ยามจื่อ
ม้าตัวขนาดใหญ่จำนวนเจ็ดตัว ซึ่งใช้เป็นม้าเร็วสื่อสารยืนเรียงรายอยู่หน้าโรงเตี๊ยม พร้อมคณะผู้เดินทางจากแคว้นฉู่เตรียมพร้อมที่จะเดินทางออกนอกเมืองตามแผนการขององค์หญิงเยว่วาวา โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม ในขณะที่เฉินวาวายังคงอยู่ในคราบของบุรุษในชุดสีดำทะมึนอยู่เช่นเดิมพร้อมองครักษ์อารักขาสี่นายและหัวหน้าองครักษ์ลู่เหอ บ่ายหน้าสู่เมืองเทียนฮุยล่วงหน้าไปก่อน
ในขณะที่นางกำนัลมู่อิงและองครักษ์อารักขาอีกสองนายบ่ายหน้ากลับเข้าขบวนเสด็จของเจ้าสาวเพื่อเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองเทียนจิ้นในวันพรุ่งนี้
“มู่อิง! เจ้าต้องจำคำของข้าให้ดี อยู่บนรถม้าพระที่นั่งสวมบทบาทของข้าให้ดีๆ นั่งหน้านิ่งๆ เชิดหน้าสูงๆ เข้าไว้ ใครถามก็แค่ปลายหางตาแบบนี้รู้ไหม”หญิงสาวทำท่าทางประกอบเพื่อสอนนางกำนัลคนสนิท ในขณะที่คนถูกสอนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้
“โธ่..องค์หญิงทรงเล่นพิเรนทร์อะไรเพคะ แทนที่จะให้มู่อิงตามเสด็จไปด้วยแต่กลับผลักไสให้ไปนั่งบนรถม้าพระที่นั่งปลอมตัวเป็นองค์หญิงแทน เห็บเหาจะกินหัวหม่อมฉันแล้วเพคะ” นางกำนัลสาวบ่นรำพึงรำพันไม่ขาดปาก
“เอาเถอะนะ พวกเห็บเหามันไม่กินหัวของเจ้าหรอกเพราะข้าอนุญาต แต่ถ้าไม่ใช้แผนนี้มันก็ไม่เนียนรู้ไหม เจ้าเข้าใจไหมคำว่าไม่เนียน” เฉินวาวานักจอมวางแผนกล่าวออกมา
“ไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” บรรดาผู้ติดตามของเธอกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันทันที
“แหะๆ …สงสัยข้าต้องจัดทำพจนานุกรมศัพท์ยุคปัจจุบันกับยุคโบราณแจกจ่ายซะแล้ว… เอาเถอะไว้วันหลังข้าจะอธิบายให้เข้าใจ มู่อิงเจ้าขี่ม้าไปกับทหารอารักขาแล้วรีบออกไปเลย ประตูเมืองใกล้จะปิดแล้ว... พวกเราก็ต้องรีบแล้วเช่นกัน ช่วงนี้ผู้คนที่มาเที่ยวงานกำลังเดินทางกลับพอดีเหมาะที่จะใช้โอกาสนี้ออกจากเมือง” หญิงสาวหันกลับไปกล่าวกับลู่เหอที่เตรียมม้าพร้อมเอาไว้แล้ว พร้อมเสียงขององครักษ์หนุ่มเอ่ยขึ้น
“เออ… องค์หญิงทรงขี่ม้าเป็นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลู่เหอกราบทูลถามกลับไป
“ปัดโธ่! แค่ขี่ม้าของกล้วยๆ สำหรับข้าลู่เหอ บ้านเมืองของข้าที่จากมาท่านพ่อของข้ามีม้าพันธ์ดีนับหลายร้อยตัวเลยในฟาร์ม และข้าก็เป็นแชมป์ขี่ม้าได้รางวัลมาเพียบด้วยนะขอบอก” เฉินวาวากล่าวอย่างภาคภูมิใจในขณะที่คณะผู้ติดตามของเธอฟังในสิ่งที่เธอกล่าวมาเมื่อครู่นี้ไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าใดนัก
“องค์หญิงทรงมีรับสั่งในสิ่งที่พวกกระหม่อมไม่เข้าใจอีกแล้ว เพิ่งจะล่วงรู้เดี๋ยวนี้เองว่าชาวแคว้นเยว่มีภาษาพูดเป็นของตนเองเช่นนี้ บางคำก็เข้าใจบางคำก็สร้างความงงให้กับพวกกระหม่อมเสียยิ่งนัก” องครักษ์ลู่เหอกราบทูลกลับไป
“อ่อเหรอ... แหม... คงจะจริงที่เจ้าพูดเนอะ… เอาเป็นว่าอย่าเสียเวลาอยู่เลยรีบแยกย้ายกันตรงนี้แหละ แล้วพบกันที่เมืองเทียนฮุยข้าจะล่วงหน้าไปก่อน รอขบวนเสด็จเจ้าสาวที่นั่นแล้วจึงค่อยเข้าวังพร้อมกัน... โอเคนะ!” เฉินวาวากล่าวพร้อมกระโดดขึ้นหลังมาอย่างคล่องแคล่วก่อนจะทอดสายตามององครักษ์ของเธอต่างพากันแยกย้ายตามคำสั่ง
ท่ามกลางคณะผู้ติดตามของเธอพากันส่ายหัวไปมาเมื่อองค์หญิงของพวกตนแจกคำประหลาดให้ได้ยินวันละคำ
“โอเคอีกแล้ว! ข้าอยากรู้เสียจริงว่าคำๆ นี้ที่แคว้นเยว่แปลว่าอะไร เหตุใดองค์หญิงจึงทรงมีรับสั่งบ่อยนัก” ลู่เหอกล่าวพร้อมกระโดดขึ้นหลังม้าทันที ก่อนจะหันกลับไปมององค์หญิงของตนเมื่อทรงทอดพระเนตรโรงเตี๊ยมอยู่ในขณะนี้
เฉินวาวามองทางเข้าของโรงเตี๊ยมซึ่งเมื่อชั่วยามก่อน เธอและผู้มีพระคุณได้กล่าวคำอำลากันตรงนี้ อีกทั้งผู้มีพระคุณจะมาหาที่โรงเตี๊ยมในวันรุ่งขึ้นเพื่อส่งเธอเดินทางกลับ ทว่าหญิงสาวมิอาจอยู่รอได้อีกต่อไปแล้ว
“พี่ชาย! ขอโทษด้วยที่ไม่สามารถรอท่านได้ เสี่ยววาวาของท่านต้องรีบเดินทางต่อแล้ว แต่เราจะได้พบกันอีกอย่างแน่นอน” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจเมื่อคิดถึงพี่ชายใจดีที่ช่วยชีวิตเธอและเดินเที่ยวงานด้วยกันทั้งคืน
หญิงสาวบังคับม้าให้หันหลังกลับ พร้อมคณะเดินทางจากแคว้นฉู่ต่างพากันแยกย้ายออกเป็นสองสายตามแผนการอย่างรวดเร็ว ร่างระหงในคราบบุรุษของเฉินวาวาควบม้าห้อตะบึงด้วยความชำนาญวิ่งนำหน้าไปยังทิศทางของประตูเมืองทางทิศตะวันออกเพื่อบ่ายหน้าเข้าสู่เมืองเทียนฮุยอันเป็นจุดหมายปลายทางของเธอในการมาที่แคว้นเทียนโจว โดยมีองครักษ์อารักขาและหัวหน้าองครักษ์ลู่เหอควบม้าตามหลังมาติดๆ
ในขณะเดียวกัน
จวนชินอ๋อง
พระวรกายเปลือยเปล่าของจอมมารกำลังนั่งแช่น้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา พระเกศาสีเงินยวงปล่อยยาวสยายให้เป็นอิสระหลังจากทรงชำระล้างจนสะอาด ท่ามกลางเกศาสีเงินปรกลงบนพระพักตร์หล่อเหลาที่กำลังนั่งเหม่อพระทัยลอยหายมิรู้ไปอยู่แห่งหนใดในขณะนี้
ภาพของบุรุษสวมอาภรณ์สีดำทะมึน สวมหมวกคลุมผ้าสีดำ ปิดบังอำพรางใบหน้าที่ครอบหน้ากากทองคำแบบเดียวกับพระองค์เช่นเดียวกัน ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง เสียงหัวเราะที่สดใสและคำพูดพร้อมกิริยาอาการแปลกประหลาดเหตุใดจึงตราตรึงอยู่ในพระทัยของจอมมารตลอดเวลา มิหนำซ้ำในขณะที่กล่าวคำอำลาพระองค์กลับรู้สึกพระทัยหายขึ้นมาอย่างมิรู้สาเหตุ
เปลือกพระเนตรปิดลงทันทีพร้อมสะบัดพระเศียรไปมาอย่างแรง เพื่อขับไล่ภาพของเสี่ยววาวาให้หลุดพ้นไปจากห้วงความคิดคำนึง
“เหตุใดภายในหัวของข้าจึงมีแต่เสี่ยววาวาผุดขึ้นเต็มไปหมด ใยข้าจึงเป็นเช่นนี้” รับสั่งสุรเสียงพึมพำ
พระวรกายใหญ่มุดลงไปในสระน้ำอุ่นลงไปนอนแผ่หราอยู่ก้นสระ เพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้หมดสิ้นไป ทว่ายิ่งสลัดกลับยิ่งฝังแน่นทวีคูณ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกำลังเดินเข้ามาภายในสระสรงน้ำ
“กราบทูลท่านอ๋อง มีข่าวจากด่านนอกเมืองมารายงานและผลการค้นหาจากประตูเมืองตะวันตกและตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ” เสียงรองแม่ทัพดังขึ้นอยู่ขอบสระ
พระวรกายเปลือยเปล่าที่กำลังนอนแช่น้ำอุ่นอยู่ก้นสระ ค่อยๆ โผล่ขึ้นเหนือน้ำมาอย่างช้าๆ เปลือกพระเนตรค่อยๆ เปิดขึ้นเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“ว่ามา” รับสั่งออกมาสั้นๆ
“ประตูเมืองทั้งตะวันตกและตะวันออก ตรวจค้นจนถึงยามห้ายแล้วปราศจากบุคคลลักษณะที่ทรงต้องการแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เวรยามกะดึกกำลังตรวจค้นทุกคนที่เข้าออกเมืองอย่างต่อเนื่องพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพกล่าวรายงาน
พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“ค้นหาต่อไป! อย่าให้ผู้ใดเล็ดลอดสายตาออกไปได้!” รับสั่งกำชับ
“พ่ะย่ะค่ะ!” รองแม่ทัพขานรับพระบัญชาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“กราบทูลท่านอ๋อง เมื่อช่วงพลบค่ำมีข่าวจากด่านนอกเมืองมารายงาน ว่ามีขบวนเสด็จเจ้าสาวจากแคว้นฉู่เดินทางมาอภิเษกสมรสตามสนธิสัญญาสงบศึกระหว่างสองแคว้น ได้มีสารด่วนขออนุญาตนำขบวนเสด็จเจ้าสาวผ่านเมืองเทียนจิ้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนฮุยพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าขบวนเสด็จจะถึงหน้าประตูเมืองไม่เกินเที่ยงของวันรุ่งขึ้น”
ทันทีที่ทรงได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์หล่อเหลาทรงเงยขึ้นจากสระสรงน้ำขึ้นมาทันที
“เจ้าว่าอะไรนะ! มีขบวนเจ้าสาวจากแคว้นฉู่ขออนุญาตเข้าเมืองวันพรุ่งนี้อย่างนั้นเหรอ” รับสั่งถามกลับไปเพื่อความแน่พระทัยอีกครั้ง
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพตอบกลับมา
ภาพร่างระหงในชุดเจ้าสาวสีขาวของคู่ชะตาผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที เพียงครู่ภาพบุรุษสวมชุดขาวพร้อมหมวกผ้าคลุมยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในเทศกาลลอยประทีปพลันปรากฏขึ้นแทรกขึ้นมาพร้อมกัน
“นางอยู่ในเมืองนี้แล้ว! จึงเป็นไปไม่ได้ว่ายังไม่เข้ามาเพราะฉะนั้นไม่ได้อยู่ในขบวนเจ้าสาวจากแคว้นฉู่อย่างแน่นอน” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัยก่อนจะมีรับสั่งออกไป
“ขบวนเจ้าสาวที่ขออนุญาตเข้าเมืองให้ทำตามระเบียบราชสำนัก และคอยดูแลส่งขบวนเสด็จเจ้าสาวให้ถึงเมืองเทียนฮุยอย่างปลอดภัย หลังจากเสร็จสิ้นเทศกาลลอยโคมประทีปให้ปิดประกาศไปทั่วเมือง ว่าจะเข้าตรวจค้นทุกร้านค้าและทุกบ้านเรือน บอกว่าเป็นเพื่อความปลอดภัยของชาวเมืองให้ทุกคนให้ความร่วมมือ” ทรงมีพระบัญชาออกไปทันที
“พ่ะย่ะค่ะ!” รองแม่ทัพขานรับอย่างแข็งขัน พลางก้าวถอยหลังออกจากห้องสรงน้ำอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่จอมมารยังทรงนั่งประทับแช่น้ำอุ่นอยู่ภายในสระสรงน้ำ พลางครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทว่าสิ่งที่ทรงคิดอยู่ในขณะนี้กลับมีแต่ใบหน้าหนุ่มน้อยเสี่ยววาวาภายใต้หน้ากากทองคำเต็มไปด้วยแผลเป็นด่างดำปรากฏขึ้นเต็มใบหน้าเฝ้าวนเวียนอยู่แต่ในห้วงคำนึง
“ข้านี่ท่าจะเป็นเอามากแล้ว เหตุไฉนจึงมีแต่เสี่ยววาวาอยู่ภายในหัวเต็มไปหมด หรือเป็นเพราะข้ารีบเร่งเดินทางมิได้หยุดพักแต่อย่างใด กายจึงโรยราอยากพักเสียแล้วกระมัง” รับสั่งบ่นพึมพำพร้อมทรงลุกยืนขึ้นจากสระน้ำทันใด
พระวรกายเปลือยเปล่าก้าวออกจากสระ พร้อมพระภูษาผืนบางเบาถูกพันเอาไว้ตั้งแต่บั้นพระองค์ลงมายาวคลุมจนถึงข้อพระบาท เปิดเปลือยแผงอกกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อได้รูปสวย ก้าวออกจากห้องสรงน้ำเข้าสู่ห้องแต่งฉลองพระองค์
เพียงไม่นานวรองค์สูงใหญ่ในฉลองพระองค์เตรียมที่จะเข้าบรรทม มาทรงหยุดยืนอยู่โต๊ะทรงพระอักษร ซึ่งวางม้วนไม้ไผ่บันทึกรายงานต่างๆ ให้พระองค์ทรงทราบ พระหัตถ์หนาเอื้อมไปหยิบม้วนไม้ไผ่คลี่ออกอ่านข้อความภายในอย่างละเอียดก่อนจะวางลงตามเดิม พร้อมสายพระเนตรเหลือบไปกระทบเข้ากับถุงผ้าสีแดงปักลายหงส์กางปีกผงาดวางไว้อยู่บนโต๊ะทรงพระอักษร
พระหัตถ์เอื้อมหยิบถุงผ้าดังกล่าวขึ้นมาทอดพระเนตรใกล้ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ พลางหวนคิดคำนึงถึงคนให้ ภาพของเสี่ยววาวาปรากฏขึ้นมาทันที
“ท่านอุตส่าห์มอบป้ายทองให้แก่ข้าแถมยังช่วยเอาไว้ตั้งมากมาย ข้ามีเพียงของที่ติดกายอยู่ตลอดเวลาขอมอบให้พี่ชายเป็นที่ระลึกแทนตัวข้า เพื่อให้สัญญาว่าจะกลับมาแทนคุณท่านอย่างแน่นอน”
เสียงหนุ่มน้อยเสี่ยววาวายังคงก้องอยู่ในห้วงคำนึง พระพักตร์หล่อเหลาคลี่พระโอษฐ์แย้มยิ้มออกมาบางๆ เมื่อคิดถึงคนให้ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมแปลกๆ ตลบอบอวลออกมาจากภายในถุงผ้านั้น พระหัตถ์ยกขึ้นมาแตะพระนาสิก พร้อมพระขนงคมเข้มขมวดเข้าหากันทันที
“เสี่ยววาวาพกถุงหอมที่มีกลิ่นของดอกไม้ดั่งเช่นสตรีพกติดตัวด้วยหรือนี่ น่าแปลกยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมใช้นิ้วพระหัตถ์คลึงถุงผ้าไปมาก่อนจะสะดุดเข้ากับบางอย่างที่อยู่ภายในนั้น
“มีอะไรอยู่ในนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัย
นิ้วพระหัตถ์ค่อยๆ คลี่ถุงผ้าดังกล่าวพร้อมดึงสิ่งที่อยู่ภายในออกมาทันที ก่อนจะปรากฏแผ่นหยกสีเขียวมรกตอยู่ในพระหัตถ์ตรงพระพักตร์
“ที่แท้ก็เป็นหยกประจำตัวของเสี่ยววาวา หยกชนิดนี้หายากยิ่งนักท่าทางเจ้าจะไม่ธรรมดาเลยนะเสี่ยววาวา” รับสั่งพร้อมใช้นิ้วพระหัตถ์คลึงแผ่นหยกไปมา ก่อนจะพลิกกลับด้านอีกฝั่งขึ้นมาเพื่อทอดพระเนตรอย่างละเอียด
ทันทีที่พระองค์ทรงพลิกหยกอีกด้านซึ่งสลักชื่อเจ้าของเอาไว้ พระเนตรสีนิลกาฬพลันเบิกกว้างขึ้นมาทันทีเมื่อชื่อที่สลักอยู่บนแผ่นหยก สลักชื่อ เยว่วาวา ปรากฏอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้
“ตุ้บ!” ถุงผ้าแดงร่วงหล่นลงจากพระหัตถ์ทันที
พระวรกายใหญ่ทรงยืนนิ่งงันอยู่กับที่ ภาพของเสี่ยววาวาในคราบบุรุษอาภรณ์สีดำ คลุมหมวกผ้าคลุมสีดำเข้ากับตัวชุดพร้อมภาพบุรุษสวมอาภรณ์สีขาว คลุมหมวกผ้าคลุมสีขาวปรากฏขึ้นมาทันที ทั้งสองมีรูปร่างและส่วนสูงตรงกันทุกประการแตกต่างเพียงแค่อาภรณ์ที่สวมใส่เท่านั้น
“ที่แท้เสี่ยววาวาคือเยว่วาวาของข้าหรือนี่! ข้าพบเจ้าแล้ว! ข้าพบแล้ว!” รับสั่งออกมาด้วยความตื่นเต้นและดีพระทัยอย่างสุดขีด เมื่อทรงล่วงรู้ว่าเสี่ยววาวาที่ทรงรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก แท้จริงแล้วคือเยว่วาวาของพระองค์
พระหัตถ์กำแผ่นหยกดังกล่าวเอาไว้จนแน่นพร้อมหันพระวรกายเสด็จออกจากห้องพระบรรทมทันที
“เอาม้ามาให้ข้า! เอามาม้า!” รับสั่งสุรเสียงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งจวน
เพียงครู่พระวรกายสูงใหญ่ฉลองพระองค์สีนิลกาฬ กระโดดขึ้นบนหลังม้าทันทีที่มาถึง ทรงควบม้าห้อตะบึงไปทางโรงเตี๊ยมที่พระองค์เพิ่งกล่าวคำอำลาเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา พร้อมทหารอารักขาควบม้าวิ่งตามเสด็จมาติดๆ