จอมนางไปทำงานที่โรงแรมของมารดาตามปกติ แม้โรงแรมแห่งนี้จะไม่ได้ใหญ่โต แต่มันก็คือกิจการเดียวของครอบครัวที่หล่อนจะต้องดูแลและพัฒนามันให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปในอนาคต
“วันนี้แขกจองห้องพักเต็มหรือยังจ๊ะ หวาน”
“เหลืออีกสามห้องค่ะคุณจอม”
จอมนางระบายยิ้ม พูดคุยกับพนักงานอีกสองสามคำอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเดินไปที่หน้าล็อบบี้
“เฮ้... จอม”
หล่อนหันไปมองตามเสียงเรียก แล้วก็ต้องระบายยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อเห็นภูวริศยืนอยู่ตรงบริเวณโซฟา รุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่หล่อนสนิทด้วยที่สุด
“พี่ภู” หล่อนรีบเดินเข้าทักทาย “พี่ภูกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย ไม่เห็นบอกจอมเลย”
ภูวริศหนุ่มหล่อตาหวานแสดงออกว่าดีใจไม่แพ้กัน เขาฉีกยิ้มกว้าง
“ก็กะมาเซอร์ไพร์สจอมไงครับ”
“แหม เซอร์ไพร์สอะไรกันคะ น่าจะให้จอมไปรับที่สนามบินมากกว่า”
“พี่ไม่อยากรบกวนจอมน่ะ งานยุ่งไหมเนี่ย”
ภูวริศมองไปรอบๆ ล็อบบี้ เมื่อเห็นแขกเริ่มหนาตามากขึ้น
“ไม่ยุ่งหรอกค่ะ มีเวลาคุยกับพี่ภูสักพักนั่นแหละ”
“ดีเลย งั้นนั่งคุยกับพี่ให้หายคิดถึงนะครับ”
ภูวริศพูดทีเล่นทีจริงแบบนี้เสมอ ทำให้จอมนางไม่เคยคิดว่าเขาจะจีบตัวเองเลย
“ได้ค่ะ” หล่อนทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา “พี่ภูดื่มอะไรดีคะ เดี๋ยวจอมให้พนักงานยกมาให้”
“ขอบคุณครับ แต่พี่เรียบร้อยมาแล้วล่ะ ว่าแต่จอมเถอะ ยังใส่แว่นเหมือนเดิมเลยนะ”
หญิงสาวเผลอตัวยกขึ้นจับแว่นของตัวเอง “ก็ต้องใส่แว่นสิคะ จอมสายตาสั้นนี่น่า”
“แล้วทำไมไม่ไปทำเลสิกล่ะ จะได้ไม่ต้องใส่แว่น ไม่รำคาญเหรอ”
จอมนางส่ายหน้าน้อยๆ ดวงหน้านวลยังคงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม
“ชินแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้นะ ถ้าไม่ได้ใส่ มองโลกทั้งใบไม่เห็นเลย”
“ขนาดนั้นเชียว” ภูวริศถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“ใช่ค่ะ จอมติดแว่นแล้วล่ะ” หล่อนเองก็หัวเราะออกมาเสียงสดใสเช่นกัน
“ว่าแต่พี่ภูแวะมาที่นี่ เพราะมาหาจอมโดยเฉพาะเหรอคะ หรือว่านัดสาวๆ เอาไว้...” หล่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยแซวผู้ชายตรงหน้า
ภูวริศรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่ไม่ได้นัดใครไว้นะ พี่มานี่ก็เพราะมาหาจอมนั่นแหละ ว่าแต่จะมีคนใจดีพาพี่ไปเลี้ยงข้าวสักมื้อไหมนะ”
จอมนางหัวเราะขบขัน “เห็นจอมเป็นคนใจดำขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ไม่รู้สิครับ เราไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปี บางทีจอมอาจจะขี้เหนียวขึ้นก็ได้”
“นี่แน่ะ ว่าจอมขี้เหนียวเหรอคะ” หญิงสาวตีแหมะที่ต้นแขนกำยำของรุ่นพี่นิสัยดี กำลังจะชักมือออกแต่เขาคว้าเอาไปกุมเอาไว้
หล่อนพยายามดึงแต่เขาไม่ยอมปล่อย ทั้งคู่มองหน้ากัน
“จอม...”
“เอ่อ... พี่ภูมีอะไรเหรอคะ”
ภูวริศเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า และหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับปล่อยมือของหล่อนในเวลาเดียวกัน
“เปล่าครับ พี่ก็แค่แกล้งเล่น”
จอมนางอมยิ้ม “พี่ภูนี่ยังเป็นจอมอำไม่เปลี่ยนเลยนะคะ”
“สำหรับพี่แล้ว เวลาเปลี่ยนอะไรพี่ไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะนิสัยหรือว่าหัวใจ...”
หญิงสาวกำลังจะถามว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับหัวใจ แต่ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน
“ก็มีผัวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วนี่ ทำไมยังจะต้องมาบังคับให้ฉันแต่งงานด้วยอีกล่ะ”
ศาสตรามาพร้อมกับอุไรวรรณที่กอดแขนแน่น เขามองหญิงสาวหน้าตาจืดชืดตรงหน้าอย่างดูแคลน ก่อนจะมองเลยไปที่ภูวริศ
“ผมอยากให้คุณช่วยดูแลเมียให้ดีๆ หน่อยนะครับ อย่าให้มายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมอีก”
ภูวริศไม่เข้าใจ หันไปมองหน้าจอมนาง เห็นหญิงสาวกำลังพยายามระงับโทสะอยู่
“จอม... นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้ชายคนนี้...” ภูวริศกำลังจะถาม แต่จอมนางตัดบท
“เดี๋ยวจอมเล่าให้ฟังค่ะพี่ภู แต่ตอนนี้ขอจัดการกับผู้ชายหน้าหม้อก่อน”
“ออกไปจากโรงแรมของฉันซะ” หล่อนลุกขึ้นยืน และพยายามควบคุมตัวเอง
“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะเปิดห้องเอากับคนรัก เธอมีสิทธิ์มาไล่แขกที่เอาเงินมาให้ด้วยหรือ คุณแม่ชี”
จอมนางทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งอับอาย หล่อนกำมือแน่น กัดฟันจนเสียงดัง
“งั้นก็ไปจองห้องที่เคาน์เตอร์นู้น แล้วอย่าทำผ้าปูเตียงเลอะล่ะ เพราะฉันจะเก็บเงินเพิ่ม”
ศาสตราและจอมนางจ้องหน้ากันเขม็ง ราวกับกำลังจะต่อสู้กันในสนามรบ
“ฉันจะจ่ายเพิ่มให้เป็นสองเท่าก็แล้วกัน เพราะยังไงซะ ฉันก็จะเอากับคนรักจนผ้าปูเตียงเปียกแน่นอน”
“ไอ้...”
“แน่ะๆ อย่าพูดไม่เพราะกับแขกสิครับ หรือว่าฉันควรจะเรียกผู้จัดการของที่นี่มาคุยดี”
“เรียกเลยค่ะ คุณศาส” อุไรวรรณที่เกาะแขนของศาสตราอยู่สนับสนุน
จอมนางแค่นยิ้มหยัน “อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเลยค่ะคุณลูกค้า เชิญขึ้นไปใช้บริการห้องพักเถอะค่ะ จะได้ไม่หงุดหงิดงุ่นง่านจนต้องมาระรานคนอื่นแบบนี้”
“ศาสขา... นังนี่มันด่าว่าคุณอยากจนหงุดหงิดค่ะ” อุไรวรรณร้องบอกศาสตรา
“คุณอยู่เฉยๆ เถอะน่ะอุ๊” ศาสตราตำหนิคู่ขา ก่อนจะตวัดตามองหน้าจอมนาง
“มองอุ๊เอาไว้ สเป็คผู้หญิงของฉันเป็นแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันต่างจากตัวเธอราวฟ้ากับเหว อ้อ เธอคงรู้ดีใช่ไหมว่าตัวเองเป็นฟ้าหรือเหว...”
ศาสตราหัวเราะสะใจ ในขณะที่จอมนางหน้าตาแดงก่ำด้วยโทสะแรงกล้า