EP2 - ใครคือเจ้าของรองเท้า

1530 คำ
2 - ใครคือเจ้าของรองเท้า เวลาต่อมา สองสามีภรรยาของบอนไซเดินทางมาที่โรงพยาบาลเพื่อมาเยี่ยมลูกชายของตนเอง เมื่อพวกเรารู้ว่าพักฟื้นร่างกายมาหลายวัน อาการเริ่มดีขึ้นระดับหนึ่งแต่หมอแจ้งอาการว่าบอนไซสูญเสียความทรงจำบางส่วน สิ่งที่พวกเราสองคนได้ยินถือว่าตั้งตัวไม่ทันเลย ลูกชายของเราสองคนจะกลายเป็นอัลไซเมอร์ไปงั้นเหรอ ถึงรอดมาได้แต่อาการเหมือนคนปกติหลังจากนี้จะทำยังไงต่อไป เพราะในชีวิตพวกเราไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้เลย “บอนไซ” “พวกคุณคือใคร...” ผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักที่ผมอยู่ ผมแปลกใจว่าสองคนนี้เป็นใคร ผมมึนหัวไปหมดเลย คนแปลกหน้าสองคนนี้คือใครกันแน่เหมือนคนรู้จักผมหรือเปล่า จะคุ้นเคยผมเรียกได้ไม่เต็มปากเลย แต่ว่าผมรู้สึกเหมือนเคยเจอพวกเขามาก่อน คิวบิกได้ยินแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง ผมถึงกับไปไม่เป็น คำถามที่ผมคิดไว้ว่าจะถามเขากลายเป็นลืมเลือนและหาทางทำมันต่อไม่ได้ ยิ่งบอนไซถามคำถามและจำอะไรเราสองคนได้ ผมว่าชีวิตของบอนไซจะไม่ปกติและความทรงจำเลื่อนหายไปแล้วเหรอ “พวกเราคือพ่อแม่ของเธอไง” “พ่อแม่เหรอครับ” ผมได้ยินพวกเขาทั้งสองบอกว่าเป็นพ่อแม่ของผม ผมขอดูรูปถ่ายเป็นการยืนยันเพราะคนที่เข้ามาหาครั้งก่อนเท่าที่ผมจำได้ เขาก็เอารูปถ่ายมายืนยันให้ผมแล้ว เขาบอกกับผมอย่างดีว่าเขาเป็นใครมาจากไหน “พ่อ... แม่...” ริต้าไม่รู้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดกับบอนไซมีผลทำให้เขาสูญเสียความทรงจำบางส่วนไปหรือไม่ ทำไมเขาเหมือนจำพ่อแม่ไม่ได้เลย ถึงยังไงฉันเห็นคนตรงหน้าเป็นลูกชายอยู่แล้ว แต่เขากลับจำไม่ได้มันเป็นผลเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เขาเปลี่ยนไป “ไม่ต้องกลัวนะบอนไซ พ่อแม่อยู่นี่แล้ว พวกเราคือพ่อแม่ของลูกจริง ๆ ไม่มีใครมาทำร้ายแล้ว” ฉันให้ความเชื่อใจกับบอนไซว่าฉันและคิวบิกคือพ่อแม่ของพวกเขา ไม่รู้ว่าเขาเชื่อขึ้นใจหรือไม่แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปทำให้เห็นชัดมากว่าทุกอย่างกำลังไม่เหมือนเดิมหลังจากนี้ “ผมกลัวมากเลย” สิ่งที่พวกเราสองคนได้ยินคือความกลัว ฉันเข้าใจว่าเหตุการณ์ร้ายที่เขามาจะมีความกลัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเป็นบททดสอบว่าจะผ่านมันไปได้หรือไม่ ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนไป ฉันจะกลัวและอ่อนแอแทนบอนไซก่อนไม่ได้ ผู้เป็นแม่แบบฉันไม่ยอมให้อะไรมาพรากชีวิตเราไปทั้งนั้น “ไม่ต้องกลัว พ่อแม่อยู่ตรงนี้แล้ว” คิวบิกเห็นเช่นเดียวกับริต้า ผมมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเขากำลังหวาดกลัวกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนมาอยู่ที่นี่ แสดงว่าต้องรุนแรงจนทำให้เขาประสบชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้ ผมเห็นแล้วยังสงสารแทนเลยว่าควรจะทำยังไงต่อไป ความสงสารทำให้ผมอดห่วงไม่ได้เลย ผมต้องสืบให้ได้ว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น ผมและริต้าจะได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าต้นเหตุมาจากอะไรเพราะมันอาจมีอะไรซ่อนอยู่คาดไม่ถึงก็ได้ “ริต้า อันนั้นรองเท้าใคร” ผมเห็นรองเท้าผ้าใบสีดำคู่หนึ่งวางไว้ข้างผนังห้อง ผมเอะใจมาพักหนึ่งแล้วว่ามันเป็นของใคร ดูจากขนาดเท้าและตัวรองเท้าคงไม่ใช่ของบอนไซเพราะรองเท้าขนาดเล็กกว่าประมาณหนึ่ง ตอนมาครั้งก่อนมันไม่มีแล้วมันเป็นของใคร สงสัยผมต้องถามพยาบาลแล้วล่ะว่ามีใครมาเยี่ยมก่อนหน้าแล้วลืมของไว้ ดูจากรองเท้าแล้วเหมือนคนมีระดับใช้ของราคาแพงเลย อีกด้านหนึ่ง ทางด้านเมธัส ผมเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ผมยังพอจำอะไรได้บ้างว่าผมเป็นใคร มาจากไหนแต่ว่ามึนหัวไปหมดเลยเหมือนสมองกระทบกระเทือนแรงไปหมดจนชีวิตไม่เหลือตัวตนแล้ว ผมนั่งมองรอบห้องพักหนึ่ง มุมเดิม ๆ ที่มีทุกอย่างเหมือนเดิม ทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต แต่ทำยังไงได้เพราะมันถูกจับให้อยู่ในสถานการณ์บีบบังคับให้นอนเอื่อยพักตัวอยู่บนเตียงผู้ป่วย จะทำอะไรก็ไม่ได้ ความอิสระเมื่อถูกจำกัดมันน่ากลัวจริง “เมธัส” ผมได้ยินเสียงชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยที่ผมพักอยู่ ผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาเหมือนเพื่อนผม เสียงที่คุ้นเคยและท่าทางในตาผมบอกได้ว่านั่นคือเพื่อนผมจริงแท้ไม่มีใครเหมือนเขาแล้ว ขนาดผมสลบไปยังจำได้อยู่ว่าเพื่อนชื่ออะไร เขาโบกมือทักทายและยิ้มให้เป็นการตอบรับว่านั่นคือเพื่อนในสายตาของเขาจริง “แฟนต้า” ผมเรียกชื่อเพื่อนตรงหน้าเมื่อเห็นใบหน้าแล้ว ผมพอจำชื่อได้ทันทีว่าเขาเป็นใครเพราะผมเห็นการกระทำท่าทางตลกทั้งการแสดงออกและคำพูด ผมสลบไปใช่ว่าจะจำอะไรไม่ได้มาก ผมเรียกชื่อแล้วคุยกับเขาแก้เบื่อ ใจผมอยากให้หายป่วยเร็วขึ้น อยากออกไปใช้ชีวิตอิสระอย่างมีความสุขแล้ว ไม่ต้องมานั่งเบื่อนอนพลิกไปมาบนเตียงหรอก “เราช็อกเลยนะตั้งแต่ได้ยินว่านายเข้าโรงบาล รีบหายเร็ว ๆ นะเพื่อน เป็นห่วง” “เราไม่เป็นไรอยู่แล้ว” ผมเชื่อเสมอว่าผมอาจจะดวงแข็ง ไม่มีอันตรายร้ายแรงมาทำชีวิตผมลาโลกไปก่อนหรอก แต่ว่ารอดมาได้พร้อมความเจ็บปวดฝังอยู่ในร่างกาย ผมไม่อยากได้ของแถมแบบนี้เลย ขนาดตอนนี้ผมยังปวดตัวปวดแขนไปหมด ผมอยากหายดีแล้วไม่ต้องมาทนปวดอีกต่อไป “อืม ว่าแต่นั่นรองเท้าใครเหรอ” ผมเห็นเมธัสชี้ไปตรงผนังห้องมีรองเท้าผ้าใบสีดำแฟชั่นวางไว้ ผมหยิบมาดูพบว่ามันยังใหม่และมีข้างเดียว จะว่าไปมีใครที่ไหนเขาใส่รองเท้าข้างเดียวกันล่ะ ดูจากขนาดเท้าของเมธัสก็ไม่ใช่เลย ขนาดเท้าเล็กกว่าเล็กน้อย และเขาไม่เคยใส่ของราคาแพงด้วย ว่าแต่มันเป็นของใครล่ะ คำถามตามหาเจ้าของรองเท้าเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับบอนไซและเมธัสพูดขึ้นพร้อมกัน เจ้าของรองเท้าคู่นี้ตั้งใจมาวางไว้คนละข้างและคนละห้องเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่เขาตั้งใจอยากให้มันเกิด ว่าแต่เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม อีกด้านหนึ่ง ผมอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง มานั่งทานเครปเค้กชาเขียวและของโปรดผมอยากชาเขียวไวท์มอล์ต ของโปรดที่ผมชอบที่สุดเวลามาดื่มกาแฟ วันนี้ผมถือว่าเป็นวันหนึ่งที่ผมมีความสุข ได้ออกไปทำอะไรที่ชอบตั้งแต่เรียนดนตรี ออกมาเขียนนิยายนอกสถานที่ได้ไอเดียมาเยอะมาก จนผมไม่อยากเปลี่ยนสถานที่เขียนนอกจากร้านกาแฟที่ผมชอบแล้ว ในขณะที่ผมกำลังมีความสุขอยู่ สายหนึ่งโทรเข้ามาหาผม ผมรับสายเขาทันทีเพราะเขาเป็นคนคุ้นเคยของผม “ครับพี่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะช่วยพี่ให้พ้นความผิดติดตัวเอง ผมว่าเขายังไม่สงสัยผมตอนนี้หรอก” ผมกับคนในสายถือว่าสนิทกันระดับหนึ่ง ผมจะช่วยให้เรื่องนี้จบด้วยดีและไม่มีปัญหาอีก ผมเป็นคนใจดีและให้โอกาสคนอยู่ ผมอยากให้แต้มบุญสูงขึ้นเพื่อต่อชีวิตให้ทุกอย่างกลับมาดี “จะดีเหรอ มันไม่ใช่เรื่องของเรานะ” “ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ผมอยากช่วยพี่นะครับ ไว้ใจผมแล้วกัน รอเวลาอีกหน่อยแล้วค่อยเข้าไปนะครับ” ผมกับพี่คนนี้ถือว่าช่วยกันในเรื่องที่ควรให้อภัยที่สุด ผมยังไม่บอกตอนนี้หรอกรอให้เวลาพัดพาความจริงมาเองดีกว่า ผมเอารองเท้าไปวางไว้คนละข้าง หวังว่าตอนนี้เขาคงจะสงสัยแล้วล่ะว่าใครเป็นเจ้าของรองเท้า ผมชอบของมีราคาแพงมาก ยอมจ่ายสูงเพื่อลงทุนการค้นหาความจริงแค่นี้ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมแล้ว “ผมช่วยพี่สองคนอยู่นะครับ พี่จะได้ตาสว่างสักที...” ผมมีแผนการบางอย่างที่ผมจัดการให้พี่ผมอีกแรง และหลังจากนี้ผมจะเริ่มเอาจริงแล้วหลังจากสังเกตมานานเพราะกลิ่นความไม่ไว้ใจลอยเตะจมูกผมแรงมาก ผมว่ารู้ความจริงในเรื่องคนอื่นก็ดีเหมือนกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม