘ให้ฉันแต่งงานกับเด็กที่อายุห่างกันหนึ่งรอบแบบนี้ ฉันจะไม่โดนตราหน้าว่าควายแก่กินหญ้าอ่อนเหรอวะ!’
คีรินทร์คิดในใจเมื่อได้เผชิญหน้ากับเจ้าสาวที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบาทหลวงด้วยกัน ใบหน้าสวยสดงดงามแลดูอ่อนเยาว์กว่าที่เขาคาดเอาไว้ในทีแรก ถ้าหากเธอไม่แต่งหน้าเขาคงนึกว่าเธออายุเพียงแค่เลขสิบปลายๆ เท่านั้นเอง ทั้งนี้ก็เพราะผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นคอเสื้อนั้นเนียนละเอียดราวกับผิวเด็กน้อยบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับเจ้าสาวที่ตอนนี้ทอดมองเขาด้วยแววตาประหลาดใจนิดๆ
‘นี่เหรอหลานชายของคุณปู่ ไหนว่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเราไง แต่หน้าตาและบุคลิกดูโตกว่าที่คิดแฮะ’
ดาวเรืองคิดในใจอยู่เงียบๆ เมื่อเจ้าบ่าวที่คาดว่าน่าจะเป็นเด็กหนุ่มตัวน้อยๆ หน้าใสๆ ตรงข้ามกับสิ่งที่เธอคิดไว้อย่างสิ้นเชิง แต่ทว่าเจ้าบ่าวตรงหน้านั้นกลับโดนใจเธอเข้าอย่างจัง เพราะไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาที่ดูดีแล้วยังแลดูภูมิฐาน อบอุ่นอีกด้วย
‘ผู้ชายแบบนี้หรือเปล่าที่อยู่ในอุดมคติของสาวๆ ค่อนโลก’
“นายคีรินทร์ คุณพร้อมจะรับนางสาวดาวเรืองเป็นภรรยา และสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเธอทั้งในยามสุข และยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติเธอจนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่”
“รับและสัญญาครับ”
เสียงทุ้มพยักหน้าตอบรับหลังจากที่สิ้นคำถามของบาทหลวง แต่เจ้าสาวแสนสวยตรงหน้ากลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
‘เจ้าบ่าวเราชื่อคีรินทร์หรอกเหรอ สงสัยเราจะตื่นเต้นจนจำชื่อเจ้าบ่าวผิดไป’
“นางสาวดาวเรือง คุณพร้อมจะรับนายคีรินทร์เป็นสามี และสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งในยามสุข และยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติเขาจนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่”
“รับและสัญญาค่ะ”
สิ้นคำตอบรับของเจ้าสาวก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีให้คำหมั้นสัญญา ต่อจากนั้นก็เป็นการสวมแหวน และพิธีอื่นอีกเล็กน้อย ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้นลง และตามมาด้วยการเฉลิมฉลองเป็นลำดับต่อไป
………………………………………………..
หลังจากที่ทุกคนกลับมาอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตา เจ้าสัวเด่นชัยได้มอบเรือนปีกซ้ายให้กับลูกชายคนเล็กอย่างเป็นทางการ พร้อมกับให้เด็กรับใช้นำข้าวของย้ายไปไว้ให้กับลูกชายคนเล็ก เพื่อที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับเจ้าสาวป้ายแดงที่นั่น
“ดาวเรืองหลานรัก ปู่มีความจริงจะบอก”
“ความจริงอะไรคะคุณปู่”
ดาวเรืองเอียคอถาม ขณะที่คุกเข่าลงตรงหน้าชายชราผู้แสนจะอบอุ่นไม่ต่างจากปู้แท้ๆ ของเธอ ใบหน้างดงามตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เมื่ออีกฝ่ายทำตามสัญญาที่ได้ให้กับคุณปู่ของเธอก่อนที่ท่านจะจากไปจริงๆ ทว่าประโยคต่อมาของท่านก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้างดงามหุบลงทันที
“ความจริงก็คือ…คนที่หนูแต่งงานด้วยวันนี้ไม่ใช่ภวิตหลานชายของปู่ หากแต่เป็นคีรินทร์อาของภวิตและเป็นลูกชายคนเล็กของปู่เอง”
“หมายความว่าไงคะ”
น้ำเสียงที่อ่อนหวานเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างน่าใจหาย เช่นเดียวกับดวงตาคู่สวยที่ทอดมองชายชราตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง แต่ถึงกระนั้นเจ้าสัวเด่นชายก็เลือกที่จะพูดความจริงโดยไม่คิดที่จะปิดบัง
“ตั้งแต่นี้ต่อไป หนูจะต้องเรียกปู่ว่าพ่อ เข้าใจใช่ไหมดาวเรือง”
“ไม่จริง! ทำไมเรื่องถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ ทุกคนกำลังหลอกหนูอยู่เหรอคะ”
ดาวเรืองรู้สึกเหมือนกำลังถูกหักหลังจากคนที่เธอไว้ใจมากที่สุด เธอกวาดสายตามองผู้ใหญ่แต่ละคนที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย และคีรินทร์ก็เลือกที่จะพูดกับเธอตรงๆ เช่นกัน
“ไม่…เราทุกคนไม่ได้อยากจะให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะ เพียงแต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ”
“สุดวิสัยยังไงคะ? ใครก็ได้ช่วยอธิบายให้หนูเข้าใจทีว่าหนูทำผิดอะไร ทำไมทุกคนถึงใจร้ายหลอกหนูได้อย่างแนบเนียน ทั้งที่หนูรักและเชื่อใจทุกคนมาก”
“หนูไม่ได้ผิดอะไร และเราก็ไม่ได้หลอกหนู”
เจ้าสัวเด่นชัยที่ทราบอยู่แล้วว่าเรื่องราวจะต้องกลายเป็นแบบนี้ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอาทรไม่เปลี่ยน ทว่าหญิงสาวกลับไม่สนใจที่จะรักษามารยาทอีกต่อไป
“ถ้าไม่หลอกแล้วไหนละคะ ภวิตเจ้าบ่าวที่ควรจะยืนเคียงข้างหนูวันนี้ เขาไปไหนแล้วละคะ ทำไมต้องปล่อยให้หนูแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่เขา”
“หยุดพร่ำหาไอ้วิตมันได้แล้ว มันทิ้งเธอเพื่อหนีงานแต่ง แค่นี้ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือไง”
วินาทีนี้คีรินทร์ไม่แม้แต่อยากได้ยินชื่อของหลายชายตัวปัญหา เพราะถ้าหากอีกฝ่ายไม่หนีงานแต่งเขาก็ไม่ต้องมารับหน้าที่เจ้าบ่าวจำเป็นในวันนี้แทนหลานชาย และเขาก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าปัญหาที่จะตามมาหลังจากนี้คืออะไร โดยเฉพาะการพูดคุยและปรับความเข้าใจกับคนรักสาวที่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะยังไม่ทราบข่าวอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
“แล้วทำไมไม่มีใครบอกความจริงกับหนูตั้งแต่แรกละคะ ปล่อยให้หนูเข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าบ่าวจอมปลอมได้ยังไง หรือเพราะเห็นว่าหนูเป็นแค่เด็กบ้านนอกและกำพร้าพ่อแม่ จะทำอะไรยังไงกับหนูก็ได้อย่างงั้นเหรอคะ”
น้ำตาเจ้ากรรมร่วงหล่นออกมาจากดวงตาคู่สวยอย่างสุดจะกลั้น ขณะที่ร้องเรียกถามหาความยุติธรรม เธอจะกลับไปแก้ไขอะไรได้ในเมื่อได้เจ้าพิธีอย่างถูกต้องและจดทะเบียนสมรสตีตรากับเจ้าบ่าวจอมปลอมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ไม่มีใครเขาคิดแบบนั้นหรอกนะ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเราแค่ต้องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็เท่านั้นเอง”
คีรินทร์บอกกับคนที่กำลังร้อนเป็นไฟ เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็อยู่ในความเงียบไม่มีข้อแก้ตัวใดใดกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเขาก็หวังว่าเธอจะเข้าใจ เพราะไม่มีใครตั้งใจที่จะหลอกเธอเช่นกัน
…………………………………………..
“จะทำอะไร”
คีรินทร์ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อตามเจ้าสาวป้ายแดงเข้ามาในห้องหอแล้ว พบว่าเธอกำลังกวาดข้าวของในตู้ยัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ลวกๆ ไม่สนใจที่จะพับเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบดีๆ
“เก็บของค่ะ ฉันไม่อยากอยู่กับคนหลอกลวง”
ดาวเรืองพูดขณะที่มือยังคงสละวนอยู่กับการเก็บข้าวของ เธอไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเจ้าบ่าวที่เธอเคยแอบชื่นชมว่าเขาหล่อนักหล่อหนาในใจเมื่อตอนเข้าพิธีด้วยกัน
“ใจเย็นๆ หน่อยได้ไหม นี่มันคืนเข้าหอของเรานะ”
“คืนเข้าหอของเราอย่างนั้นเหรอ? ยังจะกล้าพูดแบบนี้อีก ถามจริงๆ เถอะ ไอ้ที่ทำลงไปไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือไงที่แต่งงานกับเจ้าสาวของหลานตัวเองทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ควร”
ดาวเรืองหันขวับมาต่อว่าชายหนุ่มอย่างเหลืออด ดวงตาคู่สวยจ้องมองเข้าอย่างแข็งกร้าว ใบหน้าที่เลาะไปด้วยคราบน้ำตาเมื่อครู่เหือดแห้งสนิท ไม่หลงเหลือความอ่อนแอให้เขาได้เห็นอีก
“แล้วคิดว่าผมอยากจะแต่งงานกับคุณมากนักหรือไง ถ้าสถานการณ์ไม่บีบบังคับผมก็ไม่มีวันทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้หรอก”
“เป็นความผิดของฉันงั้นสิ ที่จู่ๆ ก็มาป่วนชีวิตทุกคน จะบอกอะไรให้อย่างนะถ้าคุณปู่ของฉันไม่ขอร้องเอาไว้ก่อนที่ท่านเสียแล้วละก็ ฉันก็จะไม่เข้ามาเหยียบตระกูลของคุณเหมือนกันนั่นแหละ!”
“หยุดโวยวายสักทีเถอะ! ไหนๆ เราก็แต่งงานกันแล้ว กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วเข้าใจไหม”
“ไม่เข้าใจ และไม่มีวันเข้าใจด้วย”
ดาวเรืองตวาดใส่ใบหน้าหล่อเหลาเสียงดังลั่น อยากจะฝากรอยเล็บไว้บนใบหน้าหล่อๆ สักแผลสองแผลจะได้หายเจ็บใจกับสิ่งที่เขาได้หลอกลวงเธอ แต่ก็ทำไม่ได้เลยได้แต่หันหลับมายัดข้าวของใส่กระเป๋าแรงๆ เป็นการระบายอารมณ์
“เด็กบ้า! อารมณ์ร้ายชะมัด!”
คีรินทร์สบถออกมาอย่างหัวเสียเช่นกัน เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครตวาดใส่หน้าเขาแบบนี้มาก่อน ชายหนุ่มทั้งโกรธทั้งโมโหอยากจะจับเด็กดื้อมาตีก้นสักทีสองทีแต่สิ่งที่ทำให้คือข่มอารมณ์ให้เย็นแล้วก้าวอาดๆตรงไปยังห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำชำระร่างกายให้อารมณ์เย็นลง
ทางด้านดาวเรืองนั้นเมื่อเห็นว่าเจ้าบ่าวไม่ได้มีท่าทีว่าจะห้ามปรามเธอ แถมยังเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำก็รู้สึกว่าตัวเองทางสะดวก มือเล็กรีบจัดการปิดซิบประเป๋า เพราะความโกรธเลยไม่มีแม้แต่อารมณ์เปลี่ยนชุดเจ้าสาวให้เป็นชุดธรรมดาเสียก่อน
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องหอทั้งชุดเจ้าสาว พร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตามมาด้วย แต่ทันทีที่เปิดประตูออกก็ต้องชะงักนิ่งเมื่อเห็นว่าหน้าห้องมีชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่าห้าคน ในชุดสูทสุดเนี๊ยบสีดำยืนอยู่ตรงประตู ราวกับยมบาลเฝ้าประตูนรกไม่ให้ใครหนีออกจากขุมนรกนี้ไปได้
‘โห วางการ์ดไว้เยอะขนาดนี้จะหนีรอดไปได้ยังไงเนี่ย!’
หญิงสาวเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง เพิ่งจะเข้าใจก็ตอนนี้เองว่าทำไมเจ้าบ่าวของเธอถึงไม่ห้ามปราม ที่แท้ก็จ้างคนมาเฝ้าหน้าห้องไม่ให้หนีไปได้นี่เอง
‘แต่ละคนร่างอย่างกับยักษ์ ถ้าเราพุงชนมีแต่จะเป็นฝ่ายเสียกับเสีย ถอยก่อนดีกว่า’
เมื่อคิดได้ดังนั้น คนฉลาดอย่างเธอก็จำใจปิดประตูห้องนอนเสียงดังปัง! แล้วก็ต้องหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องตามเดิม