ในขณะที่ปลายฝนนั่งรอและลุ้น รถสปอร์สคันหรูราคาหลักสิบล้านก็ขับมาจอดหน้าประตู ลิลิน รัญญาลินท์ ก้าวขาเรียวสวยเปิดประตูลงมาพร้อม ๆ ประตูปีกนกที่สวิงขึ้นอย่างสง่า
รองเท้าส้นสูงสีแดงสดสีสันแสบตา แต่ไม่เท่าใบหน้าสวยไร้ที่ติของเธอ
ตาเฉี่ยว ๆ ที่ทั้งเซ็กซี่และน่าค้นหา ริมฝีปากอวบอิ่มที่แสนเย้ายวน กับอกอวบ ๆ สะโพกผาย ๆ มันเด่นในชุดเดรสเกาะอกรัดรูปและสูทหลวม ๆ ที่คลุมไหล่
เธอลงตัวสมส่วนทุกอย่าง ราวกับกำลังดูแฟชั่นวีคที่เมืองคานส์ยังไงอย่างงั้น
“เลขาที่นัดสัมภาษณ์ มาถึงรึยัง?”
ลิลินเอ่ยถามพนักงานที่วิ่งก้มหน้าก้มตามาถือกระเป๋าให้ ในขณะที่เธอก้าวฉับ ๆ ถอดแว่นตาดำเข้าบริษัทกับผมที่ปลิวไสว
และไล่สายตามองรอบๆ อย่างสำรวจ
“มาแล้วค่ะ นั่งรอคุณลิลินข้างบน” ได้ยินคำตอบ ลิลินก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้าลิฟต์ที่พนักงานอีกคนเปิดรอ
ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเมื่อเห็นตัวเลขที่ขยับขึ้น ๆ สลับกับก้มมองนาฬิกาข้อมือ ที่จวนเที่ยงและถึงเวลาพัก
ใช่เธอมาสาย และเธอก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร แต่ที่หงุดหงิดคือ เธอไม่มีเวลามากที่จะสัมภาษณ์เลขาคนใหม่ เพราะอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีแฟนซีอีโอสายการบินเวลฟาย ก็จะมารับไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันแล้ว
“จะทันมั้ยเนี่ยพี่ติณห์จะมาแล้ว นี่! ฉันขอคำแนะนำหน่อย ฉันควรสัมภาษณ์เลขาก่อนหรือไปแต่งหน้าทาปากรอแฟนมารับไปกินข้าว อีกยี่สิบนาทีเองมันจะไม่ทันแล้วนะ”
พนักงานถือกระเป๋าไม่กล้าตอบ เพราะในใจเธออยากให้เจ้านายสัมภาษณ์เลขาที่ต้องรับหน้าที่ดูแลเธอให้เรียบร้อย จะได้ไม่วีนแตกหรือโวยวายทีหลัง
“คือ เอ่อ... ตามใจคุณลิลินเลยค่ะ”
“อีกแล้ว อะไร ๆ ก็ตามใจฉัน! เบื่อ!” ลิลินกอดอกบ่นพึมพำ ก่อนจะกระแทกปลายรองเท้าส้นสูงลงพื้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด
จนลิฟต์เปิด’ติ้ง’ เธอถึงก้าวขาสวย ๆ ของเธอนำออกมา พร้อมกับพนักงานทั้งชั้นที่ลุกขึ้นออกมายืนตามทางเดินเท้า
มันอาจจะดูโอเวอร์ แต่ต้องทำ! เพราะลิลินชอบทำตัวเหมือนเจ้าหญิงที่มีองค์รักษ์ไว้ชี้นิ้วสั่ง และนอกจากนั้นเธอก็ต้องการให้ทุกคนชื่นชมเธอด้วย
เช่นแบบนี้
“สวัสดีค่ะคุณลิลิน วันนี้สวยมากเลยค่ะ”
แบบนี้
“สวัสดีค่ะ วันนี้ร่าเริงจังเลยนะคะ”
และก็แบบนี้
“สวัสดีค่ะคุณลิลิน แฟนคุณติณห์นี่สวยจริง ๆ เลยนะคะ อิจฉาคุณติณห์จัง”
ลิลินหยุดชะงัก หันมองพนักงานที่ยกยอปอปั้นเธอทันที ก่อนที่จะกรีดนิ้วชี้จิ้มไปที่ไหล่มน ๆ ของพนักงาน และยิ้มหวานอย่างขวยเขิน
“อิอิ เธอพูดดีถูกใจฉัน ฉันชอบ”
“คุณลิลินคะ เหลืออีกสิบห้านาทีแล้วค่ะ” พนักงานถือกระเป๋าเตือนเบา ๆ จนลิลินหุบยิ้มและถอนหายใจเฮือก
โอเคค่อยว่ากัน เธอควรไปสัมภาษณ์เลขาคนใหม่ให้เป็นเรื่องเป็นราว จะได้ใช้หล่อนให้ทำงานแทนเวลาที่ร่อนไปหาผู้ชายข้างนอก
และขณะที่ลิลินเดินมุ่งไปที่ห้องทำงานนั้น เธอถึงหน้าห้องก็ต้องหยุดมองปลายฝน ที่กำลังลุกขึ้นฉีกยิ้มหวาน ๆ ให้กับเธอ
แต่ที่เธอหยุดไม่ใช่แค่สะดุดรอยยิ้ม เธอหยุดเพราะใบหน้าของว่าที่เลขานั้นสวยหวานต่างหาก แต่ก็นะ เรียบร้อยหวาน ๆ ไม่ใช่สเปกพี่ติณห์หรอก ให้ทำงานด้วยคงไม่มีปัญหา
“เธอเหรอ?ที่จะมาสัมภาษณ์งาน” ลิลินถามและเปรยตามองว่าที่เลขาหัวจรดเท้า จนปลายฝนยิ้มอีกครั้งและกอดแฟ้มไว้แนบอกไล่มองเจ้านายในอนาคตอย่างพินิจพิเคราะห์
ก่อนจะตอบอย่างจริงใจว่า
“ใช่ค่ะ ดิฉัน”
“ตามฉันมา”
“เอ่อ... ค่ะ ค่ะ”
และตอนนี้หญิงสาวที่เย่อหยิ่งราวกับนางพญา กับว่าที่เลขาเฉิ่มกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากัน แตกต่างแค่ลิลินเธอใช้ศอกค้ำโต๊ะท้าวคางเท่านั้น
และมองปลายฝนหัวจรดเท้า อย่างพินิจกับการแต่งตัวของเธอ
“หึ ว่างงานมาตลอด แถมไม่มีประสบการณ์สักอย่าง? ฉันควรพิจารณาเธอยังไงดี”
“ดิฉันเพิ่งจบค่ะ ก็เลยยังไม่มีประสบการณ์” ปลายฝนตอบตามตรง
“อืมก็ใช่ ว่าแต่เธออยากทำงานที่นี่เพราะอะไร? คิดว่าตัวเองมีความอดทนพอมั้ย? ที่จะทำงานกับฉัน”
ถามจบก็ฉีกยิ้มหวาน แต่เป็นยิ้มที่หวานซ่อนความร้ายกาจไว้ข้างใน เพราะหลักการรับเลขาส่วนตัวที่จะมาทำงานกับลิลินคนนี้ เธอต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความอดทนมาก ๆ ถึงมากที่สุด!
และที่สำคัญต้องทำงานด่วนแทนเธอได้ โดยที่คน ๆ นั้นเป็นคนที่ไม่มีพิษภัยหรือเล่ห์ร้ายกับเธอ เพราะถ้าใครคิดผิด ชีวิตก็ต้องจบ
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะลิลินเป็นลูกสาวมาเฟียสองตระกูล ที่สามารถสั่งฆ่าคนได้แค่ขยับริมฝีปากและปลายนิ้ว
“เพราะอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ ใช้ชีวิตไปก็เปล่าประโยชน์ จึงมาทำเล่น ๆ ค่ะ”
ปลายฝนตอบตามตรง เพราะเธอเองก็ไม่คาดหวังที่จะได้งานนี้อยู่แล้ว
“แสดงว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ ที่จะมาทำงานที่นี่จริง ๆ สินะ”
“ค่ะ แค่อยู่บ้านเบื่อ ๆ” ว่าที่เลขาตอบไม่อ้อมค้อมเอาซะเลย ก็เพราะเธอรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
จนลิลินได้ยิน ถึงกับกระตุกยิ้มที่มุมปากช้า ๆ
“เธอรู้เรื่องจิวเวลรี่ เพชร พลอยบ้างมั้ย?” ปลายฝนชะงักกับคำถามอยู่ครู่นึง เพราะเธอลืมไปเลย ว่าตัวเองกำลังสัมภาษณ์งานบริษัทจิวเวลรี่อยู่
เพราะเจ้านายดูเวอร์ เธอเลยเผลอคิดประชดว่าตัวเองมาสมัครงานกับบริษัทรักษาความปลอดภัย
“เอ่อ ไม่ทราบค่ะ”
“ดี งั้นพรุ่งนี้เริ่มงานได้”
เป็นการรับเลขาคนใหม่ที่ทำให้ผู้สมัครงุนงงอ้าปากค้าง และลิลินก็ไม่สนใจอาการอึ้งรับประทานของปลายฝนเลย
เพราะพูดจบเธอก็รีบกวาดทุกอย่างที่จำเป็นต่อความสวยความงามเธอใส่กระเป๋าสะพายทันที
ก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเร่งรีบ
สองมือปัดกระโปรง เอวบิดขึ้นสำรวจส่วนเว้าโค้ง ก่อนจะแขม่วพุงที่แทบจะไม่มีนั้น ฮึบ! เสียงดังต่อหน้าปลายฝน
“กรี๊ด! ฉันอ้วนอีกแล้ว!”
“เอ่อ... ไม่อ้วนนะคะ”
“อ้วนสิ ฉันกินเยอะทุกวันเพราะแฟนฉันเลี้ยงดี เอ้อฉันลืมถามเธออีกอย่าง เธอมีแฟนมั้ย? โอ้ย ๆ ทำยังไงดี ยังไม่ได้เข้าหอกับพี่ติณห์เลยลงพุงซะแล้ว!”
“เอ่อ... มีมั้งคะ” ปลายฝนตอบพลางมองว่าที่เจ้านายที่วุ่นวายกับเอวและสะโพกตัวเองไม่หยุด จนลิลินได้ยินแบบนั้น มือที่ลูบตามหน้าท้องก็ชะงัก และลอบเบะปากออกมาด้วยความหมั่นไส้
ปลายฝนเรียบร้อยซะขนาดนี้ แฟนหล่อนคงจะเชย ๆ สินะ
“ก็ดี แฟนเธอทำงานอะไรล่ะ”
“พี่เขาเป็นหมอค่ะ” เชย เชยมาก ๆ เป็นหมอคงเรียบร้อยแว่นหนาเตอะแนวเดียวกับปลายฝนนั่นแหละ
ลิลินเธอไม่ได้พูด แต่แค่คิดเองคนเดียว ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ ตอบเลขาคนใหม่ และเดินเร่งรีบดูนาฬิกาข้อมือออกไปโดยที่ไม่ล่ำลาปลายฝนสักคำ!
ส่วนคนที่นั่งอยู่ก็ยังงงอยู่อย่างงั้น งงว่าตัวเองได้ทำงานในบริษัทนี้แล้วจริง ๆ ใช่มั้ย!
เพราะมันช่างเป็นการสัมภาษณ์งานที่ไม่มีพิธีรีตองน่าเชื่อถือเอาซะเลย
จนหลังจากที่ลิลินทิ้งปลายฝนออกไป ไม่นานเวลานัดหมายทานมื้อเที่ยงกับแฟนหนุ่มของเธอก็มาถึง เพราะรถลัมโบร์กินีสีดำด้านคันนึง ได้ขับมาจอดเทียบกับหน้าประตูบริษัทของเธอแล้ว
เที่ยงตรง กับผู้ชายที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรย่างกรายลงมา
ติณห์ ติณห์ นี่แหละติณห์ เรียกสามครั้งกับความหล่อที่ไร้ที่ติจนใคร ๆ มิอาจเอื้อม ใบหน้าเรียวจมูกโด่งเป็นสัน ตาคมสวยที่ทำสาว ๆ ละลายภายในพริบตา
และช็อตนี้ใครก็ตายเรียบ เมื่อแฟนหนุ่มของลิลิน กระชับสูทติดกระดุมเดินยิ้มไปหาเจ้าของหัวใจเขา
“พี่ติณห์จะหล่อทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะคะ ลิลินหวง”
“หวง? ถ้าหวงก็เป็นของพี่สิครับ”