ธาริณีสะดุ้งพรวด เมื่อความเป็นโลกส่วนตัว ถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มที่ไม่ยั้งน้ำเสียง จนรู้สึกหูอื้อไปชั่วขณะ “หือ... อะไรของคุณนะ!” ใบหน้าหวานงอง้ำ มองคนยิ้มร่าอย่างถูกใจที่ได้แกล้ง
“ตกลงที่ผมพูดไปน่ะ เข้าใจบ้างหรือยัง”
“อื้อ...”
เธอตอบให้ผ่าน ๆ ไป แต่เหมือนนึกได้
“เดี๋ยว! ขอยืมโทรศัพท์หาคนที่บ้านได้มั้ย”
สายตาคมเข้ม จ้องลึกในดวงตากลมใส เต็มไปด้วยความไม่เชื่อใจ มองหน้าหวานที่แฝงไปด้วยสายตาจริงจังวอนขอ อาชายอมรับกับตัวเอง หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ ใจอ่อนสินะ
แต่เป็นสิ่งที่เขาเองให้ไม่ได้ จึงตัดสินใจตอบออกไป
“ไม่ได้!” น้ำเสียงห้วนสั้น ธาริณีย่นคอหนี
คิ้วเรียวงามเหมือนดั่งคันศรผูกปมเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจอีกฝ่าย งก อีแค่ขอยืมโทรศัพท์... อดก่นด่าอย่างแค้นเคือง ก่อนจะตัดพ้อด้วยคำพูดตามมา
“อะไรของคุณ! ฉันบอกคุณแล้วไง ว่าฉันเป็นลูกมีพ่อมีแม่และฉันต้องการให้คนที่บ้านรู้ว่าฉัน อยู่ไหน สบายดีอยู่หรือเปล่า คนพวกนั้นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง คุณเข้าใจคนมีพ่อมีแม่บ้างหรือปล่าว คุณอาชา พ่อม้า บ้าอำนาจ”
ใบหน้าหวานใส่อารมณ์น้ำเสียงห้วนจัด แม้จะบอกพี่ชายว่าเธอขออยู่พักกับเพื่อนแค่สามวันแต่หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เธอไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะกักตัวเธอไว้กี่วัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นเรื่องคงยุ่งยากหากถึงหูผู้หลักผู้ใหญ่...
“เปรียบผมได้ดีจริงนะคุณแม่ม้า ผมว่าเราสองคนเริ่มทัดเทียมกันแล้วล่ะ”
เขาไม่สนใจคำด่า หากรู้สึกขำคำเปรียบเปรยที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา
“ฉันไม่ได้เป็นแม่ม้า แต่คุณนะมันใช่... ชื่อมันบอกอยู่แล้ว”
เธอเถียง เข้าใจความหมายของชื่อดี อาชา คือ ม้า
“อืมใช่ จริงด้วย ขอบคุณที่บอกนะ...”
เขาเอ่ยรับผ่าน ๆ แต่อีกเรื่องที่เขาไม่อาจให้มันผ่านไปได้ง่าย ๆ
“หากคุณต้องการให้ทางบ้านรู้...”
ชายหนุ่มหยุดหายใจมองสาวตรงหน้าจริงจังในความคิดของตนเอง
“ผมคนเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นคนโทร.ไปบอกพ่อกับแม่ของคุณได้ ต้องการให้ผมบอกท่านเมื่อไหร่บอกนะ ผมจะจัดการให้”
เสียงเข้มเน้นชัด จ้องหน้าหวานได้รูป สีหน้าเอาจริง
ธาริณีได้แต่อึ้งค้างไปชั่วครู่ นี่ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังบ้าไปแล้วแน่ ๆ หล่อนครุ่นคิด พยายามหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อตั้งสติ สงบใจไว้ สงบอารมณ์ไว้! เธอย้ำกับตัวเอง ลืมไปว่า ตอนนี้ต้องยอมสงบไปก่อน ได้โอกาสเมื่อไหร่....ค่อยว่ากัน
เมื่อปรับทิศทางความรู้สึกให้ตัวเองได้แล้ว ธาริณีจึงเอ่ยตอบออกไปว่า
“คุณเล็ก...”
น้ำเสียงหล่อนอ่อนลง แต่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความหนักใจ
“คุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ หากพวกท่านรู้ ท่านคงไม่อยู่เฉยแน่ ที่อยู่ ๆ ลูกสาวก็โดนผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ลากตัวมาอย่างนี้” น้ำเสียงพยายามให้เรียบนิ่งที่สุด เอ่ยอธิบาย เธอไม่อยากให้เรื่องฉาวโฉ่
อาชายกยิ้มมุมปาก รู้อยู่แล้วว่าครอบครัวของหล่อนรักชื่อเสียง และห่วงลูกสาวคนสวยมากแค่ไหน และความห่วงใยในความรู้สึกของคนในครอบครัวคือไม้ตาย ที่คนเถื่อนอย่างเขา จะดึงหล่อนไว้ตรงนี้ โดยที่เขาไม่ต้องออกแรงจับ แล้วคำว่า ‘เถื่อน’ ที่หล่อนยัดเยียดให้ เขาจะตอบสนองให้สมใจหล่อนเลยทีเดียว...
อีกฝากของไร่ ที่โรงอาหาร แดน หนุ่มหล่อผิวดำแดง วัย 20 ต้น ๆ ถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคนงานเพราะความสนิทกับหัวหน้าคนเก่า ร้องเรียกเพื่อนร่วมงานเสียงดัง
“เฮ้ย! พวกเรา...”
เสียงเรียกให้ความสนใจ ของคนงานที่นั่งอยู่ในโรงครัวหันมองมายังตน เป็นจุดเดียว
เมื่อสายตาทุกคู่หันมองอย่างสนใจอย่างที่ต้องการ คนที่มีหน้าที่ใหญ่พอตัวเอ่ยสีหน้ายินดี
“สงสัยงานนี้เราจะได้นายหญิงเพิ่มขึ้นอีกคนแล้วล่ะ”
น้ำเสียงปลื้มปิติอย่างออกหน้า เมื่อรับรู้มาว่าเจ้านายคนเล็กกลับมาเร็วกว่ากำหนดก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมง พร้อมกับมีของสวย ๆ งาม ๆ ติดมือกลับมาด้วย
จากนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังออกมาเป็นประโยคด้วยความยินดีกับเจ้านายคนเล็กดังไม่ขาดปาก ก่อนคนที่แพร่ข่าวจะยิ้มร่า เดินไปยังแม่ครัวเพื่อจัดการกับปากท้องของตัวเอง
“ขอบคุณนะป้า รู้งี้ วันหลังผมจะเอากะละมังมาแทน” แดนเอ่ยเย้าเมื่อเห็นข้าวในจานพูนสูงคนตักได้แต่ยิ้มรับ
“โอ้ย! เบา ๆ ได้มั้ยคุณ ฉันเดินกดเท้าจนจะบวมไปหมดแล้ว”
เสียงหวานร้องโอดคราญ เมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะฉุดกระชาก รองเท้าแตะที่อีกคนไปหามาให้ ก็ลื่นไหลดีกว่าแผ่นกระดานนิดหนึ่ง ดีที่ว่าติดที่หูหนีบ ไม่เช่นนั้นคงรูดขึ้นมาอยู่บนหน้าแข้งไปแล้ว
“ทำไมอีกละ เมื่อกี้เธอบอกว่าเดินไม่สะดวกกับร้องเท้าส้นสูงของเธอ นี่ก็อุตส่าห์ขอยืมของคนงานที่เดินผ่านมา เธอยังจะเรื่องมากอะไรอีก”
“คุณว่าอะไรนะ...”
สาวสวยรั้งแขนชายหนุ่มไม่ให้เดินต่อ
“นี่คุณ! เล่นไปหยิบยืมรองเท้าของคนงานที่เดินผ่านมาเหรอ”
ใบหน้าสาวสวยหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ว่าเขาต้องโกหกหล่อนแน่ ๆ และหากเป็นเช่นนั้นจริง คนงานก็ต้องเดินเท้าเปล่าน่ะสิ!
“อืม!” เสียงรับส่งผ่านลำคอดังพอให้หญิงสาวได้ยิน ว่านั่นเรื่องจริง
“อ้าย... คนบ้า!”
ธาริณีร้องลั่นในความคิดของคนตัวโตกว่า ครั้นนึกภาพเจ้าของรองเท้า เดินย่ำไปบนดินที่เต็มไปด้วยเม็ดกรวด และก้อนหิน มันคงเจ็บน่าดู แค่คิดก็รู้สึกเสียวแล้ว...!
“เขาก็ต้องเดินเท้าเปล่าสิ..หินกรวดเยอะแยะ”
“อย่าไปคิดแทนเขาเลยน่า...คนที่นี่ถอดรองเท้าเดินได้สบายเขาไม่ตีนบางอย่างคุณหรอก”
“แต่คุณก็ไม่ควรเอาของเขามา...”
“หรือคุณจะเดินเท้าเปล่า...ถอดออกได้นะ ผมจะได้เอาไปคืนเขา”
“เอากลับไปคืนเขาเลยไปรบกวนคนอื่น ไหนบอกว่าจะให้ฉันรอทานข้าว ให้ใครเอามาให้... แล้วนี่จะบ้าหรือไงถึงลากฉันมาแบบนี้!”
ว่าแล้ว สะบัดรองเท้าที่ตนเองสวมอย่างลวก ๆ อาชาหูอื้อ ทำดีไม่ได้ดี
“เรื่องอะไร... ไม่ต้องทำดัดจริตเลย ใส่ไปซะ ปานนี้คนงานคงได้รองเท้า คู่ใหม่แล้วละ”
เขาว่าเสียงเข้ม มองคนตัวเล็กข้าง ๆ สายตาติเตียน เหมือนหล่อนเป็นเด็กเรื่องมากกระนั้น
“คุณ มัน...”
นิ้วเรียวชี้ไปด้านหน้า จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง อยากจิ้มตาคนหน้าด้านนัก...
อาชา ยื่นหน้า อ้าปากจะงับนิ้วเรียว ธาริณีรีบเก็บ ทำหน้ามุ่ยเข้าใส่
“มันอะไร ไม่ต้องมองหน้าผม เดี๋ยวจับจูบเสียเลย”
เขาขู่ให้อีกคำรบ ธาริณียอมสงบปาก อย่างเจียมตัว
“.... ปล่อยสิ”
ธาริณียอมเงียบแล้วยอมสวมร้องเท้ากลับเช่นเดิม หล่อนพยายามดึงมือเรียวที่ยังถูกกำไว้ ให้เป็นอิสระแต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่าย ๆ แถมส่งสายตาคาดโทษบอกให้รู้ว่า อยู่ให้นิ่ง ๆ หากไม่อยากขายขี้หน้า ประมาณนั้น
หนุ่มสาวที่เดินจูงมือเข้ามาในบริเวณจุดรวมตัวของคนงานช่วงเย็น แดนที่นั่งหันหน้ามาตรงทางเดิน ยิ้มร่าผุดลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว จนเกิดเสียงดังอี๊ดไปตามแรงดันของแดน โดยรีบเคี้ยวรีบกลืนข้าวในปาก
“หวัดดี ครับคุณเล็ก เออ...”
แดนรีบเอ่ยทักเจ้านายคนเล็กทันที แต่สายตาและใบหน้ากลับเสมองไปยังอีกคน แต่ดูอีกฝ่ายจะทำไม่สนใจ กลับหันไปเอ่ยทักทายคนงานอื่น ๆ
“หวัดดีทุกคน”
เจ้าของไร่เอ่ยทัก โดยไม่ได้สนใจแถลงสิ่งที่ทุกคนกำลังข้องใจกันอยู่โดยเฉพาะคนที่จุ้นที่สุดของโรงงาน