EP1 - วงการนิยายสลับร่างต้องสั่นสะเทือน
1 - วงการนิยายสลับร่างต้องสั่นสะเทือน
เสียงรถไซเรนดังไปทั่วถนนใหญ่แห่งหนึ่ง ดูจากอาการแล้วบอกได้เลยว่าชี้เป็นชี้ตาย โอกาสรอดแม้จะคงที่เป็นกลางแต่ไม่สามารถชะล่าใจได้เพราะอาการของชายคนนี้สลบไปพักหนึ่ง บาดเจ็บมีแผลเห็นเลือดเปื้อนไปทั่วร่างกาย แต่ยังแข็งใจนอนผ่อนลมหายใจอยู่บนเตียงท่ามกลางความวุ่นวายของผู้ช่วยเหลือกำลังส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินแล้ว
ญาติของบอนไซผู้เป็นแม่กำลังวิ่งตามหมอและพยาบาลไปตามทางเดินในอาคารด้วยความสั่นกลัวและไม่เคยเห็นคนที่รักในชีวิตอยู่ในนาทีเฉียดตาย ใครเห็นก็ทำใจไม่ได้ถือว่าเป็นธรรมชาติของความรู้สึกมนุษย์ เธอกำลังช็อกและตั้งตัวไม่ถูกไม่คิดว่าคนที่รู้จักจะอยู่ในสภาพไร้การเคลื่อนไหวเหมือนคนพร้อมลาโลก เธอไม่ควรคิดเช่นนั้นเลย แต่สถานการณ์มันบีบให้สัจธรรมบนโลกใบนี้อยู่ในความจริงเกิดแก่เจ็บตายเป็นวัฏจักรชีวิต
“คุณ...”
ผมคือคิวบิกเป็นพ่อของบอนไซและเป็นภรรยาของริต้า ผมได้รับข่าวจากปลายสายของพยาบาลติดต่อมาหาผมพร้อมกันพบว่าลูกชายของผมประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ ผมได้ยินแล้วคิดตามเลยว่าโอกาสรอดพอมีบ้าง แต่เห็นหลายรายแล้วไม่ได้ออกมาใช้ชีวิตอีกครั้ง ผมสงสารและถ้ามันเกิดกับคนในครอบครัวผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง
ผมเช็ดน้ำตาและปลอบขวัญริต้าด้วยความกลั้นใจ แม้ผมจะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่ผมจะไม่ยอมหลั่งน้ำตาให้ภรรยาหรือใครที่ผ่านมาเห็นว่าผมอ่อนแอ ผมถือว่าการร้องไห้คือพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์แต่มันไม่ควรเกิดขึ้นในที่สาธารณะ เพราะการร้องไห้คือการแสดงความอ่อนแอต่อความจริงบนโลกใบนี้ ผมต้องแข็งใจและริต้าก็เช่นกัน
“ฮึกกก ฮือออ”
“ตราบใดที่หมอไม่บอกอย่างแน่ชัดว่าตาย คุณอย่าร้องไห้และคิดไปเอง” ถ้าผมหรือเธอไม่ได้รับรู้ความจริงจากปากใครแน่ชัด อย่าพึ่งคิดไปเอง ผมและเธอถือว่าเป็นคนไตร่ตรองก่อนตัดสินใจเสมอ ใช่ว่าจะพล่ามใช้อารมณ์แบบไม่มีเหตุผล ถ้าความจริงถูกเฉลยออกมา ผมถึงจะเชื่ออย่างแท้จริง
“คุณคะ เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
“คนอย่างบอนไซถึงว่าดวงแข็งมาก รอดตายมาหลายครั้งยังไงครั้งนี้ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องปลอดภัย” ผมให้ความเชื่อใจกับริต้าว่าลูกชายของเราจะต้องปลอดภัยและจะไม่มีอันตรายใด ๆ มาพรากชีวิตของพวกเราไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ในขณะที่ผมกำลังพาริต้าไปนั่งที่ลานจอดรถของตึกฉุกเฉิน พื้นที่กว้างของลานจอดรถจะมีม้านั่งจำนวนมากให้ญาติผู้ป่วยมานั่งรอเวลาขึ้นเยี่ยมผู้ป่วยได้ ผมเดินไม่ทันเข้าใต้ลานจอดรถ ผมหันไปเห็นรถพยาบาลคันหนึ่งขับเข้ามารวดเร็วคาดว่าผู้ป่วยอาการฉุกเฉินเช่นกัน
“คิวบิก คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ผมเห็นหมอและพยาบาลช่วยเคลื่อนไหวเตียงผู้ป่วยผ่านหน้าผมไป จะว่าไปคนที่นอนอยู่บนเตียงหน้าตาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมสะกิดริต้าและเปิดรูปให้เธอดูว่าคนที่อยู่หน้าจอของผม เราสองคนต้องเคยเห็นผ่านตามาแน่นอน
“คุณคิดว่าใช่ใช่ไหม”
ริต้ามองดูคนในรูปพบว่า คน ๆ นี้ฉันเคยเห็นมาจำขึ้นใจเลยแต่ไม่คิดว่าจะบังเอิญเกิดเหตุวันเดียวกับบอนไซ และอีกอย่างสองคนนี้เขาเกี่ยวข้องกันเรียกได้ว่าโชคชะตากำลังเล่นตลก ฉันพยายามคิดอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเรื่องบังเอิญหรือชีวิตถูกขีดเส้นตายให้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
“ค่ะฉันคิดว่า...”
ในขณะนั้นเอง สองเหตุการณ์ของคนสองคนเรียกได้ว่าชะตากรรมเดียวกัน ราวกับสองตัวตนเดียวกันถูกอุบัติเหตุเข้ามาพรากชีวิต ขณะนี้ผู้ช่วยชีวิตกำลังทำทุกวิถีทางให้จิตวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ไม่ว่าจะทำกี่วิธีทั้งสองคนจะต้องรอดกลับมาเพื่อไม่ให้คนข้างหลังเป็นห่วงมากกว่านี้ เพราะชะตากรรมเดียวกันนี้เอง ทำให้เกิดเรื่องราวสุดพลิกผันและสาเหตุที่แปลกที่สุดกำลังวัดว่าพวกเขาจะผ่านมันไปอย่างไร เพราะมันเกิดขึ้นแล้วอย่างไม่รู้ตัว
หลายวันผ่านไป
บอนไซ ชายหล่อหน้าตี๋เหมือนคนเกาหลีเป็นบุคลิกที่ได้มาตั้งแต่เกิด ผมรู้สึกตัวด้วยความเจ็บไปทั่วร่างกาย ผมมึนงงมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมกันแน่ ตั้งแต่สลบไปผมจำอะไรไม่ได้เลย เหมือนว่าความทรงจำถูกลบหายไปส่วนหนึ่ง อย่างน้อยผมก็รู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาลและผมอยู่ในห้องพักผู้ป่วยแล้ว ผมขยับตัวได้บ้างแล้วเมื่อมีคนมาเยี่ยมผม หน้าตาของเขาดูไม่คุ้นเคยว่าแต่เขาเป็นใครทำไมมาหาผมเป็นคนแรก
“คุณคือใครครับ”
ผมไม่คุ้นเคยผู้ชายหน้าเลยว่าเขาเป็นใคร รู้แค่ว่าเขาเป็นเด็กชายวัยมัธยมปลายทำผมกะลาครอบ หน้าคมสไตล์บ้าน ๆ มีความหล่อและมากด้วยเวน่ห์ ผอมบางแต่แข็งแรงไม่เหมือนบุคลิกภายนอก เขาเข้ามาหาผมพร้อมแนะนำตัวว่าเป็นใคร ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมกลายเป็นคนสูญเสียความทรงจำไปตอนไหนถึงต้องมีคนมาแนะนำให้ผมฟัง
“ผมทิมเบอร์คร้าบ”
ผมชื่อทิมเบอร์ เป็นเด็กมัธยมปลายวัยสิบเจ็ดปี เรียนโรงเรียนใจกลางเมืองที่มีแต่นักเรียนชายล้วนหน้าตาดีเป็นส่วนใหญ่ ผมเข้ามาแนะนำตัวและบอกว่าเป็นคนรู้จักกับบอนไซ ชายตรงหน้า เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันผมหยิบรูปถ่ายให้ดูเป็นการยืนยันว่าผมไม่ใช่มิจฉาชัพมาหลอกสวมรอยเป็นคนรู้จัก เขามองดูแล้วรู้สึกแปลกใจว่าเคยเจอผมในชีวิตนี้ด้วยเหรอ
“เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ”
ทิมเบอร์เห็นอาการของบอนไซแล้ว ผมคิดว่าอาการหนักอยู่เหมือนกันเพราะว่าเขาจำผมและทุกคนไม่ได้เลยเหรอ แสดงว่าอาการของเขาหนักพอสมควร ผมว่ายังพอมีเวลาพาเขาไปรื้อฟื้นความจำได้อีกนาน ไม่แปลกที่เวลาเกิดอุบัติเหตุหากสมองกระทบกระเทือนร้ายแรง ภาพความทรงจำบางอย่างจะถูกลบหายไปยิ่งอาการหนักก็ยิ่งหายไปมากขึ้น
“ผมเชื่อนะครับว่าพี่ต้องหายดี แต่พี่ต้องยอมรับนะครับว่าพี่กำลังเสียความทรงจำบางอย่างไป” ผมพูดได้แค่นี้เพราะอาการท่าทางที่พี่เขาแสดงออกมา ขนาดตัวผมยังจำไม่ได้แล้วคนอื่นล่ะยิ่งคาดหวังให้จำได้ทันทีคงเป็นไปได้ยาก ผมมาเยี่ยมพร้อมของติดไม้ติดมือ เมื่อให้ความอุ่นใจแล้ว ผมรีบเดินออกไปทันทีเพื่อที่ผมจะไปจัดการบางอย่างต่อได้ไม่เสียเวลา
อีกด้านหนึ่ง
ผมชื่อเมธัสเป็นผู้ชายหน้าหวานตัวผอมบางเหมือนคนไม่มีแรง จากเหตุการณ์ในคืนนั้นทำให้ผมแทบตอบตัวเองได้ว่ากำลังจะตายในไม่ช้าเพราะภาพตัดจนไม่เห็นอะไรในชีวิต ผมย้ำกับตัวเองว่าผมพร้อมจบชีวิตตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าชีวิตผมไม่มีความหมายกับคนที่ไปด้วยกันไม่ได้เลย ผมรู้ว่าผมใจร้อนแต่ไม่คิดว่าความบ้าคลั่งจะทำผมอยู่ในสภาพนี้ ผมนอนพิงอยู่บนเตียงผู้ป่วยมองไปตรงหน้า ดีหน่อยกระดูกไม่หักแต่ดามไว้เพราะกลัวว่าจะบาดเจ็บหากไม่ตั้งใจขยับไปมา
เสียงประตูดังขึ้นเมื่อมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเปิดเข้ามาพร้อมกับของในถุงกระดาษ ผมเข้ามาเยี่ยมคนตรงหน้าอย่างเมธัส ผู้ชายตัวผอมบางที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดี ผมคิดว่าพี่เขาอาการคงไม่ต่างกันเพราะตอนผมเข้ามาหา เขาจำผมไม่ได้ว่าผมเป็นใคร ผมคงไม่ต้องถามต่อแล้วล่ะว่าจำอะไรได้บ้าง ผมทำเหมือนคนก่อนหน้าคุยเพื่อถามคำถามแน่ชัดว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน เอารูปถ่ายและของในถุงกระดาษมายืนยัน
“น้องชื่อทิมเบอร์เหรอ”
“ครับพี่เมธัส”
ผมพยายามทวนชื่อให้พี่เขาเห็นหน้าผมตัวจริงและในรูป ตรงกันไม่ได้แต่งรูปหรือตัดต่อให้ในรูปดูดีกว่าตัวจริงหรอก ทุกอย่างที่ผมเอามาให้ดูเพื่อทบทวนความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นด้วยกันมีอะไรบ้าง ผมยังเชื่อว่าการฟื้นความทรงจำที่ดีไม่ได้ทำให้สมองล้าจนแย่ที่ต้องมาจดจำฝันร้าย ผมทำได้แค่นี้เป็นการแนะนำต่อไป
“งั้นพี่นอนพักผ่อนไปนะครับ ผมรอวันที่พี่กลับมาใช้ชีวิตอย่างอิสระอีกครั้ง” ผมให้ความหวังว่าพี่จะต้องกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้งอย่างปกติและอิสระไม่ต้องมานอนไร้เรี่ยวแรงในโรงพยาบาล ผมเดินออกไปหลังจากหมดธุระแล้วขอกลับไปทำธุระที่ผมต้องทำเหมือนทุกวันอย่างการเล่นดนตรีและเขียนนิยายถือว่าเป็นงานถนัดที่พร้อมต่อยอดในอนาคต
ผมเห็นเด็กคนหนึ่งที่บอกว่าชื่อทิมเบอร์เดินออกไป ผมกำลังจะเอนตัวนอนสักหน่อย ผมหันไปเห็นอะไรบางอย่างตรงข้างผนังมันเป็นรองเท้าสีดำแฟชั่นข้างหนึ่งที่วางไว้ มันน่าแปลกเพราะคนเราไม่มีใครใส่รองเท้าข้างเดียวหรอก ก่อนหน้านั้นมันไม่มีแล้วใครเป็นเจ้าของรองเท้า ผมจำได้ว่าในถุงกระดาษน้องไม่มีรองเท้าแบบนี้ ก่อนออกไปน้องก็ใส่คู่สีดำเหมือนกันแต่ไม่ใช่อันนี้ หรือใครมาลืมไว้
“รองเท้าใครน่ะ”
เรียกได้ว่าความสงสัยถูกพูดขึ้นพร้อมกันสองคนแต่ต่างกันที่ห้องพักเพราะเจ้าของรองเท้าสีดำข้างเดียวที่วางไว้ตรงข้างผนังกำลังบอกความจริงบางอย่างว่าทิมเบอร์คือใคร จุดเริ่มต้นของการตามหาความทรงจำกำลังเริ่มต้นขึ้นผ่านรองเท้าคนละข้าง
‘ผมรู้ความจริงอยู่แล้วหวังว่าพี่จะเข้าใจนะครับว่าผมกำลังทำอะไร’