EP4 - ยิ่งกว่าละครน้ำเน่า

1734 คำ
4 - ยิ่งกว่าละครน้ำเน่า ก่อนหน้านั้น “แก... ฟื้นแล้วเหรอ” ผมเห็นเมธัสนอนอยู่บนเตียง รู้สึกตัวได้พักหนึ่งแล้ว เขานั่งเหงามองหน้าต่าง ผมไม่รู้ว่าเขาหวาดกลัวอะไรไหม เวลามาอยู่โรงพยาบาล ถูกจำกัดการใช้ชีวิตเมื่ออาการป่วยเป็นอุปสรรคขัดขวางทุกอย่างในชีวิต ผมกลัวว่าเขาจะเหงา วันนี้ผมขอมาอยู่เป็นเพื่อนเขาสักหน่อย อยู่สักพักหนึ่งจะได้ทำให้เขาอุ่นใจมากกว่านี้ “สักพักแล้วล่ะ ว่าแต่นายมายังไงอะ” ผมเรีกยชื่อแฟนต้าได้อยู่ ผมอาจเสียความทรงจำบางส่วนไป แต่ว่าแฟนต้าเขาคือใคร เป็นเพื่อนผมงั้นเหรอ ผมเบลอยาหรือเป็นอะไร ทำไมผมถึงพูดอะไรวกวนไปมา จำได้แต่ก็จำไม่ได้ นี่มันอาการของคนเป็นอัลไซเมอร์แล้ว ผมมึนหัวและยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเกิดอาการเช่นนั้น ผมขอทบทวนและไม่คิดมาก อยากทำอะไรสบายใจมากกว่านั่งคิดอะไรหนักใจ “ขี่รถคู่ใจมาหาไง” ผมมาหาเมธัสด้วยรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจ รักเหมือนลูกชายคนหนึ่งเลยก็ว่าได้แต่มันเป็นรถมอเตอร์ไซค์ เป็นสิ่งของไม่มีชีวิตมนุษย์สร้างขึ้น แต่มีคุณค่าทางจิตใจ ระหว่างที่ผมกำลังหยิบของในถุงหิ้ว ผมมองไปที่โต๊ะพบว่ามีของในถุงพลาสติกสีเขียว ผมมองดูมีขวดรังนกและขนมมากมาย ดูแล้วมีแต่ของที่เมธัสชอบทานทั้งนั้น ก่อนอื่นใครเอามาให้เพราะเมธัสมีเพื่อนสนิทที่สุดคือผม ถ้าคนอื่นยังไม่รู้เรื่องเลยแล้วใครเอามาให้ ในความสงสัยแรกผมยังไม่หมดไป ผมเห็นรองเท้าผ้าใบสีดำข้างหนึ่งวางไว้ตรงผนังห้อง ผมหยิบมาดูพบว่ามันยังอยู่ที่เดิม ไม่มีใครมาเก็บมันไป เจ้าของรองเท้าคู่นี้เป็นของใครกันแน่ ถึงไม่ยอมมาเอาไปสักที ดูแล้วของราคาแพงเลยว่าได้ ผมเสียดายและต้องตามหาอีกข้าง คนเราไม่มีใครบ้าจิตวิปริตใส่รองเท้าข้างเดียวหรอก ยังไงผมจะตามหาเจ้าของให้เจอเอง “เมธัส นายจำได้ไหมว่าใครเข้ามานายนอกจากเรา” ผมว่าไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวแล้วล่ะที่เข้ามาเยี่ยมเมธัสเพื่อนรัก อาจจะมีคนแปลกหน้าคนอื่นที่รู้จักเขาเข้ามาเยี่ยมและลืมมันไว้ก็ได้ “เขาเป็นใครน่ะ” กลับมาปัจจุบัน “ผมชื่อแฟนต้านะครับเป็นเพื่อนของเมธัส” “เมธัสเหรอ” “พวกคุณรู้จักด้วยเหรอครับ” แฟนต้าแปลกใจมากไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นพ่อแม่ของบอนไซ นี่มันรักในอดีตของเมธัสนี่นา ผมไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าเขาจบความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่ที่ผมรู้ตอนนี้คือคนตรงหน้าคือพ่อแม่เขา ผมรีบทักทายเป็นการพนมมือเพราะผมไม่เคยรู้มาก่อน “ไม่เป็นไรหรอก ปกติบอนไซเขาไม่ค่อยสูงสิงกับใคร ไม่ค่อยทักใครมากนอกจากเมธัส” ริต้าผู้เป็นแม่บอกกับแฟนต้าถึงเรื่องของลูกชายตัวเอง มันน่าสงสารนะที่ลูกชายฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่ถึงยังไงก็ตามฉันจะกลับมาดูแลเขาให้ดีที่สุด และหลังจากนี้การอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวจะกลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง “เดี๋ยวยังไงแม่จะไปตามหาเจ้าของรองเท้าเองนะ” “ครับ ยังไงมีอะไรบอกผมได้นะครับ” ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนตรงหน้าคือพ่อแม่ของบอนไซซึ่งเมธัสเป็นคนรักของลูกชายพวกเขา ผมว่ามันเหมือนความสัมพันธ์รู้กันแค่สองคนไม่บอกญาติ บอกคนในครอบครัวเวลาเกิดเรื่องเหมือนต่างคนต่างเกิดเหตุอย่างโดดเดี่ยว ผมว่ามันแปลกเกินไปไหมหรือผมคิดมากไป แต่พวกเขารับปากแล้ว บางทีเจ้าของรองเท้าอาจเกี่ยวข้องกับสองครอบครัวก็ได้ง ทางด้านทิมเบอร์ ผมเดินเข้ามาในร้านกาแฟร้านประจำที่ผมชอบมาคนเดียว บางครั้งชวนไอซ์แลนด์มาด้วย ผมนั่งอยู่ในร้าน วางกระเป๋าไวโอลินไว้ข้างพนักผิงเก้าอี้อีกตัว ผมไม่รู้จะสั่งอะไรดี ถึงใจอยากดื่มเมนูเดิมแต่เมนูใหม่ล่อตาให้ผมต้องการสั่งมันให้ได้ ราวกับเสียงเรียกร้องออกมาจากแผ่นเคลือนเมนูอาหาร ผมแทบได้ยินเสียงจากภาพแล้ว “มึงเอาหูแนบแผ่นเมนูเลยไหม” ผมหมั่นไส้ไอ้ทิมเบอร์หน้าหล่อกวนประสาทผมทรงกะลาครอบมาก ชอบกวนเท้าผมเสมอ ผมต้องเอารองเท้าผ้าใบให้มันกินแทนข้าวเลยไหม ชอบจังนะสะสมของแบบนี้ “ทิมเบอร์” ทิมเบอร์เงียบไปพักหนึ่ง ผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในร้านกาแฟพร้อมรองเท้าทั้งสองข้างที่ผมคุ้นตา ผมคิดไว้แล้วว่าสักวันพวกเขาต้องเห็นมัน และตอนนี้เธอถือมันมาด้วย ผมต้องทำอะไรสักอย่างเป็นการทวงของหวงของผมคืนให้ได้ ผมลงทุนวางไว้คนละห้องให้พวกเขาตามหากันจนเจอ ตอนนี้ผมกับแล้วถึงเวลาไปทวงคืนสักที “ไอซ์แลนด์ มึงมากับกูเดี๋ยวนี้เลย” ผมจับมือไอซ์แลนด์เดินไปหาพ่อแม่ของบอนไซ ผมทำทีบอกว่าผมตามหารองเท้าคู่หนึ่งที่ผมลืมไว้ที่ห้องพักของโรงพยาบาล ผมตามหาวันนั้นแล้วหาไม่เจอสักที โชคดีที่ผู้หญิงคนนี้ถือมันออกมา ผมจำลักษณะและขนาดรองเท้าได้ ผมเป็นคนหนึ่งชอบสะสมรองเท้าผ้าใบแฟชั่นมาก ในขณะที่ผมขอคืน เธอถามผมเพื่อความแน่ใจว่าทำไมถึงไปลืมที่นั่น หรือรู้จักกับบอนไซลูกชายของเธอ “ครับคุณแม่ ผมรู้จักบอนไซแล้วก็เมธัสด้วยครับ” “เธอว่าไงนะ” “อะไรนะ พูดใหม่อีกทีสิ ริต้าผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม” ผมกับริต้าต่างคนต่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าบอนไซจะรู้จักกับเด็กสองคนนี้ด้วย ว่าแต่พวกเขาเป็นใคร รู้จักกันตอนไหน ผมกับริต้าไม่เคยรู้มาก่อนตั้งแต่มีลูกชายมาทั้งชีวิต หลังจากนั้น “เธอบอกว่าเธอคือทิมเบอร์ แล้วไอซ์แลนด์เป็นเพื่อนเธอแล้วเป็นเพื่อนกับบอนไซด้วย” คุณริต้านั่งอยู่ที่ร้านกาแฟพร้อมกับคิวบิค หลังจากพาเด็กทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้ว เขาแนะนำตัวให้ฉันกับคิวบิคฟังว่า เด็กชายหน้าหล่อสวมเสื้อยืดสีดำแฟชั่น กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล สวมรองเท้าผ้าใบสีดำราคาแพง ส่วนเพื่อนของเขาอย่างไอซ์แลนด์ การแต่งตัวรสนิยมวัยรุ่นไม่ต่างจากทิมเบอร์สักเท่าไหร่ พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกัน แต่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้องกับบอนไซ “ครับ ว่าแต่คุณแม่ไม่เคยถามเรื่องเพื่อนของบอนไซเหรอครับ” “ขออภัยด้วยนะ ปกติฉันกับคิวบิกงานยุ่งบางทีไม่ได้ติดต่อกับลูกชายฉันเลยค่ะ” “ปกติคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ต้องติดต่อกันเสมอไม่ใช่เหรอครับ ทำไมถึงไม่รู้ว่าบอนไซอยู่ด้วยกัน” “เอ่อ...” “พอดีบอนไซเขาเป็นคนไม่ค่อยสูงสิงกับใคร แทบไม่ได้คุยกันเห็นหน้ามากกว่าหนึ่งชั่วโมงน่ะ” ผมรู้สึกว่าทิมเบอร์สงสัยอะไรพวกเราเกินไปหรือไม่เพราะ “แล้วพ่อแม่รู้ไหมครับว่าบอนไซมีแฟนมาก่อน” “รู้สิ แต่ไม่คิดว่าจะบังเอิญ” “บังเอิญเหรอครับ” ไอซ์แลนด์แปลกใจว่าคนเราอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่เคยติดต่อกันมันไม่ดูแปลกไปหน่อยเหรอ ผมอาจจะตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า แต่ที่ผมจำได้คือพี่บอนไซเป็นคนไม่สูงสิงกับใคร ถือว่าเป็นเรื่องจริงที่ผมรู้มาตลอด แต่เรื่องครอบครัวเขา ผมพึ่งมารู้วันนี้ว่าพ่อแม่พวกเขาไม่เคยรู้อะไรมาก่อน “เธอสงสัยอะไรพวกเราเหรอ” คิวบิคคิดว่าเด็กสองคนนี้สงสัยจนถามอะไรลามปาม ผมไม่รู้ว่าพวกเขาสนิทกับบอนไซขนาดไหน แต่มาถามพวกเรามากเกินขอบเขตแบบนี้ผมคงไม่อยากตอบอะไรมาก เรื่องบางเรื่องคือเรื่องส่วนตัว ผมไม่จำเป็นต้องบอก “ไม่รู้สิครับ ปกติพ่อแม่ไม่รู้เรื่องลูกตัวมันเป็นไปได้เหรอ” ไอซ์แลนด์สะกิดแขนผม และส่งสายตาบอกว่าผมไม่ควรถามอะไรมากเกินไปต่อให้ในความคิดผมจะมีร้อยคำถาม ผมควบคุมตัวเองแล้วคุยแบบปกติไม่ต้องเค้นหาคำตอบ “เอาเถอะครับ ผมไม่ถามอะไรมากแล้ว ผมขอรองเท้าคืนด้วยนะครับ พอดีวันก่อนผมเผลอลืมไว้” ผมยอมรับว่าบางทีผมมีอาการเบลอจนสมองกลับไปหมด ใส่รองเท้าคนละข้างไปถอดไว้คนละห้อง ผมตามหาตั้งนานที่แท้มาอยู่ที่นี่เอง ผมหมดธุระแล้วขอกลับไปนั่งที่ของตนเอง ใจผมมีอะไรอยากรู้มากมายแต่เอาเป็นว่ารอพี่ผมมารับช่วงต่อด้วยกันดีกว่า “ริต้า ผมว่าเด็กสองคนนี้มันแปลก ๆ นะ” “งั้นเหรอคะ ปกติคนเราจะลืมรองเท้าคนละข้างไว้ที่คนบังเอิญรู้จักกันเหรอคะ เหมือนเขาตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ยังไงไม่รู้” “งั้นเหรอ ผมว่าเด็กสองคนนี้มีเจตนาไม่น่าไว้ใจแล้วล่ะ” ผมกับริต้าเริ่มคิดแล้วว่าเด็กสองคนนี้มีเจตนาบางอย่างดูไม่หวังดีกับบอนไซ ผมไม่รู้ว่าเขาไปสนิทกันตอนไหน แล้วพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ ผมชักระแวงและต้องจับตาดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรหลังจากนี้ ‘เด็กพวกนี้คิดจะเป็นมิจฉาชีพมาหลอกพวกเราเหรอ ไม่มีทางหรอก นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่ละครน้ำเน่าสักหน่อย’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม