ผ่านไปหลายสัปดาห์ เรื่องชายปริศนาชุดดำก็ยังไม่มีความคืบหน้า ลึกในใจหลี่ช่านเย่คิดว่าเขาคงไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อนาง เรื่องนี้จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางการ แต่โจวหยวนก็ยังกำชับกับบุตรชายให้ส่งคนเร่งออกสืบเสาะค้นหาชายผู้นั้น หากนิ่งเฉยก็เกรงว่าคนสกุลหลี่จะไม่พอใจ หาว่าไม่ใส่ใจบุตรสาวท่านราชครู
หลี่ช่านเย่กำลังเก็บข้าวของเตรียมจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมในอีกสามวันข้างหน้า มีของฝากมากมายจากทั้งฮูหยินผู้เฒ่าและซูซื่อ
“เหตุใดพักนี้ถึงมีคนแปลกหน้าเข้าออกจวนบ่อยนัก”
“อ้อ คุณชายให้คนมาต่อเติมเรือนอี้ถง”
เสียงสาวใช้กระซิบคุยกันอยู่หน้าห้อง แต่หลี่ช่านเย่ที่กำลังนั่งพับผ้าเก็บเข้าหีบอยู่ด้านในกับซ่านซ่านก็ยังได้ยินอยู่ดี
“คุณชายจะใช้เรือนอี้ถงทำสิ่งใด”
สาวใช้นางหนึ่งถึงกับทิ้งผ้าขี้ริ้วในมือก่อนจะหันซ้ายแลขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดนอกจากพวกตนจึงคันปากนินทาเจ้านายเสีย
“ก็คุณชายจะรับคุณหนูซุน บุตรสาวคหบดีซุนฉางเข้าจวนอย่างไรเล่า”
ส่วนสาวใช้อีกนางถึงกับทำตาถลน แล้วถามอย่างสนใจ นางพึ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วันจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับนายที่นี่ “คุณชายจะแต่งภรรยาใหม่งั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าน่ะไม่รู้อะไรเสียแล้ว หากไม่มีราชโองการสมรสอะไรนั่น คุณชายคงแต่งคุณหนูซุนไปนานแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าทั้งสองมีใจให้กัน แล้วที่ฮูหยินน้อยไม่ตั้งครรภ์เสียทีทั้งที่แต่งเข้าจวนมาหลายเดือน นั่นก็เพราะคุณชายไม่เคยเข้าหอ...”
ปึง! ยังไม่ทันจบประโยค คนข้างในก็กระแทกประตูเปิดออกมา สองสาวใช้ถึงกับสะดุ้งตกใจ ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ
“นินทาเจ้านายจะได้รับโทษใด พวกเจ้ารู้หรือไม่” เป็นซ่านซ่านที่ทนฟังไม่ไหว คนพวกนี้ปากมากเกินไปต้องสั่งสอนเสียบ้าง
“พะ พวกข้าปากเปราะไปแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยโปรดให้อภัย” สาวใช้ทั้งสองรีบคลานเข่าผ่านซ่านซ่านเข้าไปข้างใน คุกเข่าหมอบกราบกับพื้นตัวสั่นงันงก ไม่คิดว่าฮูหยินน้อยอยู่ข้างใน เพราะปกติยามนี้นางมักไปเรียนปักผ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือน
หลี่ช่านเย่ไม่คิดใส่ใจ แต่มีอีกเรื่องที่นางสนใจมากกว่า
“เจ้าว่า...คุณชายจะแต่งภรรยาอีกงั้นหรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยถามบางเบาราวสายลมเอื่อย ปลายประโยคสั่นเครือเล็กน้อย ไม่อยากเชื่อหูตัวเองเท่าใด
“เอ่อ คือว่า...” สาวใช้อ้ำอึ้ง สะกิดกันโยนให้อีกฝ่ายเป็นผู้ตอบ
“ว่าอย่างไร” หลี่ช่านเย่พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น
“จะ เจ้าค่ะ พวกข้าได้ยินคนในครัวเขาพูดกัน” พูดจบพวกนางก็โขกศีรษะกับพื้นเสียงดังสนั่น
“อืม ขอบใจ พวกเจ้ากลับไปทำงานต่อเถิด”
หลี่ช่านเย่ยิ้มอ่อนโยน ไม่ถือสาเอาความใดๆ กับพวกนาง สาวใช้ทั้งสองจึงรีบเผ่น ซ่านซ่านเห็นก็รู้สึกค่อยไม่พอใจที่คุณหนูให้อภัยคนพวกนี้ง่ายเกินไป นางกำลังจะถามว่าเหตุใดถึงไม่ว่ากล่าวตักเตือนเสียบ้าง ภายหลังจะได้ไม่ปากเปราะอีก แต่ทว่าก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคุณหนูกำลังร้องไห้
“โถ...คุณหนู” ซ่านซ่านเติบโตมาพร้อมคุณหนู เหตุใดจะไม่รู้ว่านึกคิดสิ่งใด ดรุณีน้อยวัยไร้เดียงสา เมื่ออยู่ใกล้บุรุษก็มิอาจหักห้ามใจไม่ให้หวั่นไหว ยิ่งการกระทำอันอ่อนโยนของคุณชายโจวแล้ว หัวใจคุณหนูของนางจะไปอยู่ที่ใดได้อีก นางรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายต้องเป็นเช่นนี้ และคงจะดีหากคุณชายโจวก็มีใจให้คุณหนูของตนบ้างเช่นกัน
หลี่ช่านเย่รีบปาดน้ำตาทิ้ง
หากสิ่งที่สาวใช้พวกนั้นกล่าวเป็นเรื่องจริงแล้วอย่างไรเล่า ฮูหยินเพียงในนามอย่างนางมีสิทธิ์ใดงั้นหรือ
หลี่ช่านเย่ออกมานั่งเล่นเพียงลำพังที่ศาลาสระบัวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เคยคิดเข้าข้างตัวเองอยู่หลายครั้งว่าโจวปิงหยูคงเลิกยุ่งเกี่ยวกับนางในดวงใจไปแล้ว และเคยคิดว่าเขาก็น่าจะมีใจให้นางอยู่บ้างเหมือนที่นางมีใจให้กับเขา แต่ทุกอย่างล้วนเป็นนางที่คิดเพ้อฝันไปเอง
ก่อนออกเรือนหญิงสาวยังจำสิ่งที่มารดาบอกได้ว่า
‘แต่งกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง’
จริงอย่างที่ท่านแม่กล่าว แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า ในเมื่อมีเพียงนางที่เป็นฝ่ายรักข้างเดียว
“มานั่งทำอะไรคนเดียวมืดค่ำ”
โจวปิงหยูพึ่งกลับถึงจวน เดินผ่านสวนพอดี เขาเหลือบเห็นสตรีร่างเล็กนั่งเหม่ออยู่ในศาลา จึงตั้งใจแวะพูดคุยด้วยเสียหน่อย
“เย่เอ๋อร์มีเรื่องทุกข์ใจ?” ชายหนุ่มถามเมื่อนั่งลงตรงข้าม เอียงศีรษะพินิจใบหน้างาม ก่อนจะถามไถ่ด้วยความห่วงใยเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ผู้ถูกถามจึงฝืนยิ้ม มิคิดปิดบัง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“คิดถึงบ้านเดิมอีกแล้วหรือ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมแล้วนี่”
“ข้าไม่ได้ทุกข์ใจเรื่องนั้นเจ้าค่ะ” หลี่ช่านเย่หันไปสบตาสามีในนาม จ้องลึกในตาคู่ “ท่านพี่ คือว่าข้า...”
โจวปิงหยูเลิกคิ้ว “แล้วทุกข์ใจใดเล่า”
“เรื่องลูกเจ้าค่ะ ท่านแม่บ่นอยากให้ข้ามีลูกน้อย ท่านพี่ ข้าสามารถ...” หลี่ช่านเย่รู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง ถ้าจะบอกว่านางสามารถมีบุตรให้เขาได้ หากกล่าวออกไปเช่นนั้น เขาจะรู้สึกอย่างไรนะ แต่ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค เขาก็พูดขึ้น
“เรื่องนี้นี่เอง เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย”
หลี่ช่านเย่คงรู้สึกกดดันและเขาก็เข้าใจดี สิ่งเดียวที่ผู้ใหญ่ในจวนปรารถนาคือการมีหลานไว้สืบสกุล ชายหนุ่มยื่นมือลูบศีรษะหญิงสาวตรงหน้า ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า ที่จริงจะบอกนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส ข้าจะแต่งหนิงเอ๋อร์เข้าจวน แต่งนางมาเป็นอี๋เหนียง จำคำพูดในวันแต่งงานได้หรือไม่ที่ข้าบอกว่ามีคนในใจอยู่แล้ว เป็นนาง...นางเป็นคนรักของข้าเอง”
…คงเป็นซุนซูหนิง บุตรสาวคนเล็กของคหบดีซุนฉาง นางเคยได้ยินชื่อเสียงผู้หญิงคนนี้ เห็นว่าเป็นโฉมสะคราญงามล่มเมือง
หลี่ช่านเย่เม้มริมฝีปากแน่น ก้อนสะอื้นแล่นจุกอกแทบเปล่งเสียงไม่ออก
“ข้านึกว่าท่านเลิกเกี่ยวข้องกับนางไปแล้วเสียอีก ไม่เคยได้ยินท่านพูดเรื่องนางเลยสักครั้ง” หลี่ช่านเย่คิดอย่างสงสัย แต่แล้วก็ต้องชะงัก หากเป็นซุนซูหนิงผู้งดงามผู้นั้น สตรีที่บุรุษต่างหมายปอง เขาจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับนางได้อย่างไร
โจวปิงหยูหัวเราะ “คราแรกนางก็โกรธข้าเรื่องสมรสคลุมถุงชนระหว่างพวกเราจึงไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับข้าอีก ข้าตามง้องอนอธิบายเรื่องนี้กับนางอยู่นานหลายเดือน สุดท้ายก็เข้าใจกัน” ทุกครั้งที่พูดถึงหญิงที่รัก นัยน์ตาคู่นั้นมักสุกสกาวราวมีดาวนับล้าน
“ส่วนเจ้า…ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า จะดูแลเจ้าให้ดีที่สุดเท่าที่พี่ชายคนนี้จะทำได้ เจ้าอยากทำสิ่งใดข้าล้วนสนับสนุน ระหว่างเราถูกผูกด้วยเงื่อนมิอาจแก้ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อแก้เงื่อนเส้นนี้ดี” โจวปิงหยูเคยคิดจะขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอพระราชโองการหย่าแต่บิดาห้ามเอาไว้ เพราะกษัตริย์ตรัสแล้วมิคืนคำ กระทำเช่นนั้นถือเป็นการหมิ่นพระองค์
หลี่ช่านเย่จุกแน่นในอก หน่วยตาร้อนผ่าว มือเรียวแอบกำกระโปรงแน่น ฝืนถามไม่ให้เสียงสั่นเครือ “แล้ว...ท่านจะแต่งนางเมื่อใด”
“แม่สื่อนำวันเดือนปีเกิดข้ากับหนิงเอ๋อร์ไปให้ไต้ซือที่วัดดูแล้ว ฤกษ์ดีที่เร็วที่สุดคือปลายเดือนนี้ ฤกษ์ดีอีกทีก็ปีหน้าเลย” ชายหนุ่มอธิบายด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข แต่คนที่ฟังกลับรู้สึกตรงกันข้าม