“งั้นจอมขอเวลาสักปีหนึ่งได้ไหมคะ”
“จอม... คุณป้าน่ะอยากอุ้มหลานแล้ว ท่านคงไม่ยอมหรอก แถมนี่แม่กับคุณป้าก็คุยกันถึงฤกษ์ที่จะจัดงานแล้วด้วยนะ”
“คุณแม่คะ...” หล่อนพยายามจะค้าน แต่เหมือนผู้ใหญ่ตกลงกันเอาไว้หมดแล้ว
“ถ้าจอมเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรพี่เขา งั้นก็แต่งๆ กันไปเถอะ เราสองครอบครัวจะได้ดองกันด้วย”
“แต่...”
จริยายื่นมือไปกุมมือเล็กของลูกสาวเอาไว้ บีบให้กำลังใจ
“พี่เขาก็เป็นคนดี แม่เชื่อสายตาของตัวเอง”
ใครว่าล่ะ ศาสตราอยู่ห่างจากคำว่าคนดีมากมายนัก เขาปากร้าย บ้ากาม และยังชอบดูถูกคนอื่นอีก
“งั้นจอมขอเวลาสักสองเดือนนะคะแม่”
จริยาส่ายหน้าน้อยๆ รอยยิ้มพึงพอใจระบายเต็มดวงหน้า
“จอมมีเวลาเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวแค่หนึ่งเดือนต่อจากนี้เท่านั้นล่ะจ้ะ”
“คะ? คุณแม่” หล่อนอุทานตกใจ
“จอมไม่มีปัญหาใช่ไหมลูก”
หล่อนน่ะไม่มีปัญหาเท่าไหร่หรอก แต่ศาสตราต่างหากที่มีปัญหากับหล่อนตั้งแต่แรกเห็นหน้า
“จอม... ตามใจคุณแม่ค่ะ”
“เก่งมาก ลูกสาวคนดีของแม่”
หล่อนไม่อาจจะทัดทานความต้องการของมารดาได้ แต่ก็ภาวนาให้ศาสตราหยุดยั้งการแต่งงานจอมปลอมนี้ลงได้ด้วยเถอะ
หลังจากสองแม่ลูกกลับไปแล้ว ศาสตราก็เดินเข้ามาหามารดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มีอะไรกับแม่เหรอ ศาส”
ศศิมลที่นั่งอมยิ้มด้วยความสุขใจเอ่ยถามเมื่อลูกชายเดินเข้ามาหา
ศาสตราทรุดตัวนั่งลงข้างๆ มารดาและเริ่มต้นบอกในสิ่งที่ตัวเองต้องการพูดทันที
“หลังจากที่ผมเห็นหน้าจอมนางแล้ว ผมไม่ได้พิศวาสอะไรเธอเลยครับ”
แทนที่แม่ของเขาจะสนใจเขาบ้าง แต่กลับจ้องมองจอโทรทัศน์เช่นเดิม
“คุณแม่ครับ... ฟังผมหน่อยสิครับ”
ศศิมลละสายตาจากจอโทรทัศน์มามองหน้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“ไหนมีอะไรว่ามาสิ”
“ผมไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงจืดๆ อย่างจอมนางครับคุณแม่”
“ว่าไงนะ!?”
ศศิมลตบเข่าตัวเองเสียงดังฉาด มองบุตรชายตาขุ่นขวาง
“ผมจะไม่แต่งงานกับจอมนางครับคุณแม่”
“ทำไมล่ะ หนูจอมออกจะน่ารัก กิริยามารยาทก็สุภาพเรียบร้อย แถมยังเป็นแม่ศรีเรือนอีกต่างหาก คุณสมบัติเพียบพร้อมแบบนี้แกจะไปหาได้จากผู้หญิงคนไหนอีก นายศาสตรา”
“ผมไม่ได้ต้องการให้เมียมากราบไหว้เช้าเย็นนะครับ ไม่ต้องอ่อนโยนอ่อนหวานขนาดนี้ก็ได้”
“แล้วแกไม่ต้องการให้เมียทำกับข้าวให้กินหรือไง”
“ผมต้องการเมียครับแม่ ไม่ได้ต้องการแม่ครัว ดังนั้นเรื่องเสน่ห์ปลายจวัก ผมไม่สนใจหรอก”
“สรุป... แกต้องการอะไรจากเมียกันแน่” แม่ของเขาเริ่มเสียงขุ่นมากขึ้น
“ผมต้องการแค่เมียครับ ผู้หญิงที่ตอบสนองความต้องการของผมได้ ไม่ใช่เมียที่วันๆ เอาแต่เข้าครัวทำอาหาร นั่งกราบไหว้ผมเช้าเย็น ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นหรอกครับ”
“สรุปแกต้องการให้เมียเป็นอีตัวบนเตียงอย่างเดียวสินะ นายศาสตรา”
ศศิมลประชดประชัน แต่พ่อลูกชายกลับตอบรับอย่างหน้าชื่นตาบาน
“ใช่ครับ เมียก็ต้องทำหน้าที่บนเตียง ซึ่งผมจะคัดสรรผู้หญิงที่ผมเห็นว่าเหมาะสมกับตำแหน่งเมียด้วยตัวเอง และแน่นอนว่าไม่มีทางใช่ยายหน้าจืดของคุณแม่”
“เสียใจด้วยศาสตรา... แกหนีงานแต่งงานไม่ได้หรอก เพราะแม่ตกลงกับคุณน้าจริยาเอาไว้แล้ว งานแต่งจะจัดปลายกลางเดือนหน้า”
คนที่นั่งนิ่งอยู่ลุกพรวดตกใจ
“อะไรกันครับคุณแม่ นี่คุณแม่ไม่คิดจะปรึกษาผมก่อนเลยหรือครับ”
“แม่ก็บอกแกไปแล้วไงว่าต้องแต่งงานกับหนูจอมนาง บอกมาก่อนหน้านี้ตั้งหลายอาทิตย์แล้ว”
“แต่... ผมไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้นี่ครับ”
ศศิมลมองหน้าลูกชายอย่างถือไพ่เหนือกว่า “มีเวลาให้แกเตรียมตัวอีกยี่สิบเอ็ดวัน ไปจัดการกับผู้หญิงทั้งหลายของแกให้เรียบร้อย และหลังจากแต่งงานกับหนูจอมนางแล้ว อย่าให้ใครหน้าไหนมาวุ่นวายกับลูกสะใภ้ของฉันได้ เข้าใจไหม”
“คุณแม่ครับ... ผมขอเวลาหน่อยไม่ได้หรือครับ...”
“ก็ยี่สิบเอ็ดวันนี้ไง แกก็ใช้ให้คุ้มค่าก็แล้วกัน”
“แต่ผม... ไม่อยากแต่ง ผมไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงที่ทำตัวไม่ต่างจากแม่ชี... ผม...”
“อย่ามองคนที่ภายนอก ศาสตรา” มารดาเตือนเสียงตำหนิ
“แต่สำหรับยายนั่น ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ผมก็มั่นใจว่าจืดสนิทเหมือนกันทั้งหมดนั่นแหละครับ”
ศศิมลระบายยิ้มเยาะ “ถึงในสายตาของแกหนูจอมนางจะจืดชืดแค่ไหน แต่สำหรับแม่ หนูจอมนางน่ารัก เป็นผู้หญิงที่ดี แม่เลือกคนนี้เป็นลูกสะใภ้ และแกก็ต้องปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ของแม่ให้ดีด้วย ไม่อย่างนั้น แกได้ระเห็จไปนอนที่กุฏิวัดแน่”
“คุณแม่ครับ...” ศาสตราร้องอย่างสิ้นหนทาง
“ฟังนะศาสตรา ที่แม่ให้แกแต่งงานก็เพราะว่าแม่เป็นห่วงอนาคตของแก”
“ผมยังมีอะไรให้คุณแม่ต้องเป็นห่วงอีกหรือครับ ผมโตแล้วนะครับ”
“ก็เอดส์ไง ถ้าฉันยังปล่อยให้แกฟาดผู้หญิงดะแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แกคงต้องเป็นเอดส์ตายสักวัน”
“โธ่ คุณแม่ครับ ผมป้องกันอย่างดีนะครับ”
“นั่นแหละมันก็ต้องมีพลาดเข้าสักวันสิ ไม่เอาแล้ว ฉันไม่อยากอับอาย ตอนที่ต้องตอบคำถามคนมาร่วมงานศพของแก ว่าแกเป็นอะไรตายน่ะ”
“คุณแม่ครับ มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ”
เขาพยายามจะอธิบาย แต่แม่ไม่รับฟังเลยแม้แต่น้อย ยังคงยืนกรานความคิดของตัวเองเช่นเดิม
“หยุดพูดได้แล้ว และจะไปไหนก็ไป แม่จะดูละครต่อ กำลังสนุกเลย” แล้วแม่ของเขาก็ตัดบทฉับอย่างไร้เยื่อใย
ศาสตราจำต้องเดินออกมาจากห้องรับแขกด้วยความเคร่งเครียด สมองเกร็งเขม็งราวกับจะปริแตก
แล้วนี่เขาจะต้องทำยังไงดี จะต้องทำยังไง ถึงจะสามารถยุติการแต่งงานนรกนี้ลงได้
ชายหนุ่มพยายามครุ่นคิด พยายามหาทางออกอย่างสุดความสามารถ แต่ดูแลหนทางข้างหน้าช่างมืดมนเหลือเกิน แม้แต่แสงเล็กๆ ของเทียนไขก็ยังมองไม่เห็นเลย
“โธ่เว๊ย! ทำไมจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”
เขาเดินไปหยุดที่ขอบระเบียง กระแทกกำปั้นกับขอบไม้ระเบียงอย่างเดือดดาลเป็นที่สุด