5 - น้องทิมเบอร์แลนด์ของเราสองคน
ที่บ้านทิมเบอร์
ผมชวนไอซ์แลนด์มาที่บ้านของผม ผมเป็นคนหนึ่งชอบพามากินของอร่อยที่พี่ชบาของผมชอบทำให้ตัวเองและแขกได้ลองชิมเสมอ พี่ผมเป็นคนชอบทำอาหารและประดิษฐ์เมนูใหม่ ผมอยากให้ไอซ์แลนด์ช่วยให้ความมั่นใจกับผมว่าจะร่วมมือกับผมและพี่ชบาในการรื้อฟื้นความทรงจำของพี่บอนไซ ไหนจะความจริงที่ผมรู้แต่ไม่สามารถบอกใครตอนนี้ได้
“ชอบไหม อยากให้เราป้อนไหม”
“กูไปเป็นแฟนมึงตอนไหนวะ”
ไอซ์แลนด์ได้ยินแล้วแอบขนลุกไม่น้อยเพราะอยู่ ๆ เพื่อนผมจะมาเคลมว่าผมเป็นแฟนกับเขาได้ยังไง ถึงขนาดให้ป้อนข้าวเป็นการแสดงความรัก ผมไม่ได้เป็นเจ้าของหัวใจของทิมเบอร์สักหน่อย ไม่ต้องมาใจเกเรกับผมหรอก ผมไม่ได้ชอบแบบนี้สักหน่อย
“ชอบไหมล่ะ”
“ถ้าผัดไทยกุ้งสดกูชอบมากเลย เราสองคนไม่ชอบถั่วงอกถือว่าทำการบ้านมาดี” ผมถือว่าทิมเบอร์รู้ใจผมและผมรู้ว่าคนอย่างมันหลอกล่อด้วยอาหารตรงหน้าเพื่อขอให้ผมร่วมมือในแผนการนี้ แผนการฟื้นความทรงจำของคนที่เรารู้จักเป็นอย่างดีแล้วยังจะรับบทเป็นมิจฉาชีพทั้งกลุ่ม มันใช่ได้เหรอแบบนี้ ผมไม่มีทางเลือกก็ต้องทำตามแบบนี้ต่อไปแบบไม่มีทางเลือก
“กูรู้นะว่ามึงกับพี่ชบารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
มันรู้แต่คงไม่ยอมบอกผมง่าย ๆ หรอก รอจนกว่าผมจะรู้พร้อมทุกคนเองถ้าแบบนี้ผมไม่มีข้อมูลแล้วผมจะไปจัดการอะไรได้ เขาบอกผมว่าให้ทำเหมือนกับทำความรู้จักกับพี่บอนไซใหม่ ส่วนผมก็จะเข้าไปบอกว่าผมเป็นคนรู้จักของพี่บอนไซและพี่เมธัส ทุกอย่างทำเหมือนเราเข้าไปหลอกเขาทั้งที่ความเป็นจริง พวกเราคือกุญแจไขความจริง เมื่อความทรงจำของพวกเขากลับมาเมื่อไหร่ ทุกอย่างจะเดินทางมาพร้อมกับความจริงเอง
“แต่กูยังไม่บอกมึงตอนนี้หรอก เอาตัวมึงมาแลกก่อนดิ”
“กูไม่ได้คิดกับมึงมากกว่าเพื่อนนะ ไหนบอกมาสิว่าเรื่องนี้มันยังไง” ทิมเบอร์ชี้ไปหาพี่ชบาในขณะที่เธอกำลังดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นสบายใจเฉิบ เธอมีเรื่องร้อนใจคาอยู่ไม่ไปไหนแต่อยากทำให้สบายใจตอนนี้ก่อนจะกลับไปชดใช้ทุกอย่างเป็นการล้างความผิดที่เคยทำไว้
“มึงพูดงี้หมายความว่าไง”
“มึงได้ยินไม่ผิดหรอก มันบังเอิญมากยิ่งกว่าในละครไทยเสียอีก” ผมบอกความจริงและแจ้งแผนการไว้ก่อนว่าหลังจากนี้พวกเราสามคนต้องทำอะไรบ้างเพราะถ้าอยากให้สมจริงต้องห้ามทำอะไรให้ทุกคนสงสัย ไม่งั้นทุกอย่างจบลงและพวกเขาอาจจะรู้ตัวก่อนก็ได้
“ไม่อยากเชื่อเลยว่ะ”
ไอซ์แลนด์ได้ยินความจริงแล้ว ผมไม่อยากเชื่อเลยมันบังเอิญยิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ผมก็พร้อมจัดการช่วยทิมเบอร์อีกแรงแล้วกัน เผื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ผมอยากให้พี่บอนไซกลับมาเป็นปกติ อายุแค่นี้จะไปก่อนวัยอันควร มันไม่ใช่เรื่องที่อยากให้เป็นไปได้
“แต่ว่าเรื่องนี้ยังไม่หมดนะ”
“มึงจะดึงใครเข้ามาร่วมมืออีก กูว่ามึงนี่ยิ่งกว่ามิจฉาชีพหรือแก๊งคอลเซนเตอร์อีก” ผมเห็นทิมเบอร์หยิบโทรศัพท์เตรียมต่อสายไปหาใครบางคน ผมคิดว่าเขาอาจจะมีคนรู้จักหยิบเขาเข้ามาอยู่ในแผนการอีกคน เขาบอกว่าผู้ชายคนนี้อาจช่วยอะไรได้บ้าง ตอนแรกผมคิดว่าเขาเป็นหมอ ไม่ใช่เลยเขาเป็นนักดนตรีเล่นไวโอลิน ว่าแต่จะเรียกเขามาทำไมล่ะ ไม่ใช่หมอจะรักษาอะไรได้
“มึงลืมพี่เขาไปได้ยังไง”
“เออว่ะ”
คนที่ทิมเบอร์ติดต่อหาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ผมรู้จักระดับหนึ่งเพราะทิมเบอร์ไปเรียนดนตรีกับพี่แพลงตอนเสมอ ไม่แปลกที่เขาจะสนิทกันแต่ว่าต้องคุยกันส่วนตัวและให้พี่เขามาช่วยเรื่องนี้ด้วยเหรอ มันไม่มีการรบกวนเขามากไปเหรอ
“มึงไม่ไปรบกวนเขามากไปเหรอ”
“พี่แพลงตอนบอกเองว่าถ้ามีปัญหาอะไรโทรหาได้เสมอ แต่กูคิดว่าพี่เขาพอจะช่วยได้ มึงรู้จักดนตรีบำบัดไหม”
“มึงจะเอาแบบนั้นเหรอ”
ผมไม่คิดว่าทิมเบอร์จะจ้างพี่แพลงตอนมาช่วยดนตรีบำบัด ผมไม่รู้ว่าการทำแบบนี้จะช่วยทำให้สมองถูกจดจำด้วยเสียงดนตรีจากไวโอลิน ฟื้นความทรงจำกลับมาได้หรือไม่ ฟังดูอาจเป็นไปได้แต่ไวโอลินจะช่วยอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ผมยังอธิบายอะไรไม่ได้มาก
“งั้นมึงเอารูปนี้ไปดูก่อนถามกูล่ะ”
ทิมเบอร์หยิบรูปใบหนึ่งให้ผมบอกเลยว่าผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่บอนไซจะชอบเล่นไวโอลินมาก ในรูปเขาถืออยู่ในชุดนักศึกษาพร้อมกับของชิ้นนี้คู่ใจพาดไหล่เป็นการเล่นเมื่อเขาถือคันชัก เมื่อกดถ่ายภาพมันค้างอยู่ในท่านั้น สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมทิมเบอร์ต้องติดต่อพี่แพลงตอนเข้ามาช่วยในเรื่องนี้
“มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
หลายวันผ่านไป
พ่อแม่ของบอนไซมารับเขาออกไปจากโรงพยาบาล มันเป็นเวลาเดียวกับแฟนต้า คนที่พวกเราสองคนเคยเจอกันวันก่อนที่โรงพยาบาล เราสองคนไปถามมาแล้วพบว่าเด็กคนนั้นเหมือนรู้เรื่องและรู้จักกับพวกเราสองคนและเพื่อนของแฟนต้า แสดงว่าเด็กคนนั้นต้องรู้อะไรบางอย่างแล้วไม่ยอมบอกพวกเราถึงปล่อยให้เล่นปริศนากันเอง
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องแบบนี้เป็นยังไง ผมไปถามเพื่อนผมและคนรู้จักแล้วไม่มีใครบอกได้ว่าน้องทิมเบอร์เกี่ยวข้องกับเพื่อนผม”
“นี่น้องเขาเป็นมิจฉาชีพมาบอกพวกเราเหรอ”
คิวบิกแปลกใจว่าถ้าเด็กคนนั้นรู้จักกับบอนไซ แต่ไปถามใครแล้วไม่มีใครรู้จัก มีความเป็นไปได้เหรอที่จะสนิทกับลูกชายของผม จะแอบอ้างว่ารู้จักแล้วมาหลอกปล้นทรัพย์ ผมยังตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ได้ หากไม่มีอะไรผมไปแจ้งจับฟรี ผมโดนจับข้อหาแจ้งความเท็จและเด็กคนนั้นอาจเล่นงานพวกเราได้
“ผมไม่แน่ใจครับ แต่ผมรู้สึกไม่ไว้ใจ”
“ถ้าอย่างนั้นบอนไซเขาบอกอะไรบ้างล่ะครับ”
“เขาบอกว่าทิมเบอร์คือคนในชีวิตที่รู้จักเหมือนกับแฟนของผม” คิวบิกบอกตามที่แฟนต้าถามขึ้น ลูกชายผมก่อนออกมาเขาบอกว่าน้องทิมเบอร์คือเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จัก แต่เขาจำไม่ค่อยได้ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนจริงหรือเป็นเรื่องจริง ความจำยังไม่กลับมาเต็มที่ ฤทธิ์ยายังเมามายอยู่ ผมว่าอย่าพึ่งถามอะไรมาก แต่เหมือนแฟนต้ากำลังจะบอกอะไรบางอย่าง
“เขาบอกเหมือนลูกชายคุณเลยครับ” ผมเหมือนว่าบอนไซเขาถอดสมองและเลียนแบบจากระยะไกลเพราะเขาพูดกับที่ผมได้ยินเกือบทุกคำเหมือนกันได้แล้ว ผมคิดว่าบอนไซกับเมธัสเพื่อนผมเป็นคนของใจมาก่อน
“มันแปลกมากเลยนะ”
“แล้วคุณพ่อได้ยินอะไรจากปากน้องคนนั้นบ้างครับ” ผมรู้ว่าพ่อแม่ของเขารู้ว่าบอนไซคบกับเพื่อนของผม แต่ไม่รู้ว่าทิมเบอร์รู้จักกันทั้งสองฝ่าย ต่างคนต่างไม่รู้เรื่องนี้ พอมาเจอกันราวกับคนถูกหลอกต้มจนเปื่อย ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าถูกหลอกจริงหรือไม่ รอดูสถานการณ์ต่อไปก่อนแล้วจะรู้เองว่ามันเป็นแบบไหน
“เอางี้ไหมแฟนต้า พ่อพอจะหาวิธีหนึ่งที่ทำให้เรารู้ความจริง...”
“พ่อจะให้เมธัสเพื่อนผมไปไหนครับ”
“ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันกับพวกเราสิ แล้วความจริงจะบอกทุกอย่างเอง” ผมและริต้ามารู้ทีหลังว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกัน แล้วถ้าพวกเขามีความทรงจำร่วมกันก็ย้ายเข้ามาอยู่พร้อมต้อนรับ อย่างน้อยผมจะได้เห็นน้องทิมเบอร์มาที่นี่ไม่ต้องวิ่งไปมาหลายเที่ยว ผมจะได้จับโป๊ะว่าพวกเขาคิดจะหลอกอะไรพวกเรา หลอกมาหลอกกลับไม่โกงอยู่แล้ว
“ได้สิครับ พร้อมเมื่อไหร่โทรหาผมได้เสมอนะครับ”