มติมนต์ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนเลยตลอดทั้งวันเพราะเอาแต่คิดถึงคิมหันต์และบัตรที่ถูกยึดไปจนแทบจะอดใจรอถึงตอนเลิกเรียนไม่ไหว
“เดี๋ยวพวกเธอกลับกันก่อนได้เลยนะ ฉันว่าจะรอพี่หมอกมารับน่ะ” หญิงสาวรีบบอกลาเพื่อนทันทีหลังเลิกเรียน ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะอ้าปากถาม เธอก็รีบวิ่งลงมารอคิมหันต์ข้างล่างเสียก่อน “ทำไมยังไม่มาอีก”
มติมนต์เหลือบมองนาฬิกาด้วยความร้อนใจ ชะเง้อมองไปที่ถนนจนคอยาวยืดก็ยังไม่เห็นวี่แววของคิมหันต์จะมาหาตามนัดเสียที
“โมนา...” เสียงฟ้าลดาวิ่งตามลงมาเอ่ยทักพร้อมกับฝ่ามือเรียวที่แตะลงบนไหล่เล็กแผ่วเบาแต่ทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“ฟ้า ตกใจหมด”
“เป็นอะไรเนี่ย ขวัญอ่อนขนาดนั้นเลยเหรอ” อีกฝ่ายหลุดขำพลางชะเง้อมองไปทางเดียวกับมติมนต์ “พี่ชายเธอยังไม่มารับล่ะสิ”
“เอ่อ...ยังน่ะ”
“งั้นให้ฉันไปส่งไหม ฉันไปส่งได้นะ” ฟ้าลดาขันอาสาแต่คนที่กำลังร้อนใจกลับปฏิเสธออกไปอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร พี่หมอกบอกให้รอ เดี๋ยวเขามาแล้วไม่เจอ”
“งั้นก็ตามใจ ฉันไปก่อนละกัน” ใบหน้าอีกฝ่ายบึ้งตึงเล็กน้อย เมื่อมติมนต์ยังยืนยันที่จะรอต่อเธอจึงหมุนตัวกลับไปขึ้นรถของตัวเอง ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินไปมาราวกับหนูติดจั่นด้วยความร้อนใจแต่เพียงลำพัง
“บ้าจริง คิมหันต์ ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่โผล่มาอีก” หญิงสาวกระวนกระวายใจจนแทบนั่งไม่คิด ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงหกโมงกว่าแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าคิมหันต์จะมา
“โอ๊ย !อีตาบ้า จะให้ฉันรอไปจนถึงเมื่อไหร่เนี่ย” มติมนต์พึมพำอย่างหัวเสีย ไฟข้างถนนในมหาวิทยาลัยส่งแสงสว่างขึ้นทันทีที่ความมืดเริ่มย่างกรายเข้ามา คนตัวเล็กยืนรอจนท้อใจเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งด้วยสีหน้าที่เจียนจะร้องไห้โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าคนเจ้าแผนการกำลังนั่งอยู่ในรถ จอดแอบอยู่มุมตึกจ้องมองท่าทางกระตือรือร้นของเธอพร้อมกับรอยยิ้มอำมหิต
ครืด...
เสียงสมาร์ตโฟนในกระเป๋าดังขึ้นทำให้หญิงสาวละสายตาจากถนนเบื้องหน้า รีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดเมื่อเห็นว่าเมธัสเป็นคนโทรเข้ามา
“ค่ะพี่หมอก”
(โมนา อยู่ไหนเนี่ย จะสองทุ่มแล้วนะทำไมยังไม่กลับ) อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงทำให้เธอต้องโกหกออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
“โมนาต้องอยู่เคลียร์งานน่ะค่ะ อีกสักพักก็เสร็จแล้ว”
(ให้พี่ไปรับไหม)
“ไม่เป็นไรค่ะ โมนากลับเองได้”
มติมนต์รีบวางสายไป เหลือบมองท้องถนนที่ว่างเปล่าอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวเดินออกไปขึ้นรถข้างหน้าเพราะคิดว่าคิมหันต์คงจะลืมนัดของเธอไปแล้ว
เห็นดังนั้นคนที่จอดรออยู่จึงรีบสตาร์ตรถแล้วขับตามจี้ไปทันที แกล้งบีบแตรเสียงดังจนอีกฝ่ายสะดุ้งตกใจ
ปี๊น!
“กรี๊ด!” หญิงสาวร้องเสียงหลงรีบกระโดดหลบโดยอัตโนมัติเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรถที่กำลังจอดและเจ้าของเปิดประตูลงมาเธอก็รีบยืนขึ้นแล้วฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มแรง
เพี๊ยะ!
“อะไรกันเนี่ย มาตบฉันทำไม” คิมหันต์ชะงักรู้สึกชาไปทั้งใบหน้าเมื่อลงจากรถอยู่ ๆ ก็ถูกตบแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“นายหลอกให้ฉันรอจนมืดค่ำ แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
“ก็ฉันไปเล่นบอลมา แล้วอีกอย่างฉันก็มาตามนัดแล้วนี่ไง” เขาอธิบายพลางยกมือขึ้นปาดเช็ดมุมปากตัวเองเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด “แรงดีขนาดนี้ เธอหายดีแล้วสินะ”
“หายดี...” มติมนต์ชะงักเพราะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไรแต่พอเหลือบไปเห็นรถหรูที่จอดอยู่ข้างหลังเธอก็จำได้ทันทีว่ามันคือรถคันเดียวกันที่ขับเฉี่ยวเธอเมื่อหลายวันก่อน “นี่รถนายเหรอ...”
“อืม...ฉันนี่แหละเป็นคนขับจนเกือบจะชนเธอวันนั้น” เขาสารภาพด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบพิงกระโปรงรถอย่างใจเย็น
“นี่นาย...นายเกือบจะชนฉันแล้วไม่ขอโทษกันสักคำนี่อ่านะ”
“ขอโทษ” คิมหันต์พ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วเอ่ยคำขอโทษแบบส่ง ๆ
“เหลือเชื่อเลยจริง ๆ ว่าบนโลกนี้จะมีคนอย่างนายอยู่ด้วย” มติมนต์ขบกรามแน่น พยายามระงับสติอารมณ์ไม่ให้เผลอตะบันหน้าเขา “เอาของฉันคืนมา แล้วนายจะไปไหนก็ไป”
“เดี๋ยวสิ ฉันยังสูบบุหรี่ไม่เสร็จเลย”
“นั่นมันเรื่องของนาย อย่ามาเล่นลิ้น” เธอกระแทกเสียงใส่ พอเห็นว่าเขายังสูบบุหรี่อย่างสบายใจ เธอจึงถือวิสาสะกระชากประตูรถออกเพื่อมองหาบัตรที่น่าจะถูกเก็บไว้ในนี้ “อยู่ไหนกันนะ”
“ก็อยู่ในนั้นแหละ” ร่างสูงขยี้ก้นบุหรี่จนดับแล้วจึงปาทิ้งลงถังขยะก่อนจะขยับมาหยุดยืนตรงประตูรถที่มติมนต์กำลังโน้มตัวเข้าไปควานหาบัตรนักศึกษา พอเธอขยับกายทำท่าจะถอยออกมา สะโพกของเธอก็ชนเข้ากับส่วนนั้นของเขาอย่างจัง
“โอ๊ะ!” หญิงสาวตัวชาหนึบ มือที่กำลังขยับออกก็ต้องหยุดโดยอัตโนมัติ คนที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังจึงแกล้งจับประตูรถไว้
“ไหนล่ะหาเจอหรือยัง”
“ยัง...นายก็เข้ามาหาให้หน่อยสิ” เธอขยับเข้ามาในรถทันทีเพราะไม่อยากจะอยู่ใกล้เขาแม้แต่วินาทีเดียว
“ไม่เจอ...งั้นก็ไม่ต้องหาแล้ว” พูดจบคิมหันต์ก็กระแทกประตูรถปิดลงก่อนที่เขาจะรีบวิ่งอ้อมกลับขึ้นมานั่งตรงตำแหน่งคนขับ จัดการล็อกรถเสร็จสรรพด้วยความไวแสงจนมติมนต์ไปทันได้ตั้งตัว
“นายทำบ้าอะไรเนี่ย ฉันยังไม่ได้ลงจากรถเลย เอาบัตรฉันคืนมาแล้วก็ปลดล็อกประตูเดี๋ยวนี้”
“สั่งจังเลยแม่คุณ” เหมือนเขาจะไม่รับฟังในสิ่งที่เธอร้องขอ แต่กลับทำตรงกันข้าม รีบสตาร์ตรถแล้วพุ่งทะยานออกสู่ถนนใหญ่ทันที
“นายจะไปไหน”
“ก็ไปส่งไง”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายไปส่งนะ จอดรถเดี๋ยวนี้”
“อย่าทำเป็นอวดเก่งได้ป่ะ มืดค่ำขนาดนี้แล้ว” เขาตะคอกเสียงดัง รวบมือเรียวที่กำลังทุบลงบนไหล่กว้างไว้ด้วยมือเดียว “ถ้าไม่เลิกอาละวาด รถคว่ำตายอย่ามาโทษฉันนะ”
“บ้าจริง...” คำขู่ของคิมหันต์ทำให้มติมนต์ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอได้แต่นั่งนิ่งจนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าไปในซอย
“ถึงแล้ว” เขาจอดรถเยื้องกับบ้านเล็กน้อยในขณะที่คนตัวเล็กยังอ้าปากเหวอ ตัวชาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“นายรู้จักบ้านฉันได้ยังไง”
“จะไม่รู้ได้ไง ก็แอบตามมาตลอด” เป็นอีกครั้งที่เขายอมรับหน้าตาเฉยทำให้มติมนต์ยิ่งรู้สึกฉุน
“นาย...นี่แสดงว่าที่ผ่านมา นายสะกดรอยตามฉันมาตลอดใช่ไหม คนที่ฉันเห็นบ่อย ๆ ก็คือนายเองเหรอ” หญิงสาวขบกรามแน่นก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับอีกครั้ง
“อืม เป็นฉันเองแหละ จริง ๆ ตอนนั้นฉันรู้สึกผิดที่ขับรถเกือบชนเธอน่ะก็เลยแอบตามมา จะดูว่าเจ็บมากหรือเปล่า แต่พอดูไปดูมาเธอเกิดน่ารักโดนใจ ฉันเลยตามจีบแทน” คิมหันต์สารภาพด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาทำเหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องปกติ
“นายต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ฉันจะแจ้งความจับนาย”
“ข้อหาอะไรไม่ทราบ”
“ข้อหาตามคุกคามไง” มติมนต์ให้เหตุผลแต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
“เขาเรียกตามจีบ ไม่ได้คุกคามเสียหน่อย”
“แต่ฉันเรียกว่าคุกคาม นายเลิกตามรังควานฉันสักทีไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งความจับนายจริง ๆ ด้วย”
“เอาเลย ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าตำรวจจะยัดข้อหาอะไรให้ หลักฐานก็ไม่มีแล้วอีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรเธอด้วย”
“นายนี่มัน...” มติมนต์ขบกรามแน่น รู้สึกจุกเพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาหักล้างคำพูดของเขา “นายต้องการอะไรกันแน่ บอกฉันมาเลยดีกว่า”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันกำลังตามจีบเธออยู่ นี่มองไม่ออกจริง ๆ เหรอ” คิมหันต์ยังยืนยันในคำตอบเดิมแต่หญิงสาวก็ยังไม่ปักใจเชื่ออยู่ดี
เขาจีบกันแบบนี้จริง ๆ เหรอ
ว่าแต่...คิมหันต์นายพกอะไรมา ทำไมโมนาต้อตกใจขนาดนั้นตอนที่ขยับสะโพกชน
มีคนอยู่ไหมค้าาาา ฝากคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้เค้าโหน่ยน้าาาา