โจวชินซาง/1

2344 คำ
แคว้นเทียนโจว รัชสมัยโจวเฉินกงฮ่องเต้ อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยที่ราบลุ่ม สามารถเพาะปลูกได้พืชผลทางการเกษตรเป็นอย่างดี พื้นดินอุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็ออกดอกผลมากมาย เทือกเขาน้อยใหญ่เต็มไปด้วยป่าดงดิบ แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านเป็นภูมิประเทศที่ถือได้ว่าหายากอย่างยิ่งยวด เป็นพื้นที่มหามงคลเพราะด้วยมังกรทั้งตัวสถิตอยู่ในแคว้นเทียนโจว ก่อให้เกิดพื้นที่สวยงามและสภาพอากาศที่เหมาะสม อากาศหนาวจัดด้วยหิมะปกคลุมก็มีระยะเวลาเพียงแค่สี่เดือนเท่านั้นไม่ยาวนานดั่งเช่นแคว้นอื่นๆ พากันประสบ และด้วยเพราะความสมบูรณ์ของแคว้นเทียนโจว จึงเป็นสาเหตุทำให้แคว้นน้อยใหญ่ต้องการยึดครองเอามาเป็นของตน พืชผลมหาศาล พื้นที่ทางการเกษตรเป็นอู่ข่าวอู่น้ำเลยทีเดียว มิหนำซ้ำยังอุดมไปด้วยสายแร่ทองคำและเหมืองหยกชั้นดี ความสมบูรณ์ของแคว้นกลับเป็นดาบสองคมที่ทำให้เผชิญปัญหากับสงครามที่แคว้นอื่นต้องการแย่งชิงดินแดน แคว้นเทียนโจวในเวลานี้ถูกแคว้นฉู่ที่เป็นแคว้นพื้นบ้าน บุกประชิดชายแดนตีเมืองในอาณาเขตของแคว้นเทียนโจวไปแล้วถึงห้า เมือง โจวเฉินกงฮ่องเต้ มีพระบัญชาให้องค์รัชทายาทโจวฟางหยาง ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ออกทำศึกสงครามต้านทัพต้าฉู่ แต่แล้วองค์รัชทายาทกลับทรงพ่ายแพ้ บาดเจ็บสาหัสและเสียเมืองใต้การปกครองไปอีกสามเมือง ทำให้แคว้นต้าฉู่บุกประชิดเข้าใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกขณะ หลังการพ่ายแพ้ขององค์รัชทายาททำให้โจวเฉินกงต้องทำหน้าที่นำทัพด้วยพระองค์เอง ด้วยองค์ชายรองและองค์ชายสามสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์ ส่วนองค์ชายสี่ทรงหายสาบสูญไปพร้อมกับพระมารดา ซึ่งเป็นพระสนมเอกของเฉินกงฮ่องเต้เมื่อครั้งเสด็จประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์ บริเวณเทือกเขาเหิงไห่ (เหิงเตี้ยนในปัจจุบัน) ทำให้คงเหลือเพียงองค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นรัชทายาทและองค์ชายห้า ซึ่งมีพระชนมายุเพียงเก้าชันษาเท่านั้น อีกทั้งขุนศึกของพระองค์ที่เคยร่วมรบมาตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ก็พลีชีพในการรบครั้งนี้ ฮ่องเต้โจวเฉินกง ฉลองพระองค์จอมทัพของแคว้นนำทัพบุกตะลุยทัพต้าฉู่อย่างดุเดือด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มไปทั่วสมรภูมิรบของการแย่งชิงดินแดน กองทัพต้าฉู่หนึ่งแสนนาย บุกตะลุยทัพต้าโจวอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ชีวิตของทหารทั้งสองฝ่ายร่วงหล่นดั่งใบไม้ปลิดปลิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของทหารแคว้นเทียนโจวล้มตายเป็นเบือกองท่วมสูงนับหมื่นศพเลยทีเดียว ณ ชายป่าเหิงไห่ ในขณะเดียวกัน บริเวณชายป่าเขตเทือกเขาเหิงไห่แสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นมาโดยพลัน พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ทะมึนของจอมมารชินซาง ยืนทะมึนอยู่เพียงลำพังไร้สิ้นโฉมงามในชุดเจ้าสาวสีขาวเคียงข้างพระวรกายแต่อย่างใด พระเนตรสีเลือดทรงทอดพระเนตรไปทั่วบริเวณด้วยความสงสัยระคนแปลกพระทัยอย่างยิ่งยวด เพราะเหตุใดพระองค์ทรงอยู่เพียงลำพังเช่นนี้ “เหตุใดข้าจึงยืนอยู่เพียงลำพังโดดเดี่ยว นางอยู่ในอ้อมกอดของข้าหายไปได้อย่างไรกัน”รับสั่งรำพึงด้วยความสงสัยพร้อมปิดพระเนตรลงทันทีเพื่อใช้ญาณตบะของพระองค์ค้นหาโฉมงาม เพียงครู่พระเนตรพลันเปิดขึ้นทันใด เมื่อญาณตบะแก่กล้าขั้นที่แปดไม่สามารถบอกพระองค์ได้แม้แต่น้อย ด้วยในเวลานี้ทรงกลายเป็นมนุษย์ไปเสียแล้ว ทันทีที่ปานไฟอัคคีมิได้สถิตอยู่คู่พระวรกาย “แย่แล้ว! ข้าไม่สามารถใช้ญาณตบะและพลังเวทใดๆ ได้เลย ปานไฟอัคคีของข้าสถิตอยู่ที่กายนางหากไม่รีบนำออกมาจะต้องเกิดผลร้ายต่อนางอย่างยิ่งยวด... เหตุใดปานไฟอัคคีของข้าจึงย้ายไปสถิตอยู่ที่กายนางได้... หรือว่า! ” รับสั่งได้เพียงเท่านั้นสุรเสียงเงียบงันลงไปทันใด “จะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือไร ว่านางถือกำเนิดตรงกับเวลาตกฟากของดาวปีศาจเช่นเดียวกับข้า” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัยอย่างยิ่งยวด พระเนตรสีเลือดค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีนิลกาฬดั่งเดิม กายมนุษย์กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ไร้สิ้นกลิ่นอายปีศาจและพลังมารแต่อย่างใด พระองค์ทรงยืนครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะร่ายเวทเพื่อเร้นพระวรกายออกไปจากบริเวณดังกล่าวด้วยความลืมตัวว่ายังมีพลังเวทอยู่คู่พระวรกาย พระพักตร์หล่อเหลาส่ายไปมาเมื่อทรงนึกขึ้นได้ว่าไม่สามารถใช้พลังเวทปีศาจได้อีกแล้ว พระองค์คือมนุษย์ธรรมดา หาได้มีกายทิพย์และพลังเวทชั้นสูงอีกต่อไป “ข้าคงจะหลับใหลนานจนเกินไปเสียแล้วกระมัง จึงหลงลืมอะไรง่ายดายเช่นนี้ นี่ข้าอยู่ในโลกมนุษย์ตรงกับยุคใดกันเล่า แปรเปลี่ยนไปเช่นไรก็มิอาจรู้ได้ ปานไฟอัคคีมิได้อยู่คู่กายข้าก็ต้องใช้ชีวิตดั่งมนุษย์ทั่วไปแล้วกระนั้นสิ” รับสั่งพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลือบสายพระเนตรพบซากศพที่เหลือเพียงโครงกระดูกมนุษย์เท่านั้นกองอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ไม่ไกลจากจุดที่ทรงยืนอยู่เท่าใดนัก จอมมารหนุ่มละสายพระเนตรโดยไม่ใส่พระทัยกับซากศพดังกล่าว เสด็จพระดำเนินไปอีกทิศทาง แต่แล้วก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ดั่งมีสิ่งใดดลพระทัยให้ทรงพระดำเนินย้อนกลับไปทอดพระเนตรอีกครา พระวรกายใหญ่สูงทะมึนค่อยๆ พระดำเนินลัดเลาะตรงไปยังซากโครงกระดูกมนุษย์ ก่อนจะทอดพระเนตรโครงกระดูกสองร่างเป็นสตรีและเด็กทารก เสื้อผ้าอาภรณ์ตลอดจนเครื่องประดับบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่ามีฐานะสูงศักดิ์เลยทีเดียว จอมมารหนุ่มค่อยๆ ทรุดวรกายลงประทับนั่งยองๆ พร้อมเอื้อมพระหัตถ์หยิบแผ่นหยกสีเขียวมรกต สลักชื่อเจ้าของป้ายหยกดังกล่าวเอาไว้ ครั้นนิ้วพระหัตถ์เกลี่ยเศษดินออกจนหมด พระเนตรสีนิลกาฬเบิกกว้างขึ้นมาโดยพลันเมื่อทรงทอดพระเนตรชื่อที่สลักไว้อยู่บนป้ายหยกดังกล่าว “ชินซาง!” รับสั่งพระนามของพระองค์ “ทารกน้อยผู้นี้มีนามดุจเดียวกับข้าหรือนี่ ถ้าเช่นนั้นโครงกระดูกนี้เป็นมารดาของเจ้ากระนั้นสิเด็กน้อย” รับสั่งพร้อมเอื้อมไปหยิบแผ่นหยกที่ตกอยู่อีกหนึ่งอัน สลักชื่อเอาไว้เช่นกัน “จิ่วซิน!” รับสั่งชื่อบนป้ายหยกพร้อมทอดพระเนตรโครงกระดูกทั้งสองพลางครุ่นคิดบางอย่างในพระทัย ป้ายหยกจิ่วซินถูกเก็บไว้ในสาบเสื้อฉลองพระองค์ด้านใน ส่วนป้ายหยกสลักพระนามดุจเดียวกับจอมมารทรงนำมาคล้องเอาไว้ที่บั้นพระองค์ พร้อมพระหัตถ์ค่อยๆ เก็บโครงกระดูกเท่าที่เหลืออยู่นำมาวางไว้บนเศษผ้าที่เปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา แน่นอนว่าสภาพที่เหลืออยู่ของโครงกระดูกเช่นนี้ จนถูกสัตว์ป่าแทะเล็มซากศพเหลือเศษโครงกระดูกไม่มากต้องจบชีวิตมานานแล้ว ห่อผ้าที่บรรจุโครงกระดูกทั้งสองถูกจอมมารหนุ่มขุดหลุมฝังเอาไว้อย่างดี ใต้ต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นดีทีเดียว ดอกไม้ป่าโปรยปรายอยู่บนหลุมที่ขุดฝัง ส่วนห่อผ้าที่เหลือเป็นเครื่องประดับที่มีราคาสูงมีค่าควรเมืองสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเทียบราคาใดๆ ก็ได้ “หากข้ามีพลังเวทดั่งเช่นเก่าก่อน ข้าจะสรรสร้างหลุมฝังศพของเจ้าทั้งสองให้ดีกว่านี้ เครื่องประดับของพวกเจ้า ข้าขอเอาไว้ เพราะตอนนี้ร่างของข้ากลับมาเป็นมนุษย์ จำเป็นต้องใช้เพื่อเดินทางตามหาคนของข้าและดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ต่อไป ส่วนป้ายหยกของพวกเจ้าข้าจะสืบค้นหาญาติ เพื่อแจ้งข่าวของเจ้าทั้งสองให้ได้ล่วงรู้” รับสั่งพร้อมเก็บห่อผ้าที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับไว้ในสาบเสื้อด้านในฉลองพระองค์ วรองค์สูงใหญ่ทะมึนทรงลุกยืนจากพื้นดิน พลางแหงนพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรเทือกเขาสูงอันเป็นสถานที่ซึ่งซากโครงกระดูกของแม่ลูกทั้งสองจบชีวิตลง เป็นไปได้อย่างสูงที่พลัดตกจากเขาลงมาและนั่นทำให้จอมมารหนุ่มยืนครุ่นคิดอยู่ภายในพระทัย “ก้นเหวกับเบื้องบนย่อมแตกต่างกัน ไร้สิ้นพลังเวทแต่หาได้สิ้นวรยุทธ์ ขึ้นสู่โลกมนุษย์ก็ต้องพึ่งพาตนเอง” รับสั่งพร้อมใช้พลังวรยุทธ์จากดินแดนปีศาจกระโดดลอยละลิ่วขึ้นจับเถาวัลย์ใหญ่ สองพระบาทไต่ขึ้นสู่ยอดเขาเบื้องบนด้วยความรวดเร็ว ประหนึ่งว่าพระองค์ทรงพระดำเนินเล่นอยู่บนหินผาฉันใดก็ฉันนั้น เพียงหนึ่งชั่วธูปจอมมารชินซางกระโดดลอยละลิ่วขึ้นมาจากก้นเหว ลงมาประทับยืนอยู่บนพื้นของยอดเขาสูงเหิงไห่ กระแสลมพาดผ่านจนพระเกศาสีเงินยวงปลิวสยายไปตามแรงลม อาภรณ์สีนิลกาฬพลิ้วไหวต้องลมสะบัดไปมา กระแสลมแรงกลบเสียงเอ็ดอึงที่ดังอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พระองค์ทรงยืนอยู่ไม่มากนัก เบื้องหน้าพระพักตร์คือกองทหารของแคว้นเทียนโจวกำลังหนีถอยร่นมายังทิศทางที่จอมมารหนุ่มทรงยืนอยู่ในขณะนั้น กองทหารพร้อมด้วยเฉินกงฮ่องเต้ เริ่มถอยร่นไม่เป็นกระบวนเมื่อฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ซึ่งนำทัพด้วยพระองค์เองเช่นเดียวกัน ตามล่าหมายตัดหัวเฉินกงฮ่องเต้เพื่อสยบกองทัพแคว้นต้าโจวและครอบครองดินแดนทองคำนี้ให้จงได้ พระวรกายของเฉินกงฮ่องเต้อาบไปด้วยพระโลหิต เกิดจากบาดแผลฉกรรจ์ที่ทรงได้รับหลายแห่งเลยทีเดียว กองทหารองครักษ์ตีฝ่าวงล้อมนำพระองค์ออกมาได้ แต่กำลังถึงทางตันเมื่อถอยมาถึงยอดเขาซึ่งไม่มีหนทางที่จะหนีได้อีกต่อไปแล้ว นอกจากกระโดดลงหุบเหวลึกเบื้องล่างนั่นเอง ท่ามกลางสายพระเนตรสีนิลกาฬของจอมมารชินซาง ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ในขณะนั้น กองทัพแคว้นต้าโจวเริ่มวิ่งเข้ามาใกล้พระองค์ โดยมีองครักษ์และเฉินกงฮ่องเต้เสด็จวิ่งนำหน้าทัพ ทันทีที่วิ่งเข้ามาใกล้ในระยะสายพระเนตรของจอมมาร พระเนตรสีนิลกาฬเป็นอันต้องเบิกกว้างขึ้นมาโดยพลัน เมื่อประสบพบพักตร์ของเฉินกงฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ!!!” จอมมารชินซางรำพึงพระนามของพระบิดา ซึ่งเป็นอดีตจอมมาร ด้วยรูปลักษณะของเฉินกงฮ่องเต้ทรงถอดแบบอดีตจอมมารพระบิดาของพระองค์มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับว่าเป็นคนๆ เดียวกันฉันใดก็ฉันนั้น เป็นเหตุให้จอมมารชินซางชะงักงันอยู่กับที่ ในขณะที่เฉินกงฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ทะมึนสวมอาภรณ์สีนิลกาฬ เส้นผมสีเงินยวงปล่อยสยายต้องสายลมพาดผ่านปรากฏอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ เป็นเหตุให้พระองค์ทรงหยุดทอดพระเนตรทันทีเมื่อพานพบบุรุษปริศนา ซึ่งเต็มไปด้วยความองอาจและน่ายำเกรงอย่างยิ่งยวด “บุรุษหนุ่มผู้นี้เหตุใดจึงน่าหวาดหวั่นเป็นที่พรั่นพรึงนักเล่า ท่าทีองอาจ หล่อเหลาปานรูปสลักเช่นนี้ เป็นมนุษย์เดินดินอย่างนั้นหรอกรึ เหตุใดยังหนุ่มแน่นแท้ๆ แต่กลับมีเส้นผมสีเงินเช่นนั้น อีกทั้งยังยืนอยู่เพียงตามลำพังโดดเดี่ยวในสถานที่เช่นนี้!” รับสั่งกับทหารองครักษ์ที่กำลังประคองพระองค์อยู่ในขณะนั้น “หากมิใช่มนุษย์ก็คงจะเป็นเทพเซียนจากสรวงสวรรค์กระมังพ่ะย่ะค่ะ ลักษณะเช่นนี้ยากยิ่งนักที่จะพานพบ แต่ก็น่าแปลกเสียนี่กระไรที่มายืนอยู่บนยอดเขาเช่นนี้” องครักษ์คนดังกล่าวกราบทูลตอบกลับมา ในขณะที่เบื้องหลังกองทัพของแคว้นฉู่ไล่ติดตามมาทัน ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่ประทับอยู่บนหลังม้าทรงขึ้นคันธนูพร้อมลูกดอกอาบยาพิษจำนวนถึงสามดอกเล็งเป้ามาที่เฉินกงฮ่องเต้อยู่ในเวลานั้น พระเนตรสีนิลกาฬของจอมมารหนุ่ม ทรงทอดพระเนตรได้ทั้งในระยะใกล้ไกลประหนึ่งว่าสิ่งที่ทรงทอดพระเนตรอยู่เพียงตรงหน้าพระพักตร์เท่านั้น ครั้นทอดพระเนตรลูกธนูเล็งมาที่เฉินกงฮ่องเต้ สุรเสียงรับสั่งดังก้องขึ้นมาทันที “ดาบปีศาจ! จงมาหาข้า!” รับสั่งอาวุธคู่พระวรกายจากดินแดนปีศาจ สิ้นพระสุรเสียงท้องฟ้าเบื้องบนที่เต็มไปด้วยแสงแดดแรงกล้ากลับมืดครึ้มดำทะมึนขึ้นมาโดยพลัน และเริ่มเข้ามาปกคลุมไปทั่วเทือกเขาเหิงไห่ “เปรี้ยง!!!” สายฟ้าฟาดผ่าลงตรงกลางกองทัพของแคว้นต้าฉู่ จนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง ดาบปีศาจของจอมมารชินซาง ที่สถิตอยู่ในดินแดนปีศาจถูกดึงออกจากแท่นหินด้วยตัวเองก่อนจะลอยละลิ่วขึ้นสู่ผืนฟ้าเบื้องบน จากดินแดนปีศาจผ่านดินแดนน้อยใหญ่ พุ่งแหวกว่ายกลางอากาศลงมาพร้อมสายฟ้าฟาดตรงเข้ามาหาจอมมารผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้น พระหัตถ์ยกขึ้นรับดาบปีศาจของพระองค์อย่างรวดเร็ว พระวรกายสูงใหญ่หมุนไปโดยรอบพร้อมตวัดดาบปีศาจกวัดแกว่งไปมา จอมมารกระชับอาวุธประจำพระองค์เสด็จพระดำเนินตรงมาหาเฉินกงฮ่องเต้พร้อมใช้พระวรกายสูงใหญ่ทะมึน ยืนบังฮ่องเต้แคว้นต้าโจวเอาไว้ ท่อนพระกรใหญ่ยื่นออกไปข้างหน้าพลางยกพระหัตถ์ขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วพระหัตถ์ชี้ไปที่พระพักตร์ฮ่องเต้แคว้นต้าฉู่พลางขยับนิ้วพระหัตถ์ขึ้นลงเป็นสัญญาณเรียกให้เข้ามาหา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม