เช้าวันใหม่มาถึงวันนี้ลี่อินจะไม่นอนรออยู่ในห้องเหมือนทุกวันอีกแล้ว วันนี้นางจะต้องพาตัวเองออกไปนั่งกินข้าวร่วมกับคนอื่นๆ และเดินสำรวจรอบๆ บ้านให้จงได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตรวจสอบอาการทั่วๆ ไปเมื่อรู้สึกว่าร่างกายปกติดี จึงทำการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วค่อยๆ เดินไปที่ประตู
พอเปิดประตูห้องนอนออกมาก็เจอกับทางเดิน ฝั่งตรงข้ามห้องของนางมีห้องอยู่อีกห้องหนึ่ง ด้านข้างก็มีอีกห้องหนึ่ง ฝั่งขวามือเป็นฝั่งหน้าบ้านมีห้องโถงที่ใหญ่กว่าห้องนอนของนางเล็กน้อย มีโต๊ะตัวเตี้ยสองตัววางติดกันอยู่ตรงกลางห้องซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครอยู่ในห้องโถง ลี่อินยืนมองไปรอบๆ ก็ได้กลิ่นหอมลอยมาจากทางหลังบ้านซึ่งประตูหลังบ้านอยู่ทางซ้ายมือเพื่อออกไปยังห้องครัว และห้องน้ำ ลี่อินจึงค่อยๆ เดินไปโดยเอามือเกาะผนังเพื่อพยุงตัวไปด้วย ร่างกายนี้ไม่ค่อยได้ลุกเดินไปไหนมาไหนมากนัก เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังให้ดี
เมื่อเดินมาถึงประตูหลังบ้านที่เปิดเอาไว้พอมองออกไปฝั่งขวามือจะเห็นห้องครัวมีประตูห้องเก็บของอยู่ด้านใน และอีกฝั่งด้านซ้ายมีห้องน้ำซึ่งตั้งอยู่ฝั่งเดียวกับห้องนอนของนาง และฝั่งซ้ายนี้อยู่ชิดกับรั้วบ้าน มีทางเดินปูด้วยหินแบ่งทั้งสองฝั่งแยกกันเอาไว้ ส่วนแปลงผักก็อยู่ด้านหลังห้องครัวยาวจากรั้วหน้าบ้านไปถึงแนวรั้วหลังบ้าน ถึงจะบอกว่ายาวแต่ดูจากขนาดพื้นที่ของบ้านน่าจะประมาณสามหมู่ (1 หมู่ 666 ตรม.) หรือถ้าเทียบแบบชาติก่อนคงประมาณหนึ่งไร่กว่าๆ สำหรับคนสมัยนี้คงบอกว่าพื้นที่ขนาดนี้ไม่พอทำกิน เพราะคนส่วนใหญ่ยังนิยมปลูกข้าวกัน แต่สำหรับตัวนางคิดว่าขนาดนี้กำลังพอดี มีบ้านหนึ่งหลังมีแปลงผักล้อมรอบเอาไว้สำหรับปลูกกินเองในครอบครัว
ลี่อินยืนมองสำรวจไปทั่วจนหันไปสบตาเข้ากับมารดาที่เงยหน้าขึ้นมาจากการทำอาหาร จึงส่งยิ้มกว้างเต็มหน้าไปให้ และค่อยๆ เดินเกาะผนังจนไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างด้านข้างห้องครัว
ลี่ถิงที่กำลังทำอาหารเช้าก็รู้สึกเหมือนเห็นใครยืนอยู่ตรงประตูหลังบ้านจึงหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นบุตรสาวที่ยืนเกาะประตูหลังบ้านหันมองสำรวจไปทั่ว จนอีกฝ่ายหันมาเห็นว่านางกำลังมองอยู่ ก็ส่งยิ้มกว้างมาให้และค่อยๆ เดินมาเกาะที่ขอบหน้าต่างข้างห้องครัวไม่ได้เดินเข้ามา
"อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านแม่ หอมจังอาหารเช้าวันนี้มีอะไรกินหรือเจ้าคะ" ลี่อินที่รู้ว่าร่างกายตนเองยังไม่แข็งแรงดีนักการพาตนเองเข้าไปอยู่ในครัวที่มารดากำลังทำอาหารอยู่คงไม่ใช่ความคิดที่ดี เพราะฉะนั้นยืนเกาะขอบหน้าต่างอยู่ข้างนอกเช่นนี้ปลอดภัยกว่า
"วันนี้เจ้าถึงกับลุกขึ้นเดินออกมาเองได้อย่างงั้นรึ" ลี่ถิงเองก็แปลกใจที่เห็นบุตรสาวสามารถลุกเดินออกมานอกห้องได้ด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่พึ่งจะฟื้นจากการล้มป่วยหนักมาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น และก่อนหน้านี้บุตรสาวก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะลุกเดินไปไหนมาไหนด้วยตนเองได้เลย ต้องมีคนคอยช่วยพยุงตลอด แต่พอคิดถึงเรื่องที่บุตรสาวทำได้จึงวางใจลง ของวิเศษแบบนั้นยังมีได้ถ้าบุตรสาวจะมีร่างกายแข็งแรงขึ้นก็คงเป็นไปได้เช่นเดียวกัน
"เจ้าค่ะ วันนี้ลูกไม่รู้สึกเหนื่อยหอบหรือแขนขาไม่มีเรี่ยวแรงเช่นวันก่อนๆ แล้วเพราะฉะนั้นจึงลองลุกออกมาเดิน แต่ลูกก็ค่อยๆ เดินมานะเจ้าคะ เกาะฝาผนังช่วยพยุงมาตลอดทางไม่มีล้มเลยเจ้าค่ะ" ลี่อินเอ่ยปากบอกให้มารดาสบายใจว่านางเองก็ระมัดระวังตัวเองอยู่นะ
"ดีแล้ว วันนี้แม่ทำโจ๊กฟักทอง กับหมูสับคลุกข้าวโพดทอด อาหารวันนี้เจ้ากินด้วยได้" ลี่ถิงเองพอได้ฟังว่าบุตรสาวก็ระมัดระวังตนเองเป็นอย่างดีก็ให้วางใจ จึงบอกชื่ออาหารเช้าให้อีกฝ่ายฟังซึ่งก็ดูท่าจะถูกใจอยู่ไม่น้อย
"แค่ฟังก็น้ำลายไหลแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านพ่อ พี่ใหญ่และน้องๆ ยังไม่ตื่นอีกหรือเจ้าคะ" ลี่อินหันมองไม่เห็นใครก็ให้สงสัย ปรกติเวลานี้ตอนนางตื่นนอนก็จะได้ยินเสียงพูดคุยจากคนอื่นๆ ในครอบครัวบางแล้ว
"ตื่นแล้ว พากันไปสอนวิธีอาบน้ำสระผมที่บ่อน้ำเก่าด้านหลังตรงริมรั้วนู้นน่ะ เจ้าไปนั่งรอแม่สักประเดี๋ยว รอท่านพ่อกับพวกพี่ชายน้องชายเจ้ากลับมาแม่จะพาเจ้าไปอาบน้ำสระผมบ้าง" บ้านนี้มีบ่อน้ำสองบ่อ บ่อที่ใช้งานตอนนี้คือบ่อที่อยู่หลังห้องครัวติดกับแปลงผักเป็นบ่อที่ขุดขึ้นมาใหม่ ส่วนอีกบ่อเป็นบ่อเก่าที่ขุดทางน้ำออกมาจากลำธารด้านหลังที่ไหลมาจากแม่น้ำสายอื่นผ่านหมู่บ้านแล้วไหลลงทะเล และบ้านของนางอยู่ทางต้นน้ำพ่อลูกจึงชอบไปอาบน้ำที่นั่นกันเพราะจะได้จับปลาจับกุ้งด้วย
"ดีเลยเจ้าคะ ลูกก็เริ่มรู้สึกคันหัวอยู่เหมือนกัน" ลี่อินพอได้ฟังว่ามารดาจะพาไปอาบน้ำสระผมก็ตาเป็นประกาย เพราะตั้งแต่ฟื้นมามารดาทำเพียงเช็ดตัวให้นางเท่านั้น ถึงวันๆ นางจะทำแค่กินกับนอนอยู่ในห้องก็รู้สึกไม่สบายตัวเท่าการได้อาบน้ำอยู่ดี
"งั้นไปนั่งรอที่ตั่งไม้ตรงนู้นก่อนเถอะ" ลี่ถิงเห็นบุตรสาวยืนนานแล้วกลัวว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยจึงให้ไปนั่งรอที่ตั่งไม้เก่าข้างสวนผัก ตรงนั้นพอมีร่มเงาจากต้นเหมยอยู่ (ต้นบ๊วย)
ลี่อินเดินมาตามที่มารดาบอกก็เห็นตั่งไม้เก่าที่นางไม่แน่ใจว่าถ้านั่งลงไปแล้วมันจะพังลงมาหรือเปล่า ก็เลยไปยืนพิงต้นเหมยแล้วคิดไปว่าถ้าเอาพวกของประดับในเกมออกมาใช้ได้คงดี และพอคิดจบก็มีแสงกะพริบเรียกจากจอเกมที่เปิดค้างเอาไว้ แต่นางเลื่อนเอาไปไว้ด้านข้างเพื่อไม่ให้เกะกะเวลามอง พอเลื่อนจอกลับมาไว้ตรงหน้าก็เห็นข้อความจากจอเกม
[เลือกของตกแต่ง (ตกลง) (ยกเลิก) ]
พอลี่อินเห็นเช่นนี้ก็ดีใจมากของตกแต่งในฟาร์มของนางมีแต่ของสวยๆ ทั้งนั้น เพราะส่วนใหญ่ได้มาจากเวลาชนะการแข่งขันหรือบางอย่างก็ใช้เพชรซื้อมา นางไม่ต้องคิดสิ่งใดมากก็เอ่ยตกลงทันที
พอเอ่ยตกลงเสร็จที่หน้าจอเกมก็ปรากฏภาพรายการของตกแต่งพร้อมจำนวนที่มีอยู่ พอเห็นอย่างนี้ลี่อินจึงเลื่อนหาและขอลองเป็นของธรรมดาอย่างเช่นโต๊ะปิกนิก พอเอ่ยชื่อจบโต๊ะปิกนิกสีน้ำตาลตัวใหญ่แบบมีเก้าอี้ในตัวเหมือนเก้าอี้ที่ใช้ในโรงอาหารก็ลอยออกมา นางมองไปที่จอก็เห็นมีคำสั่งขึ้นมาอีก
[โปรดระบุพื้นที่ติดตั้ง (ตกลง) (ยกเลิก) ]
ลี่อินไม่แน่ใจว่าจะระบุพื้นที่วางของอย่างไร จึงลองเอามือแตะไปที่ภาพโต๊ะปิกนิกแล้วลากไปวางแทนตั่งไม้อันเก่า ซึ่งตัวของโต๊ะก็เลื่อนไปตามมือของนางและเมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ต้องการแล้ว ลี่อินจึงเอ่ยตกลง หน้าจอก็มีคำถามขึ้นมาอีกว่า
[ต้องการวางแทนที่ (ตกลง) (ยกเลิก) ]
ลี่อินก็ตอบตกลง และจอก็ขึ้นคำถามมาอีก
[ของที่ถูกแทนที่จะหายถาวร (ตกลง) (ยกเลิก) ]
คราวนี้ลี่อินจึงเข้าใจแล้วว่านางสามารถเอาของตกแต่งในเกมออกมาใช้งานได้ และเอามาแทนที่ของที่มีอยู่ได้ด้วย นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรือ แต่ไม่รู้ว่าของจะสามารถเอาออกมาใช้ได้ไม่จำกัดเหมือนของในคลังหรือเปล่าเพราะฉะนั้นของมันต้องลอง
พอลี่อินพูดว่าตกลงจบโต๊ะปิกนิกที่เอาออกมาจากเกมก็วางลงแทนที่ตั่งไม้ตัวเก่าในตำแหน่งเดียวกัน และพอไปดูที่จอเกมจำนวนโต๊ะก็ลดลงไปหนึ่งตัว เป็นอันว่าของตกแต่งสามารถใช้ได้จำกัดเท่าจำนวนของที่มีอยู่นั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดีมากเพราะของตกแต่งในเกมของนางมีเยอะมาก พอคิดได้อย่างนั้นใต้ต้นเหมยนี่ก็น่าจะมีที่นั่งอีกสักอัน ลี่อินจึงเลื่อนจอเกมหาเก้าอี้สวยๆ อีกสักอัน
และครั้งนี้ลี่อินก็เลือกเป็นชิงช้าในสวนออกมา มันเป็นชิงช้าสีขาวแบบมีเก้าอี้ยาวมีโซ่คล้องไว้กับหลังคาทั้งสองข้างมีเสาสี่ต้นที่ใช้ตั้งชิงช้ากับพื้น และตัวเสาทั้งสี่ก็มีต้นดอกไม้เล็กๆ เลื้อยพันอยู่ พอเอามาวางไว้ใต้ต้นเหมยแล้วมันดูสวยมากทีเดียว และก่อนที่ลี่อินจะได้เลือกของอย่างอื่นออกมาอีกก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเดินตรงมาทางต้นเหมยที่นางยืนอยู่
"โอ้โห พี่รองนี่มันคืออะไรหรือขอรับสวยเหลือเกิน อ่ะ มันแกว่งได้ด้วย พี่สามเก้าอี้ที่แกว่งได้อย่างนี้เรียกว่าอะไรนะ ที่บ้านท่านลุงอี้ก็มีที่พวกเด็กผู้หญิงชอบไปนั่งกัน ข้าจำชื่อมันไม่ได้" ลี่คังที่วิ่งนำหน้ามาก่อนใครพอเห็นของที่ลี่อินเอาออกมาก็ดีใจกระโดดโลดเต้นวิ่งไปวิ่งมาดูตรงนั้นทีตรงนู้นที
"มันเรียกว่าชิงช้าแต่ที่บ้านท่านลุงอี้มันเป็นแค่แผ่นไม้ผูกเชือกห้อยเอาไว้กับต้นไม้แค่นั้น ไม่เห็นสวยเหมือนอันนี้เลย" ลี่คุนเองก็วิ่งตามน้องชายฝาแฝดมาติดๆ แล้วทั้งสองก็วิ่งไปดูโต๊ะปิกนิก วิ่งกลับมานั่งบนชิงช้าสองแฝดพากันวิ่งเล่นดูสนุกสนานเหลือเกิน
"เอาล่ะพอแล้ว พวกเจ้าพึ่งจะอาบน้ำสระผมมาประเดี๋ยวก็เหงื่อออกตัวเหม็นพอดี" เสียงของท่านแม่ดังขึ้นพร้อมกับที่อีกฝ่ายเดินหอบข้าวของสำหรับอาบน้ำมาด้วย
"ถ้าอย่างไรพวกเราไปกินข้าวกันก่อน วันนี้อาอินลุกเดินออกมาจากห้องเองได้ เพราะฉะนั้นก็ไปนั่งกินข้าวพร้อมกันก่อนเถอะ" ท่านแม่นำข้าวของไปวางไว้ที่หน้าห้องน้ำ แล้วเดินกลับมาเรียกให้ทุกคนไปกินข้าวเช้าพร้อมกัน
"หืม อาอินลูกเดินออกมาเองอย่างงั้นรึ" ท่านพ่อหันมาเอ่ยถามนาง
"ใช่เจ้าค่ะ ลูกเดินออกมาเองเก่งไหมเจ้าคะ" ลี่อินเองก็เอ่ยรับพร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้บิดา
"เก่งมาก อาอินของพ่อแข็งแรงแล้ว" ท่านพ่อเอื้อมมือมาลูบหัวนางและเดินอยู่ด้านหลังคอยประคองนางเดินมาที่ห้องโถง
"มาเตรียมตัวกินข้าวกันได้แล้ว ประเดี๋ยวพ่อของพวกเจ้าก็ไปเข้างานสายหรอก ไม่รู้ไปอาบน้ำกันอย่างไรถึงได้ใช้เวลานานนัก" ท่านแม่บ่นท่านพ่อ พร้อมกับเข้ามาพยุงลี่อินให้นั่งลงบนพื้นข้างโต๊ะเล็กในห้องโถง แล้วทุกคนก็ไปช่วยกันยกอาหารเช้า และอุปกรณ์ในการกินอาหารเข้ามาไม่เว้นแม้แต่สองแฝดก็ยังไปช่วยถือช้อนกับตะเกียบเข้ามา
ลี่อินเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมน้อยหน้า เรียกนมสดและเค้กแครอทก้อนใหญ่ออกมา พอฝาแฝดเดินมาถึงโต๊ะต่างก็ส่งเสียงร้องอย่างดีใจที่เห็นขนมก้อนใหญ่ และทุกคนก็ลงมือกินอาหารเช้าพร้อมกัน และตามด้วยนมสดและขนมเค้กเป็นที่ถูกอกถูกใจกันทุกคนโดยเฉพาะเด็กน้อยทั้งสอง