“พี่เจตต์น่ารักที่สุดเลยค่ะ” พิมประภาหน้าบาน รีบลุกขึ้นไปหอมแก้มพี่ชาย “พรุ่งนี้อย่าเกินเที่ยงนะคะ ขอบคุณพี่เจตต์มากค่ะ”
พิมประภาหอมแก้มพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะฮัมเพลง ก้าวเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านอย่างอารมณ์ดี สกลส่ายหน้าระอากับพฤติกรรมเอาแต่ใจของบุตรสาว แต่เขาก็พูด เตือนอะไรไม่ได้เลย รายนั้นฟังใครที่ไหน ฟังอยู่เสียงเดียวคือ เสียงของตัวเอง
“แม่นึกอยู่แล้วว่าเจตต์ต้องให้น้อง เจตต์ต้องรักพิมมากๆ นะลูก อย่าถือโทษโกรธน้องหากน้องทำผิด น้องยังเด็กค่อยๆ สั่งสอน ค่อยๆ พูดนะลูก” อารมณ์จิตราวดีดีขึ้นในพริบตา “แม่ก็อยากได้สักเจ็ดหมื่นนะ พรุ่งนี้โอนเข้าบัญชีแม่ด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวแม่ไปนอนพักก่อนนะ”
จิตราวดีมัดมือชกลูกชาย และไม่รอฟังคำตอบว่าจะได้เงินก้อนนั้นหรือไม่ นางลุกเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ต่างกับสกลที่นั่งแยกเขี้ยว
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ...” สกลรั้งภรรยาด้วยเสียงเรียก
“ช่างเถอะครับคุณพ่อ เรื่องเงินผมจัดการเองครับ”
“เจตต์ไปยอมแม่กับพิมทำไม เดือนนี้ใช้เงินไปตั้งเท่าไหร่ แทนที่จะเอาเงินมาหมุนในบริษัท กลับเอาไปถลุงเป็นว่าเล่น”
ตอนนี้สกลขัดใจทั้งลูกทั้งเมีย ที่ดูเหมือนจะไม่ได้ดังใจกันทุกคน คนเป็นเมียกับลูกสาวก็ดีแต่ใช้เงิน ส่วนลูกชายก็ดีแต่ตามใจ เป็นเช่นนี้แล้วจะฟื้นฟูสถานการณ์ของบ้านได้เมื่อไหร่
“ถ้าไม่ให้มันก็มีแต่เรื่องนะครับ พิมไม่ยอมหยุดแน่ถ้าไม่ได้เงิน คุณพ่อกับคุณแม่ก็ต้องทะเลาะกัน ผมไม่อยากเห็นครอบครัวเรามีแต่เรื่องบาดหมาง เรื่องผิดใจกัน อะไรที่ผมยอมได้ผมก็ยอมครับ”
สกลถอนหายใจเฮือกใหญ่ เป็นจริงตามคำพูดของบุตรชาย พิมประภาเอาแต่ใจตัวเองมาก เธอจะไม่หยุดหากไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ โดยมีจิตราวดีเป็นแรงกดดันอีกทางหนึ่ง
“แล้วเจตต์จะยอมแบบนี้ไปเรื่อยๆ เหรอ เงินที่หามาให้ก็ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาทั้งนั้น ยืมมาก็ต้องใช้ หนี้เก่ายังเคลียร์ไม่หมด หนี้ใหม่ก็เพิ่มมา มันจะยิ่งแย่นะลูก”
คนเป็นพ่อสงสารเจษฎามาก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้นอกจากให้กำลังใจและให้คำปรึกษา เพื่อนพ้องที่เคยสนิทกันพอรู้ว่ามีปัญหาเรื่องการเงิน ต่างหลบหน้าหลบตา ไม่คบค้าสมาคมเหมือนก่อน ซึ่งเขาก็เข้าใจจึงเก็บตัวอยู่ที่บ้าน ไม่สุงสิงกับใครให้มากความ ต่างกับจิตราวดีกับพิมประภา ทำตัวจมไม่ลง ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทำราวกับว่ามีเงินใช้เหลือเฟือเหมือนก่อน
“ผมยังพอไหวครับ ตอนนี้ยังพอหมุนได้อยู่ครับ” เจษฎาบอกบิดาเสียงนุ่ม ยิ้มบางๆ ทว่าใบหน้าแฝงไว้ซึ่งความหนักใจ
“แล้วจะเอาเงินจากที่ไหนให้แม่กับพิม”
“พอดีมีลูกค้าสั่งออเดอร์มาครับ โอนเงินมาให้ครึ่งหนึ่ง ให้คุณแม่กับพิมก็ยังพอมีเงินหมุนล้านกว่าๆ ครับ”
“พิมเหมือนนกรู้เลย ขอเงินได้จังหวะทุกที”
“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณพ่อ เดี๋ยวจะไปไม่ทันนัด”
“นัดบ้านโน้นไว้เหรอ” สกลหมายถึงบ้านตัณติยานนท์
“ใช่ครับคุณพ่อ”
“แล้วอาการกล้วยไม้เป็นยังไงบ้างล่ะ ดีขึ้นไหม”
“อาการเหมือนเดิมครับ ยังเข้าใกล้ผู้ชายไม่ได้ เห็นหน้าผู้ชายเมื่อไหร่กรีดร้องลั่นบ้านเลยครับ”
“น่าเห็นใจนะ คนดีๆ ต้องมาเจอเรื่องอัปยศไม่แปลกที่จะเป็นอย่างนี้ ไอ้พวกนั้นก็เลวระยำเหลือเกิน ทำกับผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีทางสู้ได้ลงคอ ใจมันสัตว์หมาจริงๆ”
สกลไม่รังเกียจหากเจษฎาจะแต่งงานกับพรรณพฤกษาตามความตั้งใจเดิม เขารู้สึกสงสารว่าที่ลูกสะใภ้มาก เคยไปเยี่ยมครั้งหนึ่ง ได้เห็นสภาพแล้วรู้สึกโกรธแค้นคนรำยำพวกนั้น อยากจะตามฆ่าล้างโคตรให้หายคับแค้นใจ
ใบหน้าเจษฎาหมองลง ดวงตาเศร้า ในจิตใจแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้ เป็นความรู้สึกผิดที่ไม่อาจบอกฝั่งว่าที่เจ้าสาวรู้ได้ว่า เหตุผลอีกข้อที่เขาต้องการแต่งงานกับพรรณพฤกษาคือ หวังเงินจากครอบครัวตัณติยานนท์มาฟื้นฟูครอบครัวของตน ยิ่งคิดก็ดูเหมือนตัวเองเป็นผู้ชายเกาะกระโปรงผู้หญิง
“ผมไปก่อนนะครับคุณพ่อ”
เจษฎาพนมมือไหว้บิดาเพราะไม่มีคำใดจะพูดโต้ตอบ เสมือนคำพูดมันจุกแน่นในอก เขาลุกขึ้นเดินไปยังประตูบ้าน โดยมีสายตาของสกลมองตามไปด้วยความสงสารและเห็นใจ สกลนึกโทษตัวเองที่ทำให้เจษฎาต้องแบกรับความทุกข์อยู่คนเดียว หากเขารักจิตราวดีน้อยลงกว่านี้ บางทีครอบครัวของเขาอาจไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้
หนี้สินของครอบครัวเกิดจากการคิดน้อยและความโลภของพิมประภา ที่ถูกนายสุชาติหุ้นส่วนในบริษัทพูดหลอกล่อให้ขายหุ้นในส่วนของเธอและจิตราวดีให้กับตน หากสุชาติได้ครอบครองหุ้นของสองแม่ลูก เขาจะเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษททันที ให้ค่าตอบแทนมากกว่ามูลค่าของหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ พิมประภายอมตกลงอย่างง่ายดาย แล้วไม่ใช่เรื่องยากที่จะพูดให้มารดายอม
แต่พอขายหุ้นให้สุชาติเรียบร้อย ผลไม่ได้ออกมาตามที่พิมประภาคาดการณ์ เธอกับจิตราวดีได้เงินค่าหุ้นเพียงห้าสิบล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าที่ตกลงกันไว้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาท ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังเสียรู้อีกเรื่องหนึ่งคือ สุชาติกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ มีอำนาจมากที่สุดในบริษัท
สกลโกรธมากเมื่อรู้ข่าว แต่เขาก็ทำอะไรภรรยากับลูกสาวไม่ได้ เจษฎาจึงเข้ามาต่อรองกับสุชาติ ขอซื้อหุ้นของมารดาและน้องสาวคืน ทว่าข้อเสนอของสุชาติทำให้เขาถึงกับหนักใจ จำนวนเงินที่เจษฎาต้องจ่ายให้สุชาติสูงถึงสามร้อยล้านบาท แต่ไม่ว่าจะสูงมากแค่ไหน เจษฎาก็ยอมเพื่อรักษากิจการของครอบครัวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นทวด ต่อให้ลำบากและเหนื่อยกว่านี้ ถูกตราหน้าว่าอย่างไร เจษฎายอมทั้งนั้น