ตอนที่ 3 โลกกลม แต่ใครเป็นคนลิขิต (1)

1332 คำ
ไผ่หลิว’s Part เฮือกกก!! “ทิวววว!” ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน… ฝันที่เคยเกิดขึ้นจริงเมื่อหลายปีมาแล้ว ความทรงจำที่ติดตาติดใจฉันอยู่ตลอด ทุกอย่างยังชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน น้ำตาที่ติดอยู่ตรงหางตาเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าฝันนั้นสมจริงมากขนาดไหน พอตั้งสติได้และสำรวจตัวเองอีกครั้งก็พบว่าฉันยังอยู่ในชุดที่ไปงานแต่งของโมอาเมื่อคืนอยู่เลย ภาพสุดท้ายที่จำได้เหมือนจะนั่งกินไวน์อยู่กับนักรบที่เป็นเพื่อนของรันเวย์สินะ แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย… ว่าแล้วก็อยากตีตัวเองแรง ๆ ปล่อยตัวปล่อยใจให้เมาจนภาพตัดแบบนั้นไปได้ยังไงกัน แล้วยิ่งกับคนที่ไม่สนิทด้วยแล้ว นี่ยังดีที่หมอนั่นพามานอนแล้วห่มผ้าให้อย่างดี ไม่รู้ว่าเมื่อคืนพูดเพ้อเจ้อหรือทำอะไรน่าอายออกไปบ้างหรือเปล่า แต่ก็ช่างมั่นเถอะ! ยังไงก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกอยู่แล้ว โชคดีที่ไม่มีอะไรเลยเถิดไปมากกว่านั้น! เห็นฉันคุยไปทั่วคั่วไปเรื่อยแบบนี้แต่ฉันก็ยังไม่เคยไปไกลกับใครจนถึงขั้นนอนด้วยกันเลยสักครั้งนะ ไม่ได้จะเก็บซิงไว้ชิงโชคหรืออะไร แต่แค่ไม่อยากผูกพันธ์กับใครมากเกินไปแล้วก็ไม่อยากเอาเซ็กส์มาเป็นเครื่องมือแก้เหงาด้วยเหมือนกัน ฉันลุกจากเตียงและตรงเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำล้างหน้าตัวเองให้เรียบร้อย นอนไปทั้งเครื่องสำอางแบบนั้นขืนยังปล่อยไว้นานกว่านี้มีหวังสิวคงได้ขึ้นที่หน้ากันพอดี ครืด~ ครืด~ เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่ามีคนโทรเข้ามาพอดี ฉันจึงเดินไปกดรับสายและกรอกเสียงระดับสี่ลงไป “ฮัลโหลเจ๊วินนี่!” เจ๊วินนี่คือรุ่นพี่ของฉันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เราสองคนสนิทกันมากเพราะว่านิสัยคล้ายกันแล้วเจ๊วินนี่ก็ชอบมาลากฉันไปใช้เป็นเหยื่อล่อผู้ชายที่นางเล็งไว้ตลอด จนฉันเริ่มคบกับทิวก็ไม่ได้ทำแบบนั้นอีก เพราะรายนั้นทิวทัศน์น่ะ ทั้งขี้หวงและขี้หึงยิ่งกว่าอะไร… ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดพวกนี้ออกไปอย่างแรงพอสมควร เพราะไม่อยากต้องนั่งซึมคิดถึงคนที่จากไปแล้วทั้งวันอีก แค่ฝันเมื่อคืนก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว หลังจาเข้ามหาวิทยาลัยฉันกับเจ๊วินนี่ก็มีติดต่อกันบ้าง ไม่ได้ห่างหายกันไปเสียทีเดียว นี่ที่โทรมาคงเพราะรู้ว่าฉันกลับมาจากต่างประเทศแล้วเป็นแน่ [ขอร้องเลยยัยไผ่หลิว… เรียกฉันว่าภูวินเถอะ] ปลายสายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งและค่อนข้างที่จะจริงจัง ชื่อวินนี่เป็นชื่อที่นางตั้งเองมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่ชื่อจริง ๆ ของเจ๊แกคือ ภูวินต่างหาก นี่สงสัยที่อยากให้เรียกว่าภูวินเพราะว่าเดี๋ยวนี้เจ๊แกไม่ได้ออกสาวมากเท่าเมื่อก่อนแล้วละมั้ง “ฮ่า ๆๆๆ ว่าแต่ที่โทรมาเนี่ย จะชวนไปหาเหยื่ออีกเหรอจ๊ะ” ฉันถามเข้าประเด็นทันที เพราะเวลานัดเจอกับเจ๊วินนี่ทีไรก็ไม่พ้นเรื่องปาร์ตี้หรอก [ป่าว! ฉันจะถามว่าแกคิดจะกลับมาอยู่ที่นี่เลยหรือเปล่า เรียนจบแล้วนี่หรือว่าจะกลับไปอยู่ที่นั่นอีก] “ทำไมอะเจ๊?” [พอดีเจ๊ เอ๊ย! ฉันได้ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัท และกำลังจะตั้งทีมใหม่ขึ้นมาเพื่อทำเฉพาะการสื่อสารและพีอาร์โดยตรง ฉันก็เลยว่าอยากจะดึงแกมาร่วมทีม ถ้าแกไม่คิดจะกลับไปเมืองนอกแล้ว] “เรียนจบปุ๊ปก็มีงานทำปั๊บ ใครมันจะโชคดีได้เท่าไผ่หลิวคนนี้กันเนอะเจ๊” ฉันแกล้งพูดทีเล่นทีจริง [พูดแบบนี้ก็คือตกลงใช่ไหม?] “แล้วฉันไม่ต้องไปสมัครและสัมภาษณ์อะไรพวกนั้นด้วยเหรอ แบบนี้เข้าไปจะโดนเขม่นว่าเด็กเส้นเจ๊ไหมเนี่ย” ฉันถามออกไปแบบติดตลก แต่ว่าในใจก็แอบกังวลอยู่เหมือนกัน เพราะฉันเองก็ไม่อยากเริ่มงานด้วยการที่ไม่ถูกกับคนในทีมหรอกนะ ไผ่หลิวเหนื่อยเกินกว่าจะไปสู้รบตบมือกับใครแล้วค่ะ! [ไม่หรอก… เดี๋ยวพอทำงานไปทุกคนก็รู้ว่าแกมีความสามารถเองแหละ] “เจ๊เอาอะไรมามั่นใจในตัวฉันเนี่ย ฮ่า ๆๆๆ” [ฉันถือว่าแกตกลงนะไผ่หลิว ลองมาดูก่อนก็ได้ถ้าเกิดว่าไม่สะดวกไม่โอเคก็ค่อยออก แต่… ฉันคงไม่อนุมัติ ฮ่า ๆ] “อ้าว! อิเจ๊!!!” [ฉันจะวางแล้ว! และเดี๋ยวจะส่งรายละเอียดเข้ามเมลให้อีกที อ้อ… แล้วก็ถ้าอยู่บริษัทรบกวนช่วยเรียกฉันว่าพี่ภูเถอะขอร้อง อย่ามาหลุดเรียกเจ๊วินนี่อีกนะ!] ติ๊ด~ พูดจบเจ๊วินนี่ เอ๊ย! พี่ภูก็กดวางสายไป ราวกับกลัวว่าฉันจะต่อปากต่อคำกับเขายาวมากไปกว่านี้ แต่ว่านี่ไม่เรียกว่ามัดมือชกให้ไปทำงานด้วยกันหรอกเหรอ เอาเถอะ! ฉันคิดว่าก็คงจะลองไปดูนั่นแหละ งานการสมัยนี้หายากจะตาย มีคนยื่นเนื้อมาให้ถึงปากขนาดนี้เสือแบบฉันก็ต้องรีบตะครุบไว้ก่อนแหละนะ คิคิ ถือว่าหาอะไรทำแก้เหงาไปด้วยก็แล้วกัน เพราะฉันในตอนนี้ก็ไม่ได้คุยกับใครแล้ว ก็พวกนั้นเรื่องเยอะอยากจะข้ามขั้นกันเองนี่… แล้วแถมเมื่อคืนยังฝันถึงเรื่องทิวอีก อย่างน้อยถ้ามีอะไรทำให้ตัวเองยุ่ง ๆ เข้าไว้ก็นาจะดีกว่านั่นแหละ ไผ่หลิวพร้อมเริ่มงานแล้วค่ะ! หลายวันต่อมา… ฉันยืนอยู่หน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศที่พูดชื่อไปใคร ๆ ก็ต้องร้องอ๋อ เพราะไม่ว่าจะบ้านหรือคอนโดชื่อดังก็ล้วนแต่เป็นโครงการของที่นี่ทั้งนั้น เห็นเจ๊วินนี่ เอ๊ย พี่ภูเล่าว่านี่ยังไม่รวมห้างสรรพสินค้าและโรงแรมอีกด้วยนะ แบบนี้จะเรียกว่าบริษัทของเจ้าสัวก็คงจะไม่ผิดนักหรอก ติ๊ง! ลิฟต์พาฉันมาถึงชั้นที่พี่ภูบอกไว้… เมื่อเดินเข้ามาด้านในส่วนที่น่าจะเป็นออฟฟิศ ฉันก็เจอพี่ภูที่ยืนอยู่ด้านหน้าพอดี เหมือนกับว่ากำลังยืนรอฉันอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะว่าก่อนหน้านี้ฉันไลน์บอกเขาเอาไว้ว่ากำลังจะขึ้นมาแล้ว แบบนี้ยิ่งดูเหมือนเด็กเส้นมากยิ่งกว่าเดิมอีก จะโดนเหม็นขี้หน้าไหมเนี่ย “สวัสดีค่ะพี่ภู” ฉันพูดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม แต่แอบซ่อนรอยยิ้มขำเอาไว้ตอนที่ก้มหน้าลง ก็แบบว่าฉันกับเขาไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้กันนี่นา มันเลยดูแข็งดูเกร็งไปซะหมดจนอดที่จะขำออกมาไม่ได้ “ครับ… ไผ่หลิว” เขาทักทายฉันกลับ ว่าแต่ครับ? อย่างนั้นเหรอ แล้วไหนจะเสียงเข้ม ๆ นิ่ง ๆ นั่นอีก ฉันพยายามกลั้นขำอยู่แต่ว่าก็ต้องอดทนไว้เพื่อรักษาหน้าของคนที่กำลังจะมาเป็นหัวหน้างานของฉัน ตอนนี้พี่ภูไม่เหลือคราบของเจ๊วินนี่ที่เคยรู้จักแล้วล่ะ เหมือนว่าเขาจะสังเกตสีหน้าของฉันออกนะ ตอนนี้พี่ภูถึงได้ถลึงตาดุใส่ฉันพร้อมกับขยับปากที่อ่านได้ว่า ‘อย่าโป๊ะ!’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม