“โมนา เสร็จหรือยัง” เมธัสตะโกนถามมาจากชั้นล่างทำให้มติมนต์รีบคว้ากระเป๋าถลาวิ่งมาทันทีด้วยความรวดเร็ว
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ทำไมนานจัง วันนี้ตื่นสายเหรอ”
“เอ่อ...ค่ะพี่หมอก” หญิงสาวก้มหน้าตอบไปตามความจริง เพราะเมื่อคืนเอาแต่คิดถึงเรื่องคิมหันต์กว่าจะหลับตาลงได้ก็เกือบเช้า
“งั้นรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทัน”
เมธัสไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อเพราะเขาเองก็ต้องรีบไปทำงานเหมือนกัน แต่เวลายังพอมีเหลืออยู่ วันนี้เขาเลยอาสาเป็นคนไปส่งน้องสาวที่มหาวิทยาลัยก่อน
“อาทิตย์นี้พี่อยู่เวรทั้งอาทิตย์ โมนาอยู่บ้านคนเดียวได้ใช่ไหม”
“ได้ค่ะพี่หมอก ไม่มีปัญหาเลย” มติมนต์ยิ้มตอบในขณะที่กำลังกัดแซนด์วิชเป็นอาหารเช้าเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย พอรถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าตึกเรียนเธอก็รีบกัดมันเข้าปากเป็นคำสุดท้ายแล้วหิ้วขวดน้ำติดมือลงจากรถไปทันที “ขับรถดี ๆ นะคะพี่หมอก”
หญิงสาวโบกมือลาแล้วรีบหมุนตัวขึ้นไปบนตึกเรียนเพราะเหลือเวลาอีกแค่ห้านาทีเท่านั้น
“โมนา คิดว่าไม่มาซะแล้ว” ฟ้าลดาเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทันทีที่เห็นเธอเข้ามาในห้อง
“วันนี้ตื่นสายนิดหน่อยน่ะ” มติมนต์ตอบก่อนจะหันไปเอ่ยทักเพื่อนอีกคนที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้าง ๆ “แก้วเป็นอะไรน่ะ ทำไม...”
พูดยังไม่ทันจบ ฟ้าลดาก็ออกแรงบีบแขนของเธอเบา ๆ แล้วเป็นฝ่ายเบี่ยงตัวเข้ามาตอบคำถามนั้นแทน
“ยัยแก้วเพิ่งอกหักมาเมื่อคืน อย่าเพิ่งไปถามอะไรมันตอนนี้เลย”
“อ่อ เข้าใจแล้วล่ะ” มติมนต์ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็ยังนึกเป็นห่วงแก้วเจ้าจอมไม่หาย พอไม่ได้ยินเสียงก็ดูเหมือนว่าโลกใบนี้มันขาดอะไรไป ดูเหงาและวังเวงพิกล
เสียงข้อความเด้งขึ้นเข้ามาในตอนที่เธอกำลังจดจ่ออยู่กับสไลด์ของอาจารย์เบื้องหน้า ตอนแรกคิดว่าจะทำเฉยแต่มันก็ดังขึ้นมารัว ๆ จนเธอเสียสมาธิ
“บ้าจริง” มือเรียวกดปิดเครื่องไปโดยไม่ได้สนใจจะอ่านข้อความเหล่านั้นเพราะรู้ดีว่าใครเป็นคนส่งเข้ามาก่อกวน
“อา...เมื่อยจัง ง่วงก็ง่วง” ฟ้าลดาบิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นเมื่อเรียนเสร็จในคาบเช้า พออาจารย์เดินออกจากห้องไปมติมนต์จึงเปิดดูข้อความที่คิมหันต์ส่งมาทันที
คิมหันต์ : คิดถึงจังเลยที่รัก
ตั้งใจเรียนนะ
เย็นนี้คงไม่ได้ไปส่ง
รักนะ
“เหอะ รักกับผีน่ะสิ อยากจะบ้าตาย” หญิงสาวพึมพำอย่างหัวเสียทำให้คนข้าง ๆ ต้องหันมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ว่าไงนะโมนา”
“ไม่มีอะไรหรอก เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฉันเริ่มหิวแล้วแหละ” มติมนต์รีบปิดมือถือแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้กินอะไรกันดี...”
“พวกเธอสองคนไปกันเลยนะ ฉันยังไม่หิว ตอนเย็นฝากลาด้วยนะฉันคงไม่ได้มา” พูดยังไม่ทันแก้วเจ้าจอมก็ลุกยืนขึ้นในสภาพที่เหมือนร่างไร้วิญญาณ ทำให้ทั้งสองได้แต่มองตามไป ไม่กล้าจะเอ่ยถามอะไรต่อ
“สงสารแก้วจัง”
“เดี๋ยวแก้วเขาก็ดีขึ้นเองแหละ เราลงไปหาอะไรทานดีกว่า” พูดจบฟ้าลดาก็สวมกอดแขนมติมนต์ไว้ก่อนจะพากันลงไปทานมื้อเที่ยงแบบง่าย ๆ ที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ทำให้เพื่อนร่วมห้องที่เห็นภาพนั้นต่างพากันเอ่ยแซวขึ้นมาทันที
“สองคนนี้ตัวติดกันจนฉันคิดว่าเป็นแฟนกันแล้วนะเนี่ย”
“นั่นน่ะสิ เสียดายว่ะ โมนาไม่น่าเป็นทอมเลย”
“เป็นทอมแล้วมันเสียหายตรงไหนไม่ทราบ” ฟ้าลดาสวนกลับทันควันทั้งที่ยังกอดแขนมติมนต์ไว้แน่น
“ก็ไม่ได้เสียหายหรอก พวกเราแค่อกหักที่ไปหลงรักผัวเขาน่ะ ฮ่า ๆ ๆ”
“พูดบ้าอะไร ฉันไม่ได้เป็นทอมเสียหน่อย เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกันเว้ย!” หญิงสาวตวาดกร้าว ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าการตัดผมสั้นแต่งตัวห้าว ๆ จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันแบบนี้ “ฟ้าไม่น่าไปบอกแบบนั้นเลย”
“ใครจะไปรู้ล่ะ...เราเห็นโมนาครั้งแรกเรายังคิดว่าโมนาเป็นทอมเลย”
“จะบ้าเหรอ...ฉันแค่อยากตัดผมเพราะไม่ชินกับอากาศเมืองไทยต่างหาก” มติมนต์ให้เหตุผล เธอรีบสลัดแขนออกจากการกอบกุมของฟ้าลดาแล้วเดินล่วงหน้าไปทันทีโดยที่เธอไม่ทันสังเกตเลยว่าคนที่กำลังเดินไล่ตามหลังมา กลับมีสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
เสียงกลองดังกึกก้องไปทั้งสนามในขณะที่มติมนต์กับฟ้าลดากำลังนั่งเล่นอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่เพื่อรอเวลารวมตัวกันในสาขาเพื่อซ้อมเชียร์กีฬาสีของคณะที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วัน
“น้อง ๆ มานี่หน่อยสิ “เสียงรุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยเรียก ฟ้าลดาจึงละสายตาจากจอมือถือด้วยความตกใจ
“คะ!? ”
” ไม่ใช่ ๆ อีกคนนึงน่ะ” อีกฝ่ายทำท่าปฏิเสธก่อนจะชี้ไปที่มติมนต์ที่ยังนั่งพิมพ์ข้อความด่ากลับไปหาคิมหันต์อย่างเมามัน
โมนา : เลิกส่งข้อความบ้า ๆ ของนายมาหาฉันได้แล้ว ถ้ายังส่งมาอีก ฉันจะสาปแช่งไม่ให้นายได้ผุดได้เกิดเลยคอยดู
“โมนา พี่เขาเรียกน่ะ” ฟ้าลดาหันมาสะกิดตอบทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามอีกคน
“เรียกหนูเหรอคะ”
“อืม เรานั่นแหละ หุ่นใช้ได้เลย มาช่วยถือป้ายแทนเพื่อนให้หน่อยสิ พอดีมันประสบอุบัติเหตุขาหักน่ะ คิดว่าคงเดินไม่ไหวแน่” รุ่นพี่อธิบายพลางชี้ไปที่สนามซึ่งมีเพื่อนร่วมสาขากำลังซักซ้อมกันอยู่
“หนูนี่อ่านะ”
“เออ เรานั่นแหละ”
“แต่หนู...” พูดยังไม่ทันจบ เธอก็ถูกลากเข้าไปในสนามก่อนจะยัดป้ายสาขาให้ในมือแล้วพาหยุดยืนยังหัวขบวนเคียงข้างกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน
“อะไรของมึงวะ ไหนบอกหัวขบวนให้ผู้ชายถือ มึงไปเอาผู้หญิงมาทำหอกอะไร” รุ่นพี่อีกคนแย้งขึ้นเมื่อเห็นมติมนต์เข้ามาแทนที่คนเก่าที่ได้ข่าวว่าประสบอุบัติเหตุ
“เวลากระชั้นชิดแบบนี้ มึงจะให้กูไปหาที่ไหน เอาน้องคนนี้แหละ เดี๋ยววันจริงกูจะแต่งให้หล่อเลย”
คำตอบของรุ่นพี่คนนั้นทำให้มติมนต์ถึงกับช็อก สรุปที่ลากเธอเข้ามาไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน่วยก้านและความสวยแต่เพราะทุกคนต่างคิดว่าเธอเป็นทอมต่างหาก
“เอาตามนี้ละกันนะน้อง ช่วย ๆ กันนะ” รุ่นพี่คนนั้นหันมาตบไหล่เล็กเบา ๆ พร้อมกับยกมือขึ้นกำหมัดทำท่าเป็นกำลังใจให้
“เมื่อไหร่ผมจะยาวสักทีเนี่ย คนอื่นเขาเข้าใจผิดกันหมดแล้ว” มติมนต์ก้มหน้าพึมพำกับตัวเอง เห็นเธอนิ่งเงียบไปรุ่นพี่จึงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“น้องโอเคไหม ถือได้หรือเปล่า”
“ได้ค่ะพี่ ไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มตอบ ในขณะที่รุ่นพี่เริ่มตรวจดูความเรียบร้อยของการจัดวางคน เมื่อเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงเริ่มส่งสัญญาณให้ลองขยับเดิน
“โอเค งั้นตกลงตามนี้แหละ เดี๋ยวจะนัดมาซ้อมกันอีกทีนะ”
“เห้อ...” มติมนต์ถอนหายใจออกมายาวเหยียดในขณะที่เดินกลับเข้ามาทรุดกายนั่งลงเคียงข้างฟ้าลดา เสียงกรี๊ดกร๊าดของนักศึกษาที่ซ้อมเชียร์อยู่บนอัฒจันทร์ก็ดังขึ้นทำให้เธอต้องมองตามต้นเสียงไปโดยอัตโนมัติ
“นั่นพี่คิม รุ่นพี่ปีสามคณะวิศวะนี่” เสียงคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กระซิบกระซาบกัน ยิ่งสะกดให้มติมนต์ทอดสายตามองหาร่างนั้นแบบไม่รู้ตัวก่อนจะพบกับคิมหันต์ที่กำลังเตะบอลอยู่ในสนามร่วมกับเพื่อนคนอื่น ๆ
“หล่อจังเลยอ่ะ พี่เขามีแฟนหรือยัง”
“ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็น แต่ได้ยินมาว่าพี่เขาควงไม่ซ้ำหน้าเลยล่ะ”
“เหอะ...ทั้งมักมาก ทั้งโรคจิต” หญิงสาวเผลอพูดออกมาเสียงดังทำให้เจ้าของบทสนทนาก่อนหน้าหันมามองที่เธอกันอย่าพร้อมเพรียงกัน
“เธอว่าไงนะ”
“เปล่า...ฉันแค่พูดลอย ๆ น่ะ” เธอแก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ แต่สายตาก็ยังเผลอมองตามคิมหันต์ไป เห็นเขาสวมเสื้อกีฬากับกางเกงขาสั้นเหมือนวันก่อน อยู่ ๆ สมองของเธอก็เผลอคิดถึงความใหญ่โตที่ซ่อนอยู่ในนั้นขึ้นมาอีกครั้งจนไม่ได้ยินเสียงฟ้าลดาเอ่ยเรียก
“โมนา”
“...”
“โมนา!”
“ห๊ะ! ว่าไง” มติมนต์สะดุ้งตกใจรีบส่ายหน้าไล่ความคิดเรื่องคิมหันต์ออกไปทันที
“เสร็จแล้ว เรากลับกันเถอะ”
“อืม ไปสิ” หญิงสาวรีบตอบ สายตาเหลือบไปเห็นคิมหันต์ยังเตะบอลอยู่ถ้าเธอกลับไปตอนนี้เขาก็อาจจะตามราวีเธอไม่ได้