วันรุ่งขึ้น
ภายในตำหนักรับรอง
“แค่ก! แค่ก! แค่ก!” เสียงไอติดต่อกันดังเอ็ดอึงไปทั่วห้องบรรทม บ่งบอกว่าผู้ที่อยู่ในห้องดังกล่าวกำลังเจ็บป่วย
“องค์หญิงยังไม่ดีขึ้นอีกเลยรึ!” รัชทายาทจื่อถงรับสั่งถามด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่งยวด
นางกำนัลมู่อิงและองครักษ์ลู่เหอที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องบรรทมได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้แก่พระองค์
“องค์หญิงยังทรงมีไข้และไอหนักมากเพคะ รับสั่งกำชับเอาไว้ว่าช่วงนี้อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้พระนางจะพาลติดไข้และเกิดอาการเจ็บป่วยเอาได้ พระนางยังฝากมาบอกอีกว่า ทรงเป็นห่วงพระองค์ยิ่งนัก ด้วยเกรงว่าจะติดไข้กลับไปและจะทำให้ทรงพระประชวร ซึ่งไม่ดีอย่างยิ่งกับองค์รัชทายาทเลยเพคะ” นางกำนัลมู่อิงกราบทูลกลับไปตามที่องค์หญิงของนางกำชับเอาไว้ไม่ขาดตกบกพร่องสักประโยค
ครั้นรัชทายาทรูปงามทรงได้ยินคำฝากที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเช่นนั้น พระองค์ซาบซึ้งในน้ำใจของว่าที่พระชายาเอกยิ่งนัก ทรงทอดพระเนตรหน้าประตูห้องบรรทมด้วยสายพระเนตรละห้อยโหยหาอย่างน่าสงสารเสียนี่กระไร
“โธ่! เจ็บป่วยถึงเพียงนี้ยังห่วงใยข้าอีก เจ้าช่างน้ำใจงามเสียนี่กระไรวาวา” รับสั่งพระนามของว่าที่พระชายาอย่างสนิทชิดเชื้อ พร้อมหันกลับไปมีรับสั่งกับมู่อิงและลู่เหอ
“เจ้าทั้งสองต่างเป็นคนสนิทคอยรับใช้วาวาอยู่ตลอดเวลา หากอาการองค์หญิงของเจ้าแปรเปลี่ยนหรือไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น เจ้าทั้งสองจะต้องรีบแจ้งให้แก่ข้าได้ล่วงรู้ทันทีอย่าได้ชักช้ารู้ไหม” รับสั่งกำชับ
“เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” มู่อิงและลู่เหอต่างขานรับพร้อมกัน
“ข้าจะกลับไปก่อน เสร็จจากช่วยราชกิจกับเสด็จพ่อแล้วจะรีบกลับมาเฝ้าดูแลอาการองค์หญิงของพวกเจ้า ฝากบอกวาวาด้วย… ว่าข้าเป็นห่วงยิ่งนักอย่าลืมบอกให้ได้นะ” องค์รัชทายาทรับสั่งกำชับ
“เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” มู่อิงและลู่เหอขานรับพระบัญชาอย่างแข็งขัน พลางทอดสายตามองรัชทายาทหนุ่มพระดำเนินออกไปจากพระตำหนัก
“เฮ้อ!” ทั้งสองถอนหายใจออกมาพร้อมกันทันที
“ข้าสงสารองค์รัชทายาทจังเลยท่านลู่เหอ เหตุใดองค์หญิงของพวกเราจึงพระทัยร้ายยิ่งนัก ไม่ยอมออกมาให้ทรงได้พานพบพระพักตร์บ้างเลย ดูก็รู้ว่าทรงห่วงใยและเป็นกังวลในอาการประชวรอยู่ตลอดเวลา ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เลย” มู่อิงบ่นพึมพำไม่ขาดปาก
“อย่าพูดแบบนี้ให้องค์หญิงทรงได้ยินนะมู่อิง เจ้าก็ล่วงรู้ดีว่าพระนางทรงเป็นเช่นไร แม้จะทรงมีน้ำพระทัยงามและขี้สงสารแต่ทรงเด็ดเดี่ยว หากมิใช่บุรุษที่องค์หญิงพึงใจแล้วไซร้ยากที่จะได้ครอบครองพระนาง” ลู่เหอเอ่ยเตือนนางกำนัลสาว ก่อนจะได้ยินสุรเสียงองค์หญิงของตน
“มู่อิง! ลู่เหอ! เข้ามาหาข้า”
ทั้งสองรีบเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องบรรทมอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินรับสั่ง
เฉินวาวานั่งมองคนสนิทของเธอทั้งสองเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้า สายตาเหลือบมองไปที่หน้าประตู
“กลับไปแล้วใช่ไหม” หญิงสาวถามกลับไปเพื่อให้แน่ใจ
มู่อิงและลู่เหอต่างพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กัน ก่อนจะได้ยินเสียงขององค์รักษ์หนุ่ม
“องค์รัชทายาทเสด็จกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ทรงจะกลับมาเฝ้าพระอาการองค์หญิงหลังจากเสร็จจากการช่วยภารกิจกับองค์ฮ่องเต้ ท่าทางครานี้จะทรงประทับอยู่นานมิยอมเสด็จกลับไปง่ายๆ หรอกพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง
ครั้นเฉินวาวาได้ยินเช่นนั้น สมองของเธอเดินเครื่องสับเป็นกลไกครุ่นคิดแผนขั้นต่อไปทันที
“ตื๊อชะมัด!” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจ
“เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีต้องใช้แผนแปลงโฉมมาใช้แล้ว เจ้าทั้งสองออกนอกวังไปหาซื้อข้าวของจำเป็นเพิ่มเติมมาให้ข้าที” เฉินวาวากล่าวกับคนสนิท
ทั้งมู่อิงและลู่เหอต่างแสดงสีหน้างุนงงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“องค์หญิงจะทรงทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดต้องให้กระหม่อมและมู่อิงออกนอกวังไปหาซื้อข้าวของเพิ่มเติม สัมภาระที่นำมาจากแคว้นมิเพียงพออย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เหอกราบทูลถามด้วยความสงสัย
ดวงตากลมโตดั่งตากวางถลึงออกมาทันทีเมื่อได้ยินคนสนิทของเธอเอ่ยถามกลับมาเช่นนั้น
“ข้าบอกให้ไปซื้อก็ไม่ต้องถามอะไรมากจะได้ไหม! ถ้าสิ่งที่ข้าอยากได้มีอยู่ตอนนี้จะให้เจ้าสองคนไปหาซื้อมาเพิ่มเติมทำไมกันเล่า! เข้าใจไหมคำว่าเพิ่มเติมนะ... เพิ่มเติม!” เฉินวาวากล่าวพร้อมส่งเสียงคำรามลั่นในลำคอ ทำให้ทั้งมู่อิงและลู่เหอรีบก้มหน้าก้มตามองพื้นพระตำหนักทันที
เมื่อเฉินวาวาสลัดคราบองค์หญิงแสนสวยสวมบทบาทนางมารเข้ามาแทนที่ ร่างงามระหงกระเด้งออกจากแท่นบรรทมพลางเดินวนรอบกายคนสนิทของเธอพร้อมเมียงมองโดยใช้สายตาปรามบ่งบอกให้ล่วงรู้ว่า อย่าถามมากนั่นเอง ก่อนจะหันกลับไปหยิบม้วนไม้ไผ่ที่เธอเขียนรายการที่อยากได้ยื่นส่งให้ลู่เหอ
“ไปหาซื้อมาให้ครบ! อย่าให้ขาดแม้แต่อย่างเดียว” หญิงสาวกล่าวกำชับ
ในขณะที่ลู่เหอที่กำลังคลี่ม้วนไม้ไผ่ออกจากกันเพื่ออ่านรายการสั่งซื้อกลับต้องยืนงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อเห็นตัวหนังสือที่องค์หญิงของตนเขียนบนลำไม้ไผ่ที่ไม่สามารถอ่านออกได้แม้แต่ตัวเดียว
“อะ... องค์หญิงทรงเขียนอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอ่านไม่ออกสักตัวเลย” ลู่เหอกราบทูลถามกลับไป
“ก็เขียนหนังสือไง! เจ้าอ่านหนังสือไม่ออกอย่างนั้นเหรอลู่เหอ” เฉินวาวาเถียงกลับไปทันทีพลางหยิบม้วนไม่ไผ่ที่อยู่ในมือของลู่เหอมาถือเอาไว้เสียเอง
“ก็นี่ไงรายการแรก ไปหาซื้อกาวให้ข้า แล้วก็สีย้อมผ้าเอาสีแดง สีดำ สีเขียว แล้วก็พู่กันเอามาหลายอันหน่อย” หญิงสาวแจกแจงรายการจนครบ พลางยื่นส่งให้ลู่เหอตามเดิมที่ยังคงยืนงงอยู่เช่นเดิม
“อะ... เออ... องค์หญิงทรงเขียนอักษรอะไรพ่ะย่ะค่ะ อ่านไม่ออกเลยสักตัวอีกทั้งอักษรแต่ละตัวก็แปลกประหลาดไม่เคยเห็นมาก่อน แคว้นเยว่ของพระนางมีอักษรเฉพาะใช้แพร่หลายเองภายในแคว้นอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ มิได้ใช้อักษรดุจเดียวกับที่ทุกแคว้นต่างตกลงใช้ร่วมกันอยู่ตอนนี้หรือไร”
คำกล่าวของลู่เหอทำให้เฉินวาวายืนนิ่งงันไปโดยพลันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“งานเข้าแล้วเฉินวาวาเอ๋ยเฉินวาวา ภาษาจีนในยุคอนาคตไม่สามารถใช้สื่อสารกับคนยุคโบราณได้เลย คราวนี้จะรู้เรื่องกันไหม... นี่ก็เท่ากับว่าฉันจะต้องกลายเป็นคนโง่ที่ไม่สามารถอ่านและเขียนเป็นคนไม่รู้หนังสือไปเสียแล้วล่ะสิ” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจ
ใบหน้าสวยจำต้องพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับไหลไปตามสถานการณ์ในสิ่งที่ลู่เหอถามกลับมา
“ตะ...ตามนั้นแหละลู่เหอ เจ้าเข้าใจไม่ผิดหรอก แต่ข้าขอเวลาศึกษาเล่าเรียนภาษานอกแคว้นรับรองภายในเดือนเดียวข้าเขียนและอ่านได้อย่างคล่องแคล่วแน่นอน” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยความมั่นใจในความสามารถของเธอ
องค์รักษ์หนุ่มพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อองค์หญิงของตนรับสั่งเช่นนั้น
“ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงรับสั่งกับกระหม่อมและลู่อิงโดยไม่ต้องเขียนก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ช่วยกันจำไม่น่าจะพลาด” ลู่เหอกราบทูลกลับไปพลางเตรียมพร้อมฟังรับสั่งอย่างตั้งอกตั้งใจ
“อะ... เอาอย่างนั้นเหรอ... ดะ...ได้!” เฉินวาวาส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้คนสนิทของเธอทั้งสองพร้อมเริ่มต้นรายการที่เธออยากได้ออกมาทันทีอย่างใจเย็น
ในขณะเดียวกัน
พระวรกายสูงใหญ่ของจอมมารเสด็จออกจากตำหนักที่ประทับ เพื่อไปเข้าเฝ้าฟางหยางฮ่องเต้เพื่อกราบทูลยกเลิกมิเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์หญิงเยว่วาวาจากแคว้นเยว่ให้สิ้นเรื่องไป ในขณะที่ทรงพระดำเนินใช้เส้นทางลัดไปทางด้านหลังของสระน้ำ จังหวะเดียวกับรัชทายาทจื่อถงพระดำเนินกลับมาจากตำหนักรับรองไปทรงเยี่ยมว่าที่พระชายา จึงทำให้ทั้งสองพระองค์พบกันด้วยความบังเอิญ
“อ้าว!เสด็จอา!” รัชทายาทรูปงามรับสั่งพร้อมถวายคำนับจอมมารด้วยความนอบน้อม
จอมมารชินซางก้มพระพักตร์ลงเพียงนิดเมื่อรัชทายาทหนุ่มถวายคำนับให้แก่พระองค์
“นี่เจ้าคงจะเพิ่งกลับมาจากตำหนักรับรองล่ะสิ ได้ยินมาว่าแวะเวียนมาหาองค์หญิงแคว้นฉู่ เช้า กลางวัน เย็นแม้กระทั่งจะนอนก็ยังต้องมาหานาง”
รัชทายาทรูปงามแย้มพระโอษฐ์กว้างออกมาทันทีครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“หลานต้องขอพระราชทานอภัยที่เข้าออกพระตำหนักบูรพาของเสด็จอาเป็นว่าเล่น แต่ถ้าไม่มาก็ยิ่งทุรนทุรายยิ่งนักแม้มิได้พานพบได้ยินเสียงก็ยังดีพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทรับสั่งตอบกลับไป
“ถึงกระนั้นเชียวรึ นี่แสดงว่าเจ้าพานพบสตรีที่พึงใจเป็นอย่างยิ่งแล้วกระนั้นสิ” จอมมารรับสั่งถามกลับไป
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จอา... หลานพบคนที่ใช่แล้วเพิ่งจะกราบทูลให้เสด็จพ่อทรงทราบเมื่อสองวันก่อน ว่าเต็มใจเข้าพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้เป็นอย่างยิ่งและให้เร็วที่สุด พร้อมประกาศแต่งตั้งองค์หญิงเป็นพระชายาเอกทันที เดิมทีฤกษ์มงคลจะถึงในอีกห้าวันข้างหน้าแต่ดูทีท่าว่าจะต้องเลื่อนออกไปเพราะวาวายังป่วยอยู่ยังมิดีขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์หล่อเหลาที่มีรอยแย้มเยือนบางๆ เมื่อครู่ที่ผ่านมาแปรเปลี่ยนไปโดยพลันเมื่อจอมมารทรงได้ยินชื่อที่องค์รัชทายาทมีรับสั่งเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“เมื่อครู่เจ้าเรียกองค์หญิงแคว้นฉู่ว่าอะไรนะถงเอ๋อร์” รับสั่งถามกลับไปโดยพลัน
ในขณะที่รัชทายาทหนุ่มเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าพระนามขององค์หญิงแคว้นฉู่และแคว้นเยว่เหมือนกันทุกประการทั้งพระนามและตระกูลแซ่
“อ้าว! นี่แสดงว่าเสด็จอายังมิทรงทราบหรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าองค์หญิงแคว้นเยว่ที่ทรงเลือกพระนางเป็นพระชายาเอก บังเอิญว่าทั้งชื่อและตระกูลแซ่เหมือนกับวาวาของหลานเช่นกัน องค์หญิงแคว้นฉู่นางก็มีชื่อว่าเยว่วาวาพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา”
ถ้อยรับสั่งของรัชทายาทหนุ่มทำให้จอมมารชินซางทรงยืนนิ่งดั่งถูกสาปให้กลายเป็นหินครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น แต่แล้วทรงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ทันที
“ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนักที่องค์หญิงจากสองแคว้น มีชื่อและมาจากตระกูลเดียวกัน คงได้วุ่นวายกันน่าดู ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงแคว้นฉู่งดงามมากเป็นความจริงอย่างนั้นรึ” รับสั่งถามกลับไปเพื่อหาจุดสังเกต
รัชทายาทหนุ่มแย้มพระโอษฐ์กว้างออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสด็จอาของพระองค์รับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น
“วาวาของหลานงดงามมากพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา นางช่างมีความงามลึกล้ำและแปลกประหลาดยิ่งนัก ซึ่งหลานไม่เคยพานพบสตรีใดดั่งเช่นนางมาก่อนเลย ช่างเป็นวาสนาของหลานเสียนี่กระไรที่ได้นางมาครอบครอง” รัชทายาทรูปงามรับสั่งด้วยความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงติดๆ กันครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“ถ้าเช่นนั้นที่ข้าได้ยินข่าวมาว่านางถูกพิษจนใบหน้าเสียโฉมก็หาใช่ความจริงกระนั้นสิ”
ถ้อยรับสั่งของจอมมารทำให้รัชทายาทจื่อถงขมวดพระขนงเข้าหากันทันที
“เหตุใดหลานมิเคยล่วงรู้ข่าวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา วาวาถูกพิษจนเสียโฉมมาก่อนอย่างนั้นเหรอ แต่ที่กระหม่อมเห็นมิมีสิ่งใดบ่งบอกว่านางเคยเสียโฉมเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ตรงกันข้ามนางงดงามจนตื่นตะลึงทันทีที่ได้พบ เสด็จอาทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว”
“เช่นนั้นหรอกรึ!” จอมมารรับสั่งพลางพยักพระพักตร์ขึ้นลงครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“ข้าคงจะได้ยินข่าวโคมลอยมาเป็นแน่... นี่คงจะรีบไปหาเสด็จพ่อของเจ้าล่ะสิ” รับสั่งตัดบทพร้อมถามกลับไป
“พ่ะย่ะค่ะ! แล้วนี่เสด็จอาจะทรงไปเข้าเฝ้าเหมือนกันใช่หรือไม่จึงพระดำเนินใช้เส้นทางนี้ ถ้าเช่นนั้นไปเข้าเฝ้าพร้อมกันเลยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทหนุ่มรับสั่งถามกลับไป
“เจ้าไปก่อนเถอะ..บังเอิญข้าเพิ่งนึกได้ว่า มีรายงานด่วนเพิ่งเข้ามาต้องรีบอ่านก่อนจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของเจ้า เอาไว้วันหลังค่อยไป”จอมมารรับสั่งตัดบท
“อ่อ... ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้หลานขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะเสด็จอา” รัชทายาทรูปงามรับสั่งพร้อมทำท่าจะทูลลาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าทรงต้องการบางอย่าง
“เออ... เสด็จอาพ่ะย่ะค่ะ! คือหลานขออนุญาตมาพำนักที่ตำหนักบูรพาเพื่อคอยดูแลวาวาได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาจนแลดูวุ่นวายและไม่รบกวนเสด็จอาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นจอมมารทรงได้ยินเช่นนั้นพระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรรัชทายาทหนุ่มตรงพระพักตร์นิ่ง จนอีกฝ่ายมีสีพระพักตร์เจื่อนลงทันที
“ใช่ว่าข้าจะอนุญาตไม่ได้หรอกนะถงเอ๋อร์ แต่อยากให้คำนึงถึงชื่อเสียงของว่าที่พระชายาเอกของเจ้าด้วย ตามจารีตตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็มิให้คู่อภิเษกพำนักใกล้กันหรือแม้แต่จะให้ประสบพบพักตร์ยังต้องพึงระวังด้วยซ้ำ เท่าที่เจ้าเทียวไปเทียวมา เช้า กลางวัน เย็นจนจะนอนก็มาหานาง ก็โจษขานกันไปทั่ววังหลวงแล้ว ระมัดระวังตัวเองด้วยถงเอ๋อร์” รับสั่งเตือนด้วยเหตุและผลของความเป็นจริง
รัชทายาทจื่อถงทรงก้มพระพักตร์ทอดพระเนตรพื้นเบื้องล่างทันที เมื่อได้รับการตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา
“หลานขอขอบพระทัยที่รับสั่งตักเตือนให้ได้คิด เป็นจริงดั่งที่เสด็จอามีรับสั่งทุกประการ หลานเลินเล่อเอง ต่อไปจะระมัดระวังให้มากยิ่งกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทจื่อถงรับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างประสานเข้าหากันพร้อมก้มคำนับจอมมาร
“ถ้าเช่นนั้นหลานขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งพลางก้าวถอยหลังพร้อมหันพระวรกายพระดำเนินกลับตรงไปเข้าเฝ้าพระบิดาท่ามกลางสายพระเนตรของจอมมาร
พระวรกายสูงใหญ่หันกลับเข้าตำหนักที่ประทับของพระองค์ทันที เป้าหมายคือองค์หญิงเยว่วาวาจากแคว้นฉู่ ที่ทำให้จอมมารทรงต้องการอยากรู้ตัวตนที่แท้จริงและต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดว่านางคือเยว่วาวาคู่ชะตาของพระองค์
“องค์หญิงแคว้นฉู่! เจ้าช่างทำให้ข้าต้องแปลกประหลาดใจอีกแล้วเช่นนั้นก็ดี!อยากจะรู้เช่นกันว่าตัวตนจริงของเจ้าเป็นเยี่ยงไร” รับสั่งพึมพำพร้อมเร่งพระดำเนินกลับเข้าตำหนักที่ประทับอย่างรวดเร็ว