ประชาชนชาวเมืองเทียนจิ้นและจากต่างแคว้นที่เดินทางมาชมเทศกาลลอยโคมประทีปต่างพากันตกใจกันถ้วนหน้าเมื่อได้ยินพระบัญชาของชินอ๋องให้ปิดประตูเมืองทั้งขาเข้าและขาออกจนหมด พร้อมสุรเสียงมีรับสั่งดังขึ้น
“พวกเจ้าไม่ต้องตกใจ! ข้ากำลังค้นหาคนสำคัญที่สุดในชีวิต หากแม้นผู้ใดพบเห็นบุรุษร่างบอบบางสวมอาภรณ์ขาวและคลุมหมวกผ้าสีขาว รีบนำความไปแจ้งเบาะแสได้ที่จวนของข้า รางวัลสำหรับผู้ให้เบาะแสหนึ่งร้อยใบไม้ทองคำ!”
สิ้นพระสุรเสียงชาวเมืองต่างพากันเอ็ดอึงกันอย่างถ้วนหน้ากับรางวัลก้อนใหญ่
“โอ้โฮ หนึ่งร้อยใบไม้ทองคำ!!!”
แต่ละคนรีบกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณและเริ่มมีปฏิกิริยาค้นหาบุรุษที่มีลักษณะตามรับสั่ง ในขณะที่จอมมารชินซางส่งสัญญาณให้กองทหารอารักขาของพระองค์เช่นกัน
“ค้นให้ทั่ว!” รับสั่งสุรเสียงดังก้อง
“พ่ะย่ะค่ะ!” กองทหารอารักขาขานรับเร็วพลัน พร้อมแยกย้ายออกค้นหาลักษณะของบุรุษตามรับสั่ง
ท่ามกลางสายตาขององครักษ์ลู่เหอ ที่ยืนปะปนสังเกตการณ์กับชาวเมืองเทียนจิ้นอยู่ในเวลานั้น
“ชินอ๋องมีรับสั่งให้ค้นหาบุรุษสวมอาภรณ์ขาว คลุมหมวกผ้าขาวทำไมกันนะ ทรงล่วงรู้อะไรมาหรือไรจึงมีรับสั่งเช่นนั้น ลักษณะของบุรุษก็ช่างตรงกับองค์หญิงเสียนี่กระไร” ลู่เหอรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาทันที
“แย่แล้ว! นั่นมันลักษณะขององค์หญิง! ไม่ได้การแล้ว!” ร่างสูงขององครักษ์หนุ่มรีบเดินหนีออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว สายตารีบควานหาร้านเสื้อผ้าของบุรุษอย่างเร่งด่วน
ครั้นสายตาเหลือบไปเห็นร้านขายเสื้อผ้าของบุรุษฝั่งตรงกันข้าม ร่างสูงรีบข้ามถนนเดินตรงไปยังร้านดังกล่าวเพื่อซื้อเสื้อผ้าบุรุษชุดใหม่โดยเร็ว
“เถ้าแก่! ขอชุดเดินทางลำลองพร้อมหมวกผ้าคลุมสีอะไรก็ได้ยกเว้นสีขาวมาหน่อยสักสองสามชุด!” ลู่เหอรีบสั่งรายการที่ตนอยากได้อย่างรวดเร็ว
“อ่อ! ได้ขอรับคุณชาย...ว่าแต่เอาขนาดของท่านหรือขนาดไหนดี!” เถ้าแก่ร้านถามกลับไป
“ขนาดไหนอย่างนั้นเหรอ!” ลู่เหอกล่าวพร้อมพลางกวาดสายตาไปทั่วร้านเพื่อหาขนาดของคนที่มีรูปร่างและความสูงใกล้เคียงกับองค์หญิงของตน ก่อนจะเห็นลูกจ้างสาวของร้านกำลังเดินเข้ามาพอดี
“นั่น! ขนาดเท่าแม่นางผู้นั้น” กล่าวพร้อมชี้มือไปทางลูกจ้างสาวคนดังกล่าว
เถ้าแก่ร้านมองตามไปยังทิศทางที่ลู่เหอชี้ไปทันที ก่อนจะนิ่วหน้าเข้าหากัน
“ขนาดเล็กสุดแบบนั้นมิรู้ว่าจะยังมีไหม บุรุษร่างเล็กบอบบางเช่นนั้นร้านของข้าไม่ค่อยมีแต่จะลองหาดู” เถ้าแก่คนดังกล่าวตอบกลับมา
“เจ้ามีเท่าไรก็เอามาเถิด... ข้ามีเวลาไม่มาก...เร็วๆ เข้า!” ลู่เหอรีบกล่าวตัดบท
“ดะ... ได้! ท่านรอสักครู่... อะไรจะรีบขนาดนั้น” ประโยคสุดท้ายเถ้าแก่ร้านบ่นพึมพำ
ในขณะเดียวกัน
ท่ามกลางสายตาของผู้ติดตามที่เห็นองค์หญิงของตนเลือนหายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น แต่ละคนตกใจทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันทีเมื่อพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
“องค์หญิงหายไปไหน! พวกท่านเห็นเหมือนกับข้าไหม! เห็นไหม!” มู่อิงรีบหันกลับไปถามองครักษ์ทั้งหกนาย
“พวกข้าก็เห็นเหมือนกับเจ้านั่นแหละมู่อิง... เป็นไปได้อย่างไรที่องค์หญิงทรงหายไปเช่นนั้น พระนางทรงมีวิชาเร้นกายอย่างนั้นหรอกรึ” หนึ่งในทหารองครักษ์เอ่ยถามมู่อิงกลับมา
“ถามแบบนี้แล้วคิดว่าข้าจะตอบพวกท่านได้อย่างนั้นหรอกเหรอ หรือว่าพวกเราตาฝาดกันไปเอง องค์หญิงคงพระดำเนินเร็วกว่าพวกเรากระมัง”
“เห็นพร้อมกันว่าทรงหายไปต่อหน้าต่อตา แล้วยังจะบอกว่าทรงพระดำเนินหายไปได้ยังไงมู่อิง ไม่ได้การแล้วต้องรีบรายงานท่านลู่เหอ” องครักษ์คนดังกล่าวเอ่ยขึ้นมาทันทีก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นร่างสูงของหัวหน้าตนกำลังวิ่งตรงมาหาเข้าให้พอดี
ครั้นลู่เหอวิ่งมาถึงองครักษ์หนุ่มกวาดสายตามองหาองค์หญิงของตนทันใด
“องค์หญิงไปไหน! เหตุใดจึงมีแต่เพียงพวกเจ้าที่พากันยืนอยู่ตรงนี้เท่านั้น!” องครักษ์หนุ่มเอ่ยถามก่อนจะได้ยินเสียงของมู่อิงเอ่ยตอบกลับมา
“อะ... องค์หญิงหายไปแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” ลู่เหอร้องเสียงหลงออกมาทันที
“พวกเจ้าอารักขากันอย่างไรจึงพลัดหลงองค์หญิงไปได้ แยกย้ายกันค้นหาเร็วเข้า!” ลู่เหอสั่งการออกไปทันที
ทว่าบรรดาองครักษ์ทั้งหกนายและมู่อิงต่างหันกลับมามองหน้ากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“จะไปตามองค์หญิงที่ใดได้เล่าเจ้าคะ พระนางทรงเลือนหายไปต่อหน้าพวกข้าทั้งหมดนี้เลย ไม่ได้พลัดหลงแม้แต่น้อยและพวกข้าก็เห็นพร้อมกันไม่ได้ตาฝาดแต่อย่างใด เพิ่งจะรู้ว่าองค์หญิงทรงมีวิชาเร้นกายด้วย จึงเร้นพระวรกายหายไปได้เองเช่นนี้” นางกำนัลมู่อิงกล่าวรายงาน
และนั่นทำให้องครักษ์ลู่เหอถึงกับยืนนิ่งไปโดยพลันครั้นได้ยินเช่นนั้น
ในขณะที่คำพูดของผู้ติดตามทั้งหมดเฉินวาวาที่อยู่ในร่างล่องหนซึ่งมิได้เดินจากไปไหนแม้แต่น้อย ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ถึงกับยืนงงเป็นไก่ตาแตกไปเลยทีเดียวครั้นได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก้มลงมองเรือนกายของตัวเองซึ่งบัดนี้โปร่งแสงเลือนรางส่องประกายระยิบระยับ
“อะไรกันนี่! ทำไมฉันล่องหนหายตัวได้จริงๆ พวกเขาไม่เห็นเราอย่างนั้นเลยเหรอ... ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แค่คิดเล่นๆ ก็ดันเป็นจริงได้ อะไรมันจะขนาดนั้น... ฝันไปหรือเปล่าเฉินวาวา” หญิงสาวกล่าวพร้อมยกมือบิดเข้าที่ต้นแขนของเธออย่างแรง
“อูยยยย... เจ็บวุ้ย! ไม่ได้ฝันแฮะ แต่มันคือเรื่องจริง” หญิงสาวยืนรำพึงรำพันก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมดวงตาเจ้าเล่ห์ส่องประกายวาววับขึ้นมาทันที
“ว้าว! แบบนี้ก็ดีน่ะสิอยากไปไหนแค่คิดก็เลือนหาย” หญิงสาวรำพึงอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องแต่แล้วหน้าที่เบิกบานเมื่อครู่ที่ผ่านมาแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน
“เฮ้ย! ไม่ได้สิ แล้วถ้าเกิดล่องหนแบบนี้ไปตลอดมันก็เหมือนผีชัดๆ ไม่ได้! ไม่ได้! ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้นถึงจะอึดอัดเพราะมีแต่คนคอยเดินตามอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ดีกว่าอยู่คนเดียวเพียงลำพังในยุคโบราณที่ฉันไม่รู้จักใครเลยแบบนี้ ไม่ได้การแล้วทำไงดี ถึงจะหายจากการล่องหนได้!” หญิงสาวพยายามครุ่นคิดหาวิธีเป็นการใหญ่ก่อนจะเบิกตากว้าง
“คิดออกแล้ว! ถ้าเช่นนั้นก็จะต้องลองพิสูจน์ว่าเพียงแค่คิดก็จะได้อย่างที่นึกเอาไว้ ถ้าเช่นนั้น…” ยังมิทันที่เธอจะกล่าวสิ่งใดออกไปคณะผู้ติดตามของหญิงสาวก็ต้องแตกฮือทันที
กองทหารอารักขาหลายสิบนายกำลังเดินตรงเข้ามาใกล้จุดที่องครักษ์ลู่เหอและผู้ติดตามของเฉินวาวา เป็นเหตุให้หัวหน้าองครักษ์ต้องแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าทันที
“นี่พวกเรา! คืนนี้พากันค้างคืนที่โรงเตี๊ยมนี้กันเถอะ พอพลบค่ำค่อยออกมาลอยโคมประทีป” ลู่เหอแสร้งเอ่ยเสียงดังขึ้นมาทันทีพร้อมรีบเดินนำหน้าก่อนจะส่งสัญญาณให้ทุกคนก้าวเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“อ้าวเฮ้ย! รอกันด้วยดิ! อย่าเพิ่งทิ้งกันไป!” หญิงสาวตะโกนไล่หลังพลางวิ่งตามไปติดๆ
ร่างโปร่งแสงเลือนรางเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงกลางถนน ในขณะที่จอมมารหนุ่มทรงยืนสูงทะมึนทอดพระเนตรไปโดยรอบอยู่ตลอดเวลาและแล้วสายพระเนตรพลันกระทบเข้ากับกลุ่มขององครักษ์ลู่เหอที่กำลังเดินข้ามถนนตรงเข้าไปในโรงเตี๊ยมโดยมีร่างล่องหนของเฉินวาวาเดินตามรั้งท้าย
ทว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรร่างล่องหนของคู่ชะตาที่ทรงพยายามค้นหามาโดยตลอด พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรผ่านไปยังทิศทางอื่นหากปานไฟอัคคียังสถิตอยู่กับพระองค์ เฉินวาวาไม่มีทางรอดพ้นจากสายพระเนตรไปได้อย่างแน่นอน พระวรกายสูงใหญ่ทะมึนยังคงยืนนิ่งอยู่กลางเมืองเช่นนั้น