เมื่อทุกคนกินมื้อเช้าเรียบร้อยต่างก็แยกย้ายไปทำงานตามหน้าที่ของตน และบนใบหน้าของทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มมีความสุข โดยเฉพาะเด็กชายฝาแฝดเพราะตอนนี้นอกจากพวกเขาจะได้กินอาหารเท่าที่ต้องการจนอิ่มแล้ว พวกเขายังมีนมและขนมแสนอร่อยให้กินอีกด้วย
ตงไห่เดินทางเข้าไปทำงานในเมือง ลี่ตงไปดูแลแปลงผัก ลี่คุนกับลี่คังก็ไปคอยช่วยพี่ใหญ่ พอช่วงสายก็จะเดินไปเรียนหนังสือที่บ้านลุงผู้ใหญ่อี้ และจะกลับมาในตอนเที่ยง
ส่วนลี่อินตอนนี้ก็กำลังนั่งอยู่ในห้องอาบน้ำ ให้มารดาจับอาบน้ำขัดตัว สระผม อย่างมีความสุข ส่วนความอายนะหรือตอนนี้นางพึ่งจะแปดขวบมีอะไรให้อายกัน อีกอย่างนี่ก็เป็นมารดาของนางด้วย ส่วนตัวห้องน้ำก็ไม่ถึงกับแย่ เป็นห้องสร้างจากไม้ไผ่มีโอ่งใส่น้ำอยู่สองใบ ส่วนที่ทำธุระหนักเบาจะแยกไปอีกห้องตั้งอยู่ข้างกัน
ท่านแม่บอกว่าแบบห้องน้ำที่แยกส่วนกันเช่นนี้มาจากในเมือง เมื่อก่อนท่านปู่ท่านย่าทำงานอยู่ในเมือง พอเก็บเงินได้มากพอจึงย้ายมาลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านนี้ และทั้งสองก็มีบิดาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว เพราะท่านปู่ท่านย่าเป็นเด็กกำพร้าทั้งคู่ จึงไม่มีแซ่และญาติพี่น้องที่ไหนอีก ทั้งครอบครัวมีกันแค่สามคนพ่อแม่ลูก จึงเป็นสาเหตุที่พวกท่านไม่ได้คิดเรื่องการตั้งแซ่ตระกูล
และท่านแม่ยังบอกให้ฟังอีกด้วยว่าการตั้งแซ่ตระกูลของที่นี่ถ้าเป็นเมื่อสัก 30 ปีก่อน ในรัชสมัยของอดีตฮ่องเต้สามารถทำการตั้งแซ่ตระกูลได้โดยเสียค่าธรรมเนียมเพียง 10 ตำลึงเงิน แต่พอมารัชสมัยนี้ต้องเสียค่าธรรมเนียมถึง 10 ตำลึงทอง
ส่วนค่าเงินที่นี่ก็เป็น 1000 อีแปะ เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน 10 ตำลึงเงินเท่ากับ 1 ตำลึงทอง เนื้อหมูราคา 50 อีแปะ ข้าวสารราคา 40 อีแปะ เพราะฉะนั้นจำนวนเงิน 10 ตำลึงทองสำหรับชาวบ้านจึงเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก คนที่ไม่มีแซ่ในแคว้นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
"นี่ชุดใหม่ของเจ้าแม่ซักให้เรียบร้อยแล้ว มาเถอะถ้าเช็ดตัวเสร็จแล้วแม่จะช่วยใส่ให้" ลี่อินที่อาบน้ำสระผมจนสะอาดหลังเช็ดตัวเรียบร้อยมารดาก็นำชุดใหม่มาให้ เป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงินตัวสั้นแขนยาวแบบป้ายมีเชือกผูกกับกางเกงขายาวสีน้ำเงิน คล้ายกับชุดของเด็กผู้ชาย ส่วนเสื้อตัวในยังใส่ของเก่าไปก่อน เพราะผ้าที่ใช้สำหรับตัดเสื้อตัวในคงต้องไปหาซื้อเอา เพราะในคลังของนางมีเพียงผ้าฝ้ายที่ใช้ตัดชุดได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีผ้าอย่างอื่นอีก
"ท่านแม่ทำไมไม่ให้ท่านพ่อเอาทองแท่งไปขายหาเงินมาใช้จ่ายในบ้านก่อนละเจ้าคะ" ลี่อินที่ตอนนี้กลับมานั่งในห้องนอนให้มารดาช่วยหวีผมให้เอ่ยถามขึ้น
"พ่อเจ้าบอกว่าอีกสามวันรอให้ถึงวันหยุดก่อน จะเดินทางไปอีกเมืองเพื่อเอาทองคำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตำลึง เพราะในเมืองนี้ร้านรับแลกเงินรู้จักกับท่านพ่อ ถ้าเอาไปแลกก็คงต้องตอบคำถามว่าเอาทองแท่งนี้มาจากไหน" ลี่ถิงเอ่ยตอบบุตรสาว เรื่องนี้นางได้พูดคุยกับสามีแล้วและได้ข้อสรุปเช่นนี้
"อ่อ แล้วอีกเมืองอยู่ไกลไหมเจ้าคะ" ลี่อินได้ฟังก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
"เป็นเมืองข้างกันนี่แหละ เดินทางจากท่าเรือไปอีกสามสิบกว่าลี้ (15 กม.) ถ้านั่งรถม้าจากตลาดในหมู่บ้านไม่เกินสองชั่วยามก็ถึง" ลี่ถิงเอ่ยตอบบุตรสาว (1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชม.)
"ถ้าอย่างงั้นทำไมท่านพ่อถึงไม่ไปแลกที่ท่าเรือล่ะเจ้าคะใกล้กว่าการต้องเดินทางไปอีกเมือง หรือว่าที่ท่าเรือไม่มีร้านรับแลก" ลี่อินเอ่ยถามต่อ
"ร้านที่ท่าเรือส่วนใหญ่ก็เป็นร้านสาขาของคนในเมืองไห่หนานนี่แหละ" ลี่ถิงเอ่ยตอบบุตรสาวพร้อมกับเอาขี้ผึ้งมาทาหน้าทาตัวให้บุตรสาวไปด้วย
"อ่อ งั้นท่านพ่อจะไปอย่างไรเจ้าคะ เช่ารถม้าไปหรือเจ้าคะ" ลี่อินก็ให้ความร่วมมือกับมารดาเป็นอย่างดี ผิวพรรณของนางแห้งมากเพราะร่างกายที่อ่อนแอจึงต้องทาขี้ผึ้ง ซึ่งมันจะชุ่มชื้นผิวมากกว่าการทาโลชั่น ท่านแม่เองก็ใช้ขี้ผึ้งเหมือนนาง แต่พี่ชายกับน้องชายนางให้ทาแค่โลชั่น เพราะเด็กผู้ชายคงไม่ชอบความมันเหนอะหนะของขี้ผึ้งเท่าไหร่
"พ่อเจ้าจะติดรถม้าของที่ทำงาน ที่ต้องไปส่งของให้สาขาที่นั่นแต่เช้ามืด แล้วขากลับค่อยจ้างรถม้ากลับมาส่งน่ะ" ลี่ถิงก็เอ่ยตอบบุตรสาวทุกคำ ตั้งแต่บุตรสาวฟื้นก็กลายเป็นเด็กช่างพูด ช่างถาม สนใจอยากรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย และยังร่าเริงสดใสขึ้นอีกด้วย
"ถ้าอย่างนั้นลูกเอาทองแท่งให้ท่านพ่อไปอีกดีไหมเจ้าคะ จะได้แลกมาทีเดียวเยอะๆ" ลี่อินที่ได้ฟังว่าต้องเสียเวลาเดินทางไปแลกตั้งไกลถ้าเช่นนั้นเอาไปแลกเยอะๆ จะดีกว่าหรือไม่
"ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่ดีหรอก มันอันตรายและแม่กับพ่อคิดว่าอาจจะเอาไปแลกแค่แท่งเดียวด้วย ตั้งใจว่าจะเอาเงินมาใช้เพื่อซ่อมแซมหลังคาบ้านกับห้องของเจ้าเท่านั้น" ลี่ถิงเองก็เข้าใจความคิดของบุตรสาว แต่พวกนางเป็นแค่ชาวบ้านฐานะยากจน อยู่ๆ เกิดมีเงินทองใช้จ่ายผู้คนจะสงสัยเอาได้ และคนที่จะตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดก็คือบุตรสาวของนางนั่นเอง ใจคนยากแท้หยั่งถึงขนาดญาติพี่น้องกันแท้ๆ ยังลงมือทำร้ายหรือฆ่ากันตายด้วยเรื่องเงินทองเลย สามีนางเอากลับมาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ
"ทำไมถึงแลกแค่แท่งเดียวล่ะเจ้าคะ อย่างน้อยก็แลกทั้งสองแท่งแล้วทำการซ่อมแซมหรือไม่ก็สร้างบ้านใหม่ไปเลยทีเดียว" ลี่อินไม่เข้าใจทำไมไม่แลกเอาไว้ให้มากๆ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปบ่อยๆ
"ไม่ได้หรอกลูกใครๆ ก็รู้ว่าบ้านเรายากจนมาก แค่เงินที่ใช้ซ่อมแซมหลังคาให้ดีขึ้นก็อาจจะทำให้ผู้อื่นสงสัยแล้ว แต่ก็ยังพอบอกได้ว่าพวกเราทำงานเก็บเงินกันมา แต่ถ้าถึงกับซ่อมแซมบ้านหรือสร้างบ้านใหม่ ผู้คนคงจะสงสัยมากขึ้นไปอีก และถ้าพวกเขาเพียงแค่สงสัยก็ดีไป แต่ถ้ามีคนไม่ดีคิดร้ายกับครอบครัวเราหรือกับตัวของเจ้าจะทำอย่างไร ให้มันค่อยเป็นค่อยไปเถอะ รอเจ้ากับพี่ใหญ่ไปขายของได้เงินมา คราวนี้เจ้าอยากจะสร้างบ้านใหม่หรือทำอะไรก็ไม่มีใครมาสงสัยแล้ว" ลี่ถิงเอ่ยบอกเพราะบุตรสาวของนางไม่ได้ออกไปไหน คงไม่รู้ว่าผู้คนไม่ได้รักและหวังดีต่อผู้อื่นเหมือนกับคนในครอบครัวของตน และโดยเฉพาะถ้ามีใครมารู้ถึงความสามารถของบุตรสาวเข้า
ส่วนชาวบ้านในหมู่บ้านครอบครัวนางก็ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกับใครมากนัก จึงไม่รู้ว่าพวกเขามีนิสัยเป็นเช่นไร และที่ตั้งบ้านของครอบครัวนางก็อยู่ห่างมาถึงริมชายขอบของหมู่บ้าน จึงไม่ค่อยมีใครผ่านไปมามากนัก
"ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ช่างรอบคอบยิ่ง" ลี่อินคิดได้ว่าขนาดยุคสมัยของนางเอาเงินฝากธนาคารไว้อย่างดีเงินยังหายได้เลย แล้วยุคนี้ความปลอดภัยต่ำกว่ามากยิ่งไม่ควรประมาท
"เอาล่ะเจ้าง่วงแล้วหรือยัง" ลี่ถิงเห็นบุตรสาวเหม่อลอยก็คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะง่วงแล้ว เพราะปรกติช่วงสายเช่นนี้อีกฝ่ายคงนอนหลับไปแล้ว
"ยังเจ้าค่ะลูกว่าจะออกไปนั่งข้างนอก เผื่อจะดูว่ามีข้าวของอะไรในบ้านที่ใกล้พังหรือเก่ามากแล้วจะได้หามาเปลี่ยนเสียหน่อย" ลี่อินที่ยังตื่นเต้นกับความสามารถใหม่ที่พึ่งได้มาจึงคิดอยากจะลองปรับปรุงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านให้มันดูดีกว่าเดิม
"ตามใจเจ้าเถอะ แต่ไม่ต้องเอาที่มันงดงามมากเกินไปนัก เกิดใครมาเห็นเข้าจะสงสัยได้ ถ้าอย่างงั้นแม่จะพาเจ้าออกไป แล้วแม่จะเข้าห้องไปเย็บเสื้อต่อนะ ถ้าลูกอยากได้หรือจะให้ช่วยอะไรก็เรียกแม่ได้" ลี่ถิงที่ได้เห็นโต๊ะนั่งและชิงช้าแขวนที่ด้านนอกก็ยังอดชื่นชอบไม่ได้ แต่ก็กลัวว่าบุตรสาวจะเอาอะไรที่ดูงดงามจนเกินไปออกมา ถึงแม้บ้านของพวกนางจะไม่มีคนมาเยือน แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนก็ดีกว่าต้องมาหาข้อแก้ตัวที่หลัง อาจจะทำให้ผู้คนสงสัยได้
"ลูกเข้าใจแล้ว ว่าแต่ท่านแม่ของในบ้านนี้มีอะไรต้องเก็บไว้หรือไม่เจ้าคะ พอดีถ้าลูกเอาของออกมาเปลี่ยนของเก่ามันก็จะหายไปน่ะเจ้าค่ะ" ลี่อินนึกได้ว่าตนเองคงไม่สามารถย้ายข้าวของที่มีเพื่อวางของที่ตนจะเอาออกมาได้จึงไม่ลืมเอ่ยถามมารดาไว้ก่อน
"อืม ไม่มีหรอกของในบ้านพวกนี้มันก็เก่ามากแล้วเจ้าปรับเปลี่ยนได้ตามใจเลย ขอแค่อย่าให้มันโดดเด่นเกินไปก็พอ" ลี่ถิงมองสำรวจของในบ้าน ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก ในห้องโถงนี้มีแค่โต๊ะเตี้ยกลางห้องเท่านั้น ผ้าม่านหรือแม้แต่เบาะปูรองนั่งบ้านของนางก็ยังไม่มีเลย
"เจ้าค่ะลูกทราบแล้ว" ลี่อินเองก็มองสำรวจไปทั่วห้องโถงว่าจะต้องเอาอะไรออกมาบ้าง พอมารดาเดินกลับเข้าห้องไป นางก็เรียกจอเกมขึ้นมาไล่ดูของตกแต่งทันที
ใช้เวลาไปเกือบชั่วยาม ลี่อินก็ได้ของตกแต่งที่ดูธรรมดาที่สุดที่จะหาได้มา โดยมีโต๊ะน้ำชาตัวเตี้ยสามตัวที่นางเอามาเรียงต่อกันแทนโต๊ะตัวเก่า ที่มาพร้อมกับเบาะรองนั่งหนานุ่มสีเขียวเข้ม กับชั้นไม้เอามาวางไว้ตรงมุมห้องบนชั้นยังมีกระถางต้นไม้เล็กๆ สีสันสดใสติดมาด้วย สองอย่างนี้คือของธรรมดาที่สุดที่นางพอจะหาได้แล้ว ส่วนของตกแต่งอื่นๆ นางคิดว่าคงเอาออกมาไม่ได้ แต่ลี่อินคิดที่จะเอาแผ่นไม้ อิฐ ตะปู ค้อน ถังสี ออกมาแทน ในเมื่อของที่มีมันโดดเด่นเกินไป งั้นนางจะให้บิดาทำให้แทนละกัน
และนางยังได้ลองเอาเสื้อผ้าที่มีในคลังออกมาดู ซึ่งมันก็เป็นเหมือนกับในภาพคือเป็นเสื้อเชิ้ต หรือชุดเดรส ที่คงจะเอาออกมาใส่ที่นี่ไม่ได้ แต่พวกเสื้อถักไหมพรมนางคิดว่าจะเอาออกมาใส่ไว้ด้านในตอนช่วงหน้าหนาวมันคงช่วยให้อุ่นดี ถึงจะมีของที่เอาออกมาใช้ไม่ได้ แต่แค่มีอาหารมากมายในคลังนางก็รู้สึกพอใจแล้ว
ในเมื่อของตกแต่งใช้กับในตัวบ้านไม่ได้ แต่ของที่สามารถใช้ในสวนได้มีหลายอย่างเลย และเกมฟาร์มของเธอมันยังมีสัตว์เลี้ยงอีกด้วยและหนึ่งในนั้นก็คือม้า และที่ดีไปกว่านั้น มันมีของตกแต่งที่เป็นรถลากอีกด้วย มีกระทั่งจักรยาน มอเตอร์ไซค์ หรือรถแทรกเตอร์ แต่คงไม่ได้เอาออกมาใช้
ในเมื่ออยากรู้ว่าสามารถทำอะไรกับพวกสัตว์เลี้ยงได้บ้าง การทดลองก็กลับมาอีกครั้ง ลี่อินจึงลุกจากเจ้าเบาะรองนั่งอันนุ่มนิ่มเดินออกไปทางหน้าบ้าน เพื่อจะสำรวจหาสถานที่เหมาะจะทดลองเอาม้าออกมา แต่ระหว่างที่กำลังมองหาที่ทางอยู่นั้น เสียงของน้องชายฝาแฝดทั้งสองก็ดังขึ้นมาก่อนที่ตัวจะมาถึงเสียอีก
"พี่รอง / พี่รอง" เสียงเรียกของเด็กน้อยทั้งสองดังประสานกันมาจากนอกรั้วบ้าน ไม่นานร่างเล็กๆก็พากันวิ่งเข้ามา โดยในมือของแต่ละคนหิ้วห่อผ้าใส่ตำรามาด้วย
"พี่รองพวกข้ากลับมาแล้วขอรับ" ทั้งสองส่งเสียงพูดประสานกัน เท่านั้นยังไม่พอยังส่งสายตากลมโตไร้เดียงสามาให้นางอีกด้วย
"ฮ่า ฮ่า น้องชายทั้งสองของพี่รองช่างเจ้าเล่ห์นักนะ" ทำไมลี่อินจะไม่รู้ว่าสายตากลมโตดูไร้เดียงสาที่น้องชายทั้งสองส่งมาให้หมายถึงอะไร ก่อนที่ทั้งสองจะไปเรียนยังมาทวงน้ำหวานที่นางเคยบอกเอาไว้อีกด้วย
"อิ อิ พี่รองพูดเรื่องอะไรหรือขอรับ น้องเล็กไม่เข้าใจเลย" ลี่คังน้องเล็กจอมแสบมีหรือจะยอมรับ ยังแกล้งเอ่ยเฉไฉ แต่กลับเข้ามากอดเอาตัวพิงนางไว้ และเงยหน้ามองด้วยใบหน้าใสซื่อ ดูแล้วช่างน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
"เอาล่ะพี่รองรู้แล้ว พวกเจ้าไปล้างมือล้างหน้าให้เรียบร้อยก่อน ประเดี๋ยวพี่รองจะหาน้ำกับขนมให้กิน แต่กินมากไม่ได้นะ ประเดี๋ยวจะกินมื้อเที่ยงไม่ลง" ลี่อินก็ให้รู้สึกเอ็นดูปนหมั่นไส้กับท่าทางของน้องชายทั้งสอง
"ขอรับ แต่พี่รองไม่ต้องห่วงต่อให้อาหารเที่ยงจะมีมากแค่ไหนพวกเราก็กินหมดขอรับ โอ้โห..โต๊ะตัวใหม่ เบาะนั่งนี่ก็นุ่มก้นเหลือเกิน" สามคนพี่น้องค่อยเดินเข้ามาในบ้าน และพอน้องเล็กเห็นโต๊ะกับเบาะรองนั่งในห้องโถงก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกตะลึงออกมา แล้ววิ่งไปนั่งลงก่อนใคร
"เจ้าเล็กพูดจาอะไรกัน" ลี่ถิงเองที่ได้ยินเสียงของเจ้าสองแสบก็ออกมาจากห้องนี่ใกล้เวลามื้อเที่ยงแล้ว นางจึงออกมาเพื่อจะลงมือเตรียมทำอาหาร ก็มาได้ยินคำพูดของลูกชายคนเล็กเข้าพอดี
"ขออภัยขอรับท่านแม่ ลูกลืมตัวไปแต่เจ้าเบาะนี่มันนุ่มมากเลยนะขอรับ" ลี่คังรีบเอ่ยขออภัยแก่มารดา เพราะมารดาไม่ชอบให้พวกเขาพูดจาไม่สุภาพ
"เอาล่ะไปล้างมือล้างหน้าได้แล้ว พี่รองจะหาน้ำกับขนมมาให้กิน" ลี่อินเห็นท่าทางหงอยของน้องชายก็อดใจอ่อนไม่ได้ จึงเอ่ยปากช่วยแก้ไขสถานการณ์
"ขอรับ/ขอรับ" หลังจากรับคำพี่สาวสองแฝดก็พากันวิ่งไปที่ห้องน้ำหลังบ้านทันที