สอบวันสุดท้ายมัธยมศึกษาปีที่ 5
“ไผ่หลิววววววว~ เมื่อคืนฉันเผลอหลับไปเลยไม่ได้อ่านที่จะสอบวันนี้เลยอ่า” ชายหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาแฟนสาวของตัวเองที่นั่งอยู่หน้าห้องสอบ
“ฉันว่าแล้ว! เพราะตอนที่คอลกันเรียกเท่าไรนายก็ไม่ตอบ” ไผ่หลิวหันไปพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะชินแล้วกับเรื่องเหล่านี้
“โถ่! อย่าทำหน้าตาเบื่อกันแบบนั้นสิที่รัก ติวให้ทิวหน่อยนะยังพอมีเวลา” ทิวทัศน์พูดขึ้นพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ แฟนสาวของตัวเอง
ทิวทัศน์เป็นแฟนกับไผ่หลิวมาได้ 2 ปีแล้ว เริ่มจากความเป็นเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกัน แถมยังเป็นเด็กหลังห้องเหมือนกันอีก ถ้าทิวทัศน์เป็นตัวป่วนประจำห้องไผ่หลิวก็คือยัยตัวแสบประจำห้องเช่นกัน
“เอ๊ะ! มุมปากนายไปโดนอะไรมา” ไผ่หลิวพูดขึ้นเมื่อมองหน้าแฟนหนุ่มชัด ๆ แล้วสังเกตถึงความผิดปกติบางอย่าง
รอยช้ำที่ตรงมุมปากของทิวทัศน์ เมื่อวานยังไม่เห็นมีเลย…
“อ่อนี่น่ะเหรอ…”
“นายไปมีเรื่องมาอีกแล้วเหรอทิว!!!” ยังไม่ทันที่ทิวทัศน์จะได้บอกอะไร ไผ่หลิวก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจสักเท่าไร “ไปมีมาตอนไหน อย่าบอกนะว่าเมื่อเช้าน่ะ”
“นิดหน่อยน่า แต่เรื่องมันจบแล้วล่ะต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้ว เพราะฉันสัญญากับเธอไว้ว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ ก็เลยส่งท้ายกันหน่อยน่ะ”
“เหอะ! ให้มันจริงอย่างที่พูดแล้วกันและนี่เจ็บมากไหม?” ถึงแม้จะบ่นคนรักอย่างไร แต่ไผ่หลิวก็ยังคงเป็นห่วงทิวทัศน์อยู่ดี
ทิวทัศน์จะเป็นคนที่มีเรื่องบ่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกนักเลงหรือว่าเป็นฝ่ายหาเรื่องคนไปทั่วหรอก เพียงแต่ว่าคนที่เข้ามาหาเรื่องทิวทัศน์ล้วนแต่หมั่นไส้เขากันทั้งนั้น ด้วยหน้าตาที่โดดเด่นจนป็อปปูล่าในโรงเรียนและไหนจะปากไวไม่ยอมคนอีกต่างหาก ทิวทัศน์ก็เลยมีเรื่องเข้ามาหาตัวอยู่เป็นประจำ
จากเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่คนละกลุ่ม ความรู้สึกที่มีให้กันเริ่มเปลี่ยนไปในวันหนึ่งที่ทิวทัศน์กำลังโดนหาเรื่องอยู่แล้วไผ่หลิวผ่านไปเห็นพอดี ด้วยความที่วันนั้นอารมณ์เธอไม่ค่อยดีอยู่แล้วก็เลยพาลด่าทุกคนตรงนั้นจนกระเจิงไปกันหมด มีแต่ทิวทัศน์ที่ยืนขำหญิงสาวอยู่ไม่ยอมไปไหน
หลังจากวันนั้นทิวทัศน์ก็ตามจีบไผ่หลิวเงียบ ๆ มาตลอดจนในที่สุดเธอก็ใจอ่อนยอมเป็นแฟนด้วย ทุกอย่างราบรื่นและหวานชื่นดีจะมีก็แต่เรื่องคู่อริของทิวทัศน์ที่ไม่ยอมจบคอยแต่จะหาเรื่องและต่อยตีกันอยู่เสมอ
ไม่นานมานี้ไผ่หลิวยื่นคำขาดว่าเธอทนเห็นทิวทัศน์เป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้ อีกอย่างปีหน้าก็จะขึ้นมอหกแล้วต้องเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว ถ้าทิวทัศน์ไม่ไปเคลียร์ให้จบเธอก็คงขอจบความสัมพันธ์กับเขาเสียเอง แบบนั้นทิวทัศน์คงจะยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้
“เห็นว่าเธอเป็นห่วงฉันขนาดนี้ต่อให้รถชนฉันก็ไม่เป็นไรหรอกน่า” ทิวทัศน์หยอดคำหวานพร้อมกับจับมือแฟนสาวเอาไว้
เมื่อเช้าเขาตั้งใจไปหาคู่อริเพื่อเคลียร์เรื่องทุกอย่างให้จบ เพราะเขาไม่อยากผิดสัญญาที่ให้ไว้กับไผ่หลิว ทางฝั่งคู่อริเองก็บอกว่าจะยอมจบแต่โดยดี โดยมีข้อแม้ว่าทิวทัศน์ต้องยอมโดนซ้อมแบบไม่ตอบโต้อะไร
ใช่แล้วล่ะ… นอกจากรอยช้ำที่มุมปาก ภายในเสื้อนักเรียนของทิวทัศน์ก็มีรอยช้ำอยู่อีกหลายที่ เพียงแค่ว่าไผ่หลิวไม่ได้เห็นมันก็เท่านั้น และเขาก็จะไม่มีวันให้เธอได้เห็นเป็นอันขาดด้วย
“ทำเป็นพูดดีไปเถอะย่ะ! งั้นมาอ่านตรงนี้ก่อนเลยเดี๋ยวสอบวิชาแรกเสร็จแล้วค่อยติววิชาถัดไป”
“คร๊าบบบบบ~”
ตอนเย็น
“ไผ่หลิวปิดเทอมนี้ไปเที่ยวไหนไหมอะ ฉันว่าจะเข้าไปติวที่กรุงเทพเผื่อเธอสนใจจะไปด้วยกัน” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเธอ
เป็นธรรมดาที่เด็กต่างจังหวัดจะเข้าไปเรียนเสริมพิเศษในกรุงเทพเพื่อที่จะได้เทคนิคและแนวข้อสอบที่อัปเดตตรงตามที่จะต้องใช้สอบของปี
นั้น ๆ ถึงแม้ว่าจังหวัดของเธอจะมีติวเตอร์สอนพิเศษอยู่มากก็ตามหรือที่จริงจะเรียนออนไลน์เอาก็ได้ แต่นักเรียนส่วนมากก็หาเรื่องที่จะเข้าไปเรียนสดในกรุงเทพอยู่ดีแหละ ประมาณว่าเรียนไปด้วยเที่ยวไปด้วย
“ยังไม่ได้คิดเลย แต่ถ้าเธอจะไปติวฉันคงขอบายอะปิดเทอมทั้งทีก็อยากจะพักสมองแล้วค่อยเริ่มใหม่ตอนเปิดเทอมก็แล้วกัน ฮ่า ๆๆ”
ไผ่หลิวตอบแบบทีเล่นทีจริงไป ถึงแม้ว่าไผ่หลิวจะแสบซ่ายังไงแต่เธอก็เรียนดีมาเสมอ และคงจะเป็นตัวท็อปของห้องเลยก็ได้ถ้าเธอขยันมากกว่านี้ แต่ติดตรงที่ไผ่หลิวขี้เกียจและเลือกที่จะเรียนแบบชิล ๆ ให้ผ่านไปก็เท่านั้น เธอจึงมีผลการเรียนอยู่ระดับกลาง ๆ ของชั้นเรียน
“โอเคจ๊ะ งั้นฉันกลับก่อนนะเจอกันเปิดเทอมมอหก”
“บ๊ายบายย~ เรียนให้สนุกนะยะ ฮ่า ๆๆ”
ไผ่หลิวโบกมือทิ้งท้ายเพื่อนร่วมห้องก่อนที่เธอจะเดินลงจากห้องสอบมาพร้อมกับมองหาทิวทัศน์ไปด้วย
ครืด~
“ฮัลโหล นายหายไปไหนเนี่ย!” ไผ่หลิวรับสายคนที่เธอกำลังหาตัวอยู่ในตอนนี้พร้อมเตรียมจะบ่น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน
[โทษทีที่รัก ฉันมาเอาของที่สั่งไว้หน้าโรงเรียนน่ะ]
“ของอะไร? สำคัญมากนักหรือไงทำไมไม่รอกันก่อน”
[สำคัญสิ… ก็ของขวัญวันครบรอบของเราไง เธอเดินมาหน้าโรงเรียนเลยฉันยืนรออยู่ เร็ว ๆ เข้านะครับ”
ติ๊ด~
หลังจาสายตัดไปไผ่หลิวก็เดินไปที่หน้าโรงเรียนตามที่คนรักของเธอบอกไว้ และเมื่อไปถึงก็เห็นทิวทัศน์ยืนถือลูกโป่งช่อโตอยู่อีกฝั่งของถนน ซึ่งนั่นก็เรียกรอยยิ้มจากไผ่หลิวได้เป็นอย่างมาก
ครั้งหนึ่งไผ่หลิวเคยพูดไว้ว่าอยากได้อะไรน่ารักกุ๊กกิ๊กเป็นของขวัญบ้าง ไม่ได้อยากได้พวกของมีค่าแบบที่ทิวทัศน์ชอบซื้อมาเปย์เธออยู่เสมอ และทิวทัศน์ก็แย้งว่าของที่เขาซื้อให้นั้นใช้ประโยชน์ได้ ส่วนของที่ไผ่หลิวอยากได้มันแค่สวยงามชั่วคราวแล้วก็หมดประโยชน์ต้องทิ้งไป
ถึงเขาจะเคยบอกเอาไว้แบบนั้น แต่สุดท้ายทิวทัศน์ก็ยอมซื้อมันมาให้เธอจนได้สินะ…
ทิวทัศน์เมื่อเห็นว่าแฟนสาวยืนยิ้มอย่างดีใจอยู่อีกฝั่งของถนนหัวใจเขาก็พองโตขึ้นมาเพราะแค่ได้เห็นคนรักดีใจแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเขา
ทิวทัศน์เตรียมจะข้ามถนนมาเพื่อมอบช่อลูกโป่งที่คนรักอยากได้นักหนาให้เธอ ขนาดเห็นจากไกล ๆ ยังรู้ได้ว่าไผ่หลิวดีใจแค่ไหน ถ้าเข้าไปเห็นใกล้กว่านี้แฟนสาวของเขาคงยิ้มจนตาหยีไปหมดแล้วมันก็คงจะน่ารักมากเป็นแน่
เมื่อมองซ้ายขวาเห็นว่าไม่มีรถผ่านมาแล้ว…
ทิวทัศน์จึงเดินข้ามถนนไป…
เอี๊ยดดด!
โครมมมมมมม!!
บิ๊กไบค์คันโตที่ขับออกมาจากซอยด้วยความไวพุ่งเข้าปะทะกับร่างของทิวทัศน์เข้าอย่างจังจนเขากระเด็นไปไกลพอสมควร
“ทิววววววว!”
เสียงของไผ่หลิวตะโกนด้วยความตกใจก้องไปทั่วบริเวณ ผู้คนมากมายเริ่มมามุงในจุดที่เกิดเหตุ ส่วนรถบิ๊กไบค์คู่กรณีตอนนี้ขับหนีหายไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่เวลาที่จะมากังวลเรื่องนั้น
เพราะสิ่งสำคัญคือคนที่นอนเจ็บอยู่ตอนนี้
ทิวทัศน์!!
“ทิว… ฮืออออ ๆๆ เจ็บไหม เจ็บตรงไหนบ้างฉันโทรเรียกรถพยาบาลแล้ว อดทนก่อนนะ ฮือออออ”
ไผ่หลิววิ่งมาถึงตัวคนรักก็ได้น้ำตามากมายก็หลังไหลออกมาจนเปื้อนใบหน้าสวยเต็มไปหมด ภาพที่เธอเห็นทิวทัศน์นอนจมกองเลือดแถมลูกโป่งในมือเขาก็หลุดลอยออกไปไกลนั้นทำเอาไผ่หลิวเจ็บปวดไม่แพ้กัน
ถ้าเธอไม่อยากได้ของพวกนี้… เรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้!
“ฉะ ฉันไม่เจ็บเลย บอกแล้วไงว่าต่อให้รถชนฉันก็ไม่เจ็บ อย่าร้องไห้เลยนะที่รัก” ทิวทัศน์พยายามพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา พยายามฝืนยิ้มให้คนรักแม้ว่าร่างกายเขาตอนนี้จะเจ็บปวดไปทุกส่วนแล้วก็ตาม
“ฮือออ ๆๆๆ ทิว… อดทนก่อนนะ อย่าหลับนะทิว”
“อย่าร้องไห้สิ เธอไม่เหมาะกับน้ำตาเลย”
“ฮืออออ ถ้าไม่อยากให้ร้องก็อย่าเป็นอะไรนะ” ไผ่หลิวพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาไปด้วย แต่ยิ่งเช็ดเหมือนมันก็ยิ่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้เลย
“ละ ลูกโป่งลอยไปหมดเลย ขะ ขอโทษนะ อึก!”
“ฮืออออ ช่างมันสิ ฮือ ๆๆ ไม่เอาก็ได้ลูกโป่งพวกนั้น ฉันต้องการแค่นาย นายคนเดียวก็พอนะทิว ฮืออออ จับมือฉันไว้ก่อนนะรอก่อนรถพยาบาลกำลังมาแล้ว อดทนก่อนนะทิว”
“ไว้ถ้าหายแล้วฉันจะซื้อให้ใหม่ช่อใหญ่กว่าเดิมนะ อึก!” ทิวทัศน์จับมือไผ่หลิวแน่นพร้อมกับยิ้มให้เธอบาง ๆ เพื่อหวังจะปลอบใจแฟนสาวที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดตรงหน้าได้บ้าง
“งั้นก็รีบหายไว ๆ ฉันจะรอ ฮืออออออ”
“เดี๋ยวฉันก็หาย ขอพักแปปนึงเดี๋ยวก็หายแล้ว” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ
“ฮือออ ๆ ทิว… ทิว!!! ตื่นมาก่อนสิ อย่าหลับนะทิว ฮือออออ”
“หลบหน่อยครับ รถพยาบาลมาแล้ว!”
“ทิววว!!! ฮือๆๆๆ”
.
.
สุดท้ายแล้วทิวทัศน์ก็ไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย…
ตลอดการปิดเทอมไผ่หลิวเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้องจนพ่อกับแม่ของเธอเป็นห่วง มีครั้งหนึ่งที่ไผ่หลิวเงียบไปไม่มีการตอบรับจนพ่อต้องพังประตูเข้ามาเพราะคิดว่าลูกสาวเพียงคนเดียวอาจจะคิดสั้น แต่โชคยังดีที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปไผ่หลิวก็เหมือนจะทำใจได้อยู่บ้าง เธอสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นซะทีเดียวเพราะว่าถึงแม้ไผ่หลิวจะยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย
ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรักทำให้ไผ่หลิวกลัวการมีความรัก กลัวว่าถ้ารักใครสักคนจนหมดใจอีกครั้งจะทำใจไม่ได้ถ้าวันหนึ่งต้องเสียเขาไปอีกครั้ง
ไผ่หลิวคงจะเป็นบ้าแน่ ๆ…
แต่ว่าชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เธอจะจมอยู่กับความเศร้าไปตลอดก็คงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเริ่มใหม่กับใครเหมือนกัน กลัวว่าวันหนึ่งเธอจะรักคนอื่นจนลืมทิวทัศน์ไป
ไผ่หลิวจึงเลือกที่จะปิดตายหัวใจตัวเองมาตลอด เล่น ๆ กันน่ะพอได้อยู่หรอก แต่ถ้าเมื่อไรที่อีกฝ่ายล้ำเส้นไผ่หลิวก็ยุติความสัมพันธ์นั้นลงทันทีเหมือนกัน