“เดี๋ยวทีมเราเข้ามาคุยกันในห้องประชุมเล็กนะครับ พี่จะแนะนำพนักงานใหม่ที่จะมาร่วมทีมกับเราด้วย”
พี่ภูหันไปบอกพนักงานคนอื่นที่นั่งทำงานอยู่ก่อนจะเดินนำเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่งคาดว่าคงเป็นห้องประชุมเล็กแบบที่เขาบอกไว้ ส่วนฉันเองก็หันไปยิ้มให้คนอื่น ๆ ก่อนจะเดินตามหลังพี่ภูไปติด ๆ
เอาล่ะแจกยิ้มเรียกขวัญกำลังใจไปแล้ว…
ขอให้ไผ่หลิวเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานด้วยเถอะ
จะว่าไปพอนึกถึงเรื่องยิ้มแล้วก็อดคิดถึงโมอาไม่ได้เหมือนกัน เพราะโมอาชอบเรียกรอยยิ้มฉันว่ายิ้มธุรกิจ ก็คือยิ้มสวย ยิ้มเก่ง แต่ไม่ได้ยิ้มไปจนถึงตา ไม่ได้ยิ้มเพราะว่ามีความสุขจริง ๆ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองยิ้มแบบที่ยิ้มจริง ๆ ครั้งสุดท้ายคือตอนไหน
แต่กว่าจะผ่านช่วงที่ยากลำบากจนเป็นไผ่หลิวในทุก ๆ วันนี้ได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วนะ ฉันมักจะลูบหัวและชมตัวเองอยู่เป็นประจำในตอนที่รู้สึกแย่ ปลอบใจตัวเองว่าไผ่หลิวเก่งมากแล้วที่เดินมาไกลได้ขนาดนี้
“นี่คือไผ่หลิวจะมาร่วมทีมกับเรานะครับ ไผ่หลิว… แนะนำตัวกับทีมหน่อย” เสียงของพี่ภูเรียกสติฉันให้กลับมาจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
“สวัสดีค่ะทุกคน ไผ่หลิวนะคะ” พูดแนะนำตัวพร้อมกับฉีกยิ้มแจกเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ สามารถแนะนำไผ่หลิวได้ทุกอย่างค่ะ ตัวไผ่หลิวเองก็จะทุ่มแรงกายแรงใจช่วยงานของทีมเต็มที่เหมือนกันค่า”
“สวัสดีจ้าไผ่หลิว ฉันชื่อลูกเกดนะยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ” ผู้หญิงที่ชื่อลูกเกดทักทายฉันตอบ
เอาล่ะ! ฉันได้มิตรมาแล้วหนึ่ง
“ที่นี่งานหนักหน่อยนะครับ ถ้ามือไม่ถึงก็คงจะอยู่ได้ไม่ยืดหรอก”
แล้วฉันก็น่าจะได้ศัตรูเพิ่มมาอีกหนึ่งเหมือนกัน หลังจากที่ผู้ชายคนหนึ่งในทีมพูดขึ้นมา
หน้าตาก็ดี! ทำไมปากเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้ ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ยิ้มให้เบา ๆ ถือว่าฝากเอาไว้ก่อนละกันยกนี้เพราะเห็นว่าเข้ามาวันแรก แต่ครั้งหน้าฉันไม่เงียบยอมโดนแซะอีกแล้วนะจ๊ะ
“ภัทรก็อย่าพูดให้ไผ่หลิวใจเสียสิ” ลูกเกดหันไปบอกผู้ชายคนนั้น เห็นว่าชื่อภัทรล่ะมั้ง
“เราก็แค่พูดความจริง แต่ถ้าพี่ภูรับเข้ามาเพราะคิดว่าฝีมือถึงร่วมงานกันได้ดีเราก็ไม่ได้อะไรด้วยอยู่แล้ว ขอแค่อย่าถ่วงทีมก็พอเพราะว่าทีมเราเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ถ้ามีตัวถ่วงอยู่ด้วยแล้วผลงานไม่ดี เกิดโดนยุบขึ้นมาทำไงอะทีนี้”
“เอาล่ะ ๆ เบาหน่อยก็ได้ภัทร นายยังไม่ได้รู้จักไผ่หลิวดีเลย อย่าเพิ่งอคติสิ รอดูผลงานกันก่อนแล้วก็เชื่อมือพี่หน่อยพี่ไม่พาทีมเราล่มหรอก”
พี่ภูพูดเสียงเชิงตำหนิผู้ชายที่ชื่อภัทรอยู่ไม่น้อย ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่งแนะนำตัวกันเสร็จครบทุกคนพวกเราก็ออกจากห้องประชุมมาแล้วลูกเกดก็เป็นคนพาฉันไปนั่งที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะของเธอเอง
“เรื่องที่ภัทรพูดอย่าไปเก็บมาใส่ใจเลยนะไผ่หลิว หมอนั่นเป็นคนพูดตรงเกิ๊นแบบนี้ตลอดแหละ แต่ลึก ๆ แล้วก็แอบใจดีอยู่นะแค่แสดงด้านดีไม่ค่อยเก่งน่ะ” พอนั่งโต๊ะของตัวเองแล้วลูกเกดก็หันมาเม้ากับฉันทันที
“ฮ่า ๆ ฉันไม่เก็บมาใส่ใจหรอกกับเรื่องแค่นี้ รับมือได้สบายจ๊ะ” ฉันหันไปตอบลูกเกดตามที่รู้สึกจริง ๆ
“สวัสดีครับทุกคน…” เสียงพูดที่ดังขึ้นทำให้พนักงานคนอื่นรวมถึงฉันหันไปมองด้วย
“สวัสดีครับคุณพิเชษฐ์” พี่ภูลุกขึ้นไปกล่าวทักทาย “มาถึงที่นี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
ฉันเดาว่าคงจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงหน่อยล่ะนะเพราะดูจากอายุด้วยแล้ว น่าจะพวกหนึ่งในผู้บริหารละมั้ง (เดาเองล้วน ๆ)
“คนนี้เป็นเลขาส่วนตัวของท่านประธานใหญ่น่ะ” แล้วฉันก็ได้คำตอบที่เดามั่วไปก่อนหน้านี้ เมื่อลูกเกดเอี้ยวตัวมากระซิบบอกฉัน
“ผมจะมาแจ้งว่าต่อจากนี้ท่านรองประธานจะมาเป็นคนคุมงานในส่วนนี้ทั้งหมดนะครับ พอดีท่านประธานใหญ่อยากให้เขาเริ่มเข้ามาดูแลในส่วนของการบริหารแล้ว และอยากให้เริ่มจากแผนกนี้ไปก่อนครับ” เลขาของท่านประธานใหญ่พูดเสียงที่ดังมากพอที่จะให้ได้ยินกันทั้งแผนก
“ฉันว่าคงเป็นลูกชายของประธานแหละไผ่หลิว เห็นว่าก่อนหน้านี้เขาไปดูแลในส่วนของหน้างานโครงการต่าง ๆ เสียมากกว่าเพราะว่าจบด้าน
วิศวะมา นี่ก็คงเริ่มมาจับงานด้านบริหารแล้วแหละนะ”
ลูกเกดยังคงกระซิบบอกฉันต่อไปซึ่งฉันเองก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ ทีนี้ก็มีคนที่เป็นเด็กเส้นเหมือนฉันแล้วสินะ แถมยังเส้นใหญ่กว่าฉันด้วย
“ได้เลยครับคุณพิเชษฐ์… แล้วนี่คุณนักรบไปไหนละครับ ผมก็นึกว่าจะมาพร้อมกันเสียอีก” พี่ภูพูดตอบกลับ
นักรบอย่างนั้นเหรอ?
ชื่อเหมือนเพื่อนของรันเวย์เลยแฮะ
แต่ว่าก็คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง…
“อ้อ! นั่นไงมาพอดีเลย” คุณพิเชษฐ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะหันไปกวักมือเรียก ‘คุณนักรบ’ ให้เข้ามา
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูทราคาแพงเดินเข้ามายังแผนกที่ฉันอยู่ก่อนจะก้มหัวเพื่อทักทายพนักงานเล็กน้อย
และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา…
เราสองคนสบตากันและฉันแอบเห็นว่านักรบเองก็ดูจะตกใจที่เจอฉันเหมือนกัน แต่เสี้ยววิเขาก็กลับมาทำหน้านิ่งเฉยตามปกติ ส่วนไผ่หลิวคนนี้น่ะเหรอตาค้างใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โลกจะกลมอะไรขนาดนั้น!
นักรบนี้ก็คือคนที่พาฉันเข้านอนเมื่อหลายวันก่อน!!
นึกว่าคงจะไม่ได้เจอกันอีก แต่กลายเป็นว่าตอนนี้มาทำงานที่เดียวกันแถมเขายังมาในฐานะเจ้านายฉันอีกด้วย…
ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าโชคดีที่คืนนั้นไม่มีอะไรเลยเถิด ก็อาจจะแค่คนเมาพูดเพ้อเจ้ออะไรไปก็เท่านั้น ถ้ามากกว่านั้นมีหวังฉันได้ยื่นใบลาออกกับพี่ภูตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานเป็นแน่
ชีวิตการทำงานที่แรกของฉันคงไม่ราบรื่นแฮปปี้แบบที่วาดฝันไว้แล้วล่ะมั้งคราวนี้ ไหนจะเพื่อนร่วมงานที่จ้องจะแซะกันอยู่ตลอด แล้วก็มาเจอเจ้านายที่ดันเป็นคนรู้จักห่าง ๆ นี่อีก
แต่ฉันคิดว่าคนแบบเขาคงไม่มายุ่งอะไรกับฉันเท่าไรหรอก เพราะว่านักรบก็เหมือนจะเป็นคนเงียบนิ่งมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนี่นา อีกอย่างการที่เพื่อนสนิทของเราแต่งงานกันก็ไม่ได้หมายความว่าเราสองคนจะต้องสนิทกันไปด้วยนี่จริงไหม?
เอาเป็นว่าฉันก็อยู่ในส่วนของฉัน เขาก็อยู่ของเขาไป!
ท่องเอาไว้นะไผ่หลิว
ทำงาน! ทำงาน! ทำงาน!