แสงแฟลชจากสตูดิโอกับเหล่าเด็กน้อยประมานสิบกว่าคนที่มารอคิวถ่ายงานเพื่อโปรโมทแบรนด์เสื้อผ้า ปริมน้อยได้คิวถ่ายที่ห้าและกำลังถ่ายชุดสุดท้ายพอดี
เด็กชายตัวอ้วนไม่ได้ดูงอแงเหมือนเด็กคนอื่น สร้างความประทับให้กับเหล่าทีมงานในกองถ่ายไม่น้อย อีกทั้งผิวพรรณหน้าตาก็ดูน่ารัก เรียกได้ว่าฉายแววนายแบบตั้งแต่เด็กๆเลยก็ว่าได้
"เก่งมากๆเลยครับน้องปริม คุณแม่ครับดูแลน้องด้วย"
"ค่ะ ๆ"
เสียงเรียกของพนักงานในสตูดิโอทำให้รักตาภารีบวิ่งเข้าไปหาปริมน้อยหลังจากที่ถ่ายงานเสร็จแล้ว
"เหนื่อยมั้ยปริม?"
"ไม่เลยค้าบ"
ยิ้มให้ผู้เป็นน้าแก้มแทบปริ รู้สึกภูมิใจที่ได้มีงานทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแม่ ปริมน้อยทั้งฉลาดและรู้ความไปหมดจึงไม่แปลกที่จะเป็นที่รักใคร่ของคุณครูที่โรงเรียน อายุยังน้อยแต่สามารถสอบเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งของโรงเรียนดังได้แล้ว
"เก่งมากและหล่อมากๆด้วย น้าแอบไปดูรูปมาแล้ว ปริมจะต้องชนะผลโหวตแน่ๆ น้ามั่นใจ"
เอามือป้องปากกระซิบบอกหลานชายเบาๆ
"อย่างนั้นก็ดี ดีเลย ค้าบ ปริมจะได้มีเงินให้แม่แล้ว"
ยิ้มออกมาจนแก้มป่องตาหยี ในขณะที่ผู้เป็นน้าสาวยื่นน้ำและขนมให้กิน
"วันนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ เตรียมรอฟังผลที่บ้านเลย"
หนึ่งในทีมงานของกองถ่ายเดินเข้ามาบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพรางยื่นมือไปลูบแก้มป่องๆของปริมน้อยด้วยความเอ็นดู
"ค่ะ ๆ ขอบคุณนะคะ ปริมเดี๋ยวน้าไปเก็บของก่อน นั่งรอตรงนี้นะ"
"ค้าบผม"
รักตาภาเดินเข้าไปเก็บสัมภาระที่ขนมาตั้งแต่เช้า ที่เธอพยายามมากขนาดนี้เพราะอยากจะให้เพื่อนสนิทมีรายได้มากขึ้นในการใช้จุนเจือครอบครัว เนื่องจากปลายฝนโดนตัดขาดจากครอบครัว
บิดาและมารดาไม่อนุญาตให้เธอกลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปอีก หลังจากที่ทำเรื่องงามหน้าให้อายไปทั้งวงตระกูลถึงแม้ว่าไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตร่ำรวยอะไรแต่บิดาของรักตาภาก็มีตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นถึงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีหน้ามีตาในจังหวัดบ้านเกิดของหญิงสาวอยู่ไม่น้อย
และแน่นอนว่าชื่อเสียงด้านลบของบุตรย่อมมีผลกับหน้าที่การงานของบิดา เมื่อโดนตัดขาดปลายฝนเองก็ไม่ได้ขอร้องอ้อนวอนให้พวกท่านให้อภัย เธอตัดสินใจใช้ชีวิตตามลำพังโดยไม่ปริปากขอความช่วยเหลือจากทางบ้านอีกเลย
"เด็กคนนี้ล่ะค่ะพี่ปัณณ์"
ชั้นบนของสตูดิโอมีผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งกับหญิงสาวหุ่นเพรียวหน้าหมวยยืนคู่กันอยู่ ทอดสายตาลงมาแอบมองเด็กน้อยและผู้หญิงที่ทั้งคู่คิดว่าเป็นแม่ของเด็ก
"ก็แค่เด็กหน้าคล้าย อีกอย่างพี่ไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น ให้พี่แวะมาดูอะไรเสียเวลาจริงๆ"
"ไม่ได้บังคับซักหน่อย พี่ปัณณ์มาเองแท้ๆ ในใจก็อยากรู้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ อืม...หนูมาก็ว่าแล้วคนอย่างพี่ปัณณ์คงไม่ไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหนหรอก คุณแม่ก็ระแวงเกินไป"
แค่ก ๆ
ปัณณ์ถึงกับสำลักน้ำที่กำลังยกดื่มเข้าปากเมื่อได้ยินน้องสาวเอ่ยออกมาแบบนั้น
"อายุเท่าไหร่?"
"ใครคะพี่ปัณณ์?"
"เด็กคนนั้น"
ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอๆกับหน้าหล่อเหลาที่ดูนิ่งๆไร้ชีวิตชีวา
"ในแฟ้มประวัติส่วนตัวห้าขวบสามเดือนค่ะ"
ปัณณ์อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ
"อืม ให้มาดูแค่นี้ใช่มั้ย ไม่มีอะไรแล้วพี่กลับก่อนนะ"
ร่างสูงโปร่งร้อยแปดสิบเจ็ดเอี้ยวตัวกลับเตรียมตัวจะก้าวลงบันไดชั้นล่างของสตูดิโอซึ่งสวนกับทีมงานที่กำลังวิ่งขึ้นมาหาอสมาพอดิบพอดี
"คุณมาครับ ค่าตัวเด็กวันนี้จ่ายเลยมั้ย พอดีว่าแม่น้องปริมไม่ได้มาเองให้จ่ายกับญาติของแม่น้องเลยมั้ยครับ?"
"อ้าวเหรอ คนนั้นไม่ใช่แม่ของน้องเหรอ?"
อสมาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ ปัณณ์ที่ได้ยินเต็มสองหูรีบหันควับมาทันท่วงทีเหมือนกัน
"เอาแฟ้มข้อมูลของเด็กมาให้พี่ดูหน่อย"
ก้าวกลับขึ้นมา ก่อนจะแย่งแฟ้มในมือของน้องสาวไปนั่งเปิดดูด้วยความเร่งรีบ
"เด็กชายปริม วราฤทธิ์ มารดาชื่อนางสาวปลายฝน วราฤทธิ์ ไม่มีข้อมูลของพ่อเด็ก ผู้ดูแลคนนี้ชื่อรักตาภา ซึ่งผ่านการอนุญาตจากผู้เป็นแม่แล้ว"
ปัณณ์มือสั่นพร่า จ้องแฟ้มตรงหน้าตาแทบจะถลนก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้น
"เด็กล่ะ หนูมาพี่จะไปหาเด็ก"
"อะไรกันคะพี่ปัณณ์ เกิดอะไรขึ้น?"
อสมาวิ่งตามพี่ชายลงไปชั้นล่างด้วยความงุนงง เด็กคนนั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้กันแน่ พี่ชายของเธอถึงได้ดูลุกลี้ลุกลนเร่งรีบไปซะหมดขนาดนั้น
"เขม เขม เด็กล่ะ"
อสมาถามขึ้นด้วยลมหายใจที่กระหืดกระหอบ ในขณะที่ผู้เป็นพี่ชายวิ่งตามออกไปข้างนอกแล้ว
"กลับไปแล้วครับมีอะไรหรือเปล่าครับคุณมา"
เขมทัศใจจดใจจ่อรอคำตอบจากเจ้านายสาวเผื่อว่ามีอะไรเขาจะได้จัดการทันท่วงที
"อืม ๆโอเคๆไม่มีอะไรไปเถอะ"
อสมาโบกไม้โบกมือให้เขมทัศ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นพี่ชายออกไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วสิ เผลอๆเด็กคนนั้นเป็นหลานของเธอจริงๆขึ้นมา
'ยุ่งแล้วสิ'
เมื่อนึกถึงคำพูดของผู้เป็นมารดาขึ้นมา อสมาถึงกับเปลี่ยนจากเดินช้าเป็นวิ่งสี่คูนร้อยตามพี่ชายออกไปทันที เธอมั่นใจว่าเด็กคนนั้นเกี่ยวข้องกับพี่ชายเธอแน่นอนและเรื่องนี้ให้ผู้เป็นมารดารู้ตอนนี้ไม่ได้ด้วย