เมื่อลูกชายเดินออกไป หัวหน้าจ้าวจึงเอ่ยถึงลูกชายคนโตด้วยความไม่พอใจ “จ้าวเทียนซวี่ไปไหนของมัน ออกมาจากบ้านพร้อมกันไม่ใช่รึยังไง ผ่านมาสองชั่วโมงแล้วทำไมยังไม่ถึงบ้านอีก”
“เด็กคนนี้ฉันตามใจเพราะเห็นว่าไม่มีแม่คอยดูแล ใครจะคิดว่าเขาจะเหลวไหลไปเรื่อยแบบนี้ คุณพี่ไม่ต้องโกรธนะคะ เดี๋ยวเขาก็กลับมาแล้ว”
“ตามใจกันเข้าไป เสียคนไปหมดแล้ว ฉันจะพึ่งพาลูกชายคนโตได้ที่ไหนกัน มีแต่ต้องพึ่งเจ้าเล็กเท่านั้นแหละ เพราะเธอคนเดียวเลย”
“...”
ผู้เป็นภรรยาได้แต่ยิ้มประจบ เนื่องจากเธอเป็นภรรยาคนที่สองของหัวหน้าจ้าว เพราะภรรยาคนแรกของเขาตายหลังคลอดบุตรชาย นายท่านจ้าวเกลียดเด็กแต่ยังเก็บไว้เพื่อสืบเชื้อสายตระกูล
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดให้ใครมาแย่งสมบัติของลูกชาย และวางแผนทุกอย่างมานานแล้ว หากสามารถบีบให้มันตายได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ดังนั้นจึงมักทำทีเป็นแม่เลี้ยงใจดี แต่ล้วนมอบสิ่งที่ไม่ดีให้ลูกเลี้ยงคนนี้เสมอ โดยอ้างว่าเป็นการตามใจเพื่อชดเชยที่ไม่มีแม่
นานวันเข้าจ้าวเทียนซวี่ก็กลายเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ ไม่เอาการเอางาน เกียจคร้านวัน ๆ ไม่ทำอะไร เดินเที่ยวเล่นเป็นอย่างเดียว อีกทั้งยังปฏิเสธเด็ดขาดไม่ยอมทำงานกับผู้เป็นพ่อ นี่จึงทำให้หัวหน้าจ้าวแทบจะลอยแพเขาแล้ว
“พูดถึงก็โผล่หัวมาพอดี ปัญญาอ่อนรึยังไง ฝนตกหนักขนาดนั้นจะมัวอยู่ข้างนอกทำไม ทำไมไม่หาที่หลบฝน”
หัวหน้าจ้าวเหลือบไปเห็นบุตรชายคนโตเดินเข้ามาในบ้าน ก็หันไปด่าด้วยความไม่พอใจ เขาเกลียดในความโง่เขลาและดื้อรั้นที่มีอยู่ในตัวของคนตรงหน้า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นลูกชายของตนเอง จะฆ่าให้ตายก็ทำไม่ลงเหมือนกัน
“วัน ๆ แกมัวแต่ทำเรื่องไร้สาระอยู่นั่นล่ะ บอกจะหางาน ๆ ทำ ฉันก็ไม่เห็นแกทำอะไร ยุคสมัยนี้มีใครเขารับคนงานง่าย ๆ ใช่ว่าบอกจะหาก็หาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรตั้งใจไปเรียนที่ญี่ปุ่นตั้งแต่แรกสิ หาความเจริญก้าวหน้าอย่างน้องชายแกบ้าง” สุดท้ายหัวหน้าจ้าวก็เลือกที่จะเอาลูกชายคนที่สองมาเปรียบเปรยกับลูกคนนี้
“ผมไม่ชอบ” จ้าวเทียนซวี่กล่าวสั้น ๆ แต่นั่นกลับทำให้หัวหน้าจ้าวโมโหมากกว่าเดิม
“ดูสภาพแก ฉันปูทางให้อย่างดีแล้วแท้ๆ เพียงแค่ยอมรับโอกาสที่ฉันมอบให้มันยากนักรึยังไง เป็นตำรวจมันไม่ดีตรงไหน อาชีพที่มีเกียรติ มีอำนาจ คงมีแต่คนปัญญาอ่อนอย่างแกที่ไม่อยากจะเป็น”
“...” สายตาของเทียนซวี่แสดงความไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้ตอบโต้ออกมา เห็นดังนั้นหัวหน้าจ้าวก็เริ่มเข้าเรื่องที่ต้องการทันที
“ในเมื่อแกไม่เคยคิดจะทำอะไรเพื่อตระกูลเราเลยสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้แกก็จงทำมันเถอะ”
“พ่อต้องการให้ผมทำอะไรพูดมาเลยดีกว่า อย่ามัวแต่อ้อมค้อมเลย” เทียนซวี่เอ่ยถามตามตรง เพราะเบื่อที่พ่อของตนโย้กโย้ไปมา
“แกอยู่บ้านเฉย ๆ ให้พ่อกับแม่เลี้ยง ไม่ละอายใจบ้างเลยรึยังไง เลี้ยงแกเสียเงินเปล่าจริงๆ ไม่ได้เห็นดั่งใจเหมือนน้องชายสักนิด ทำไมแกไม่เกิดมาเป็นลูกคนเล็ก แล้วให้น้องเป็นพี่ไปเลยล่ะ!”
“เข้าเรื่องเถอะครับ” เทียนซวี่ย้ำอีกครั้งพร้อมกับมองผู้เป็นพ่อไม่หลบสายตา ทำให้หัวหน้าจ้าวหน้าดำคล้ำ ชี้นิ้วไปที่หน้าของลูกชายคนโตและพูดด้วยความโมโห
“ได้!! ในเมื่อแกไม่มีประโยชน์กับครอบครัว ถ้าอย่างนั้นก็จงทำตัวให้มีประโยชน์เสีย แกจงไปแต่งงานกับหลันถังแทนเจ้าเล็ก แล้วฉันจะถือว่าแกทำประโยชน์ให้ครอบครัวแล้วกัน”
“เรื่องนี้? ถ้าหลันถังเห็นด้วยที่จะเปลี่ยนเจ้าบ่าว ผมก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ” เทียนซวี่กล่าวอย่างเย็นชา แต่ก่อนที่พ่อกับแม่เลี้ยงจะได้ดีใจ เขาก็รีบพูดขึ้น
“แต่มีข้อแม้ คือผมต้องการตัดขาดจากครอบครัวจ้าวหลังจากแต่งงาน ผมและภรรยาไม่ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ตลอดชีวิต พ่อให้ลูกชายพ่อกตัญญูแทนไปเถอะ เพราะผมถือว่าผมแต่งงานแทนเขาเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่แล้ว ที่สำคัญนี่คือปัญหาที่พ่อก่อเอง ตอนแรกให้หลันถังมาหมั้นกับลูกชายคนเล็กของพ่อทั้งที่ทางนั้นไม่ได้ยินดีเลย”
“แก!” หัวหน้าจ้าวโกรธจนจะเป็นลม ได้ภรรยาช่วยประคองให้นั่งลง เขายกมือขึ้นกุมหัวแล้วพูดด้วยความเคร่งเครียด
“ตระกูลจ้าวดูแลคุ้มกะลาหัวแกมาตั้งแต่เล็กจนโต คิดหรือว่าออกไปแล้วยังจะมีคนเกรงใจแกอีก ต่อไปมีแต่จะโดนรังแกและดูหมิ่นเท่านั้น แกสร้างศัตรูไว้มากแค่ไหนกันล่ะ”
“เรื่องนั้นถึงยังไงผมก็ยังเป็นลูกชายพ่อ ถึงจะไม่ปกป้องแต่ก็คงไม่มีใครกล้าเล่นงานถึงตายไม่ใช่รึยังไง” เทียนซวี่ลอยหน้าลอยตาตอบ เพราะความจริงเป็นอย่างไรเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
แต่ทางด้านผู้เป็นพ่อนั้นไม่ใช่ เพราะนี่คือลูกชายคนโตที่เอาแต่ใจซึ่งหัวหน้าจ้าวชินชาไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงทำเพียงโบกมือด้วยความรำคาญ
“ไป ๆ ออกไปจากตระกูลของฉันทันทีที่แกแต่งงาน ไม่ต้องพาเจ้าสาวมาไหว้ฉันกับแม่แก นับแต่นี้แกกับตระกูลจ้าวตัดขาดกัน หลังจากแต่งงานหนึ่งวันฉันจะไปเอาชื่อแกออกจากตระกูล”
“คุณพี่คะ…” คุณนายจ้าวกล่าวค้านพอเป็นพิธี เห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรก็เงียบตามไปด้วย เนื่องจากนี่คือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดนั่นเอง
“เตรียมงานแต่งให้ดีล่ะ ผมกับเจ้าสาวยังต้องแต่งงานเป็นหน้าเป็นตาของบ้านจ้าวอยู่ตั้งหนึ่งวันเชียวนะครับ หรือพ่อต้องการให้ชาวบ้านรู้เรื่องราวทั้งหมดกันละ” ว่าแล้วก็หันหลังเดินจากไปอย่างไม่แยแสว่าบิดาจะโกรธแค่ไหนกับคำพูดของตัวเอง
จ้าวปิงฉือได้ยินว่าพ่อเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวเรียบร้อย วันพรุ่งนี้คนที่จะเข้าพิธีแต่งงานกับหลันถังที่เหลือแต่ตัวก็คือจ้าวเทียนซวี่คนไม่เอาไหนอย่างพี่ชายต่างมารดาของตนเอง เขายังนึกถึงความอัปยศที่เคยโดนกระทำโดยหญิงสาว จึงคิดไปเยาะเย้ยถากถาง ดังนั้นจึงออกจากบ้านและมุ่งตรงมายังบ้านหลันทันที
เมื่อมาถึงบ้านสกุลหลันที่ดูเงียบเหงาวังเวง เขาจึงเดินเข้ามาในบ้านอย่างถือวิสาสะ แม้กระทั่งเปิดประตูใหญ่เข้ามาในห้องโถง โดยไม่สนใจว่าเจ้าของบ้านจะต้อนรับหรือไม่
เมื่อเห็นหญิงสาวถักเปียสวมเสื้อผ้าถังจวงกับกางเกงขากว้างเหมือนชายหนุ่มก็นึกดูถูกในใจ ก่อนมองไปรอบห้องโถง เครื่องเรือนตกแต่งของเก่าแก่ที่เคยเห็นอยู่บ้าง
แต่ทว่าตอนนี้กลับหายไปหมดแล้ว คาดว่าคงโดนตำรวจชุดก่อนเอาไป หรือไม่ก็ขายกินไปแล้วแน่ ๆ ยิ่งรู้สึกได้ถึงความตกต่ำของหญิงสาวเขาก็แทบอยากจะหัวเราะออกมา
จ้าวปิงฉือเหยียดยิ้มและนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามโดยไม่สนใจว่าเจ้าบ้านจะต้อนรับหรือไม่ ด้านหลันถังเองก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ นับตั้งแต่เห็นว่าใครบุกเข้ามาในบ้านตนเอง
การกระทำของหลันถังไม่ต่างจากจ้าวปิงฉือเป็นเศษธุลี นี่จึงทำให้ชายหนุ่มไม่เอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“อย่าได้ใจให้มากนักหลันถัง เธอไม่มีวันได้แต่งงานกับฉัน”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยสายตาเฉยชา ขานรับออกมาจากลำคอ “อ้อ...เหรอ”
ยิ่งเห็นคำตอบของหลันถัง จ้าวปิงฉือจึงเอ่ยในสิ่งที่ต้องการออกมาเพื่อจะเยาะเย้ยหญิงสาวเจ้าของบ้าน “เธอ! ทำเป็นหยิ่งยโสไปก่อนเถอะ พ่อฉันเปลี่ยนเจ้าบ่าวเป็นจ้าวเทียนซวี่แทนแล้ว เธอต้องแต่งงานกับสามีไม่เอาไหน แทนที่จะเป็นตำรวจอนาคตไกลอย่างฉัน”
“แล้ว?” หลันถังเลิกคิ้วเป็นเชิงถามคล้ายกับเหมือนว่าเธอต้องสนใจเหรอ ในเมื่อไม่ว่าแต่งกับใครหากคนคนนั้นเป็นคนของตระกูลจ้าว เธอไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็นเหมือนกัน
“เหอะ ๆ ฉันจะคอยดูสิว่าเธอจะยังทำตัวสูงส่งได้อีกมั้ยหากต้องแต่งงานกับตัวขี้เกียจและไร้ประโยชน์แบบนั้น จ้าวเทียนซวี่เป็นคนไม่เอาไหน ไม่ทำงานทำการ กับหลันถังหญิงสาวที่ไม่เหลืออะไรเลยจะเอาชีวิตรอดกันยังไงนะ หึ หึ ถ้าทนไม่ไหวจริง ๆ เธอจะคลานเข่ามาเลียเท้าฉันเมื่อไหร่ก็ได้นะ ฉันจะรับเธอไว้เอง ฮ่า ๆ ๆ ”
จ้าวปิงฉือหัวเราะคล้ายกับพึงพอใจอย่างที่สุด เมื่อคิดว่าหลันถังต้องแต่งกับพี่ชายต่างมารดาที่ไม่เอาไหนของตนเอง แต่ทว่าสิ่งที่หลันถังตอบกลับมานั้นทำให้เขาต้องคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ
“สกปรก” หลันถังกล่าวออกมาหน้านิ่ง ไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่จ้าวปิงฉือกล่าวมา
ทันทีที่คิดตามคำพูดของหลันถังได้แล้ว และจ้าวปิงฉือเห็นว่าเธอไม่ได้ตกใจกับข่าวที่ได้รับเลยก็โมโห โยนหนังสือหมั้นหมายที่ถูกเปลี่ยนชื่อคู่หมั้นในนั้นไว้แล้ว สีหน้าของเขาจึงแสดงถึงความดูหมิ่นออกมา
“แล้วก็อย่าคิดว่าฉันจะเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ล่ะ เพราะว่าจ้าวเทียนซวี่ไม่ได้เป็นอะไรในบ้านสกุลจ้าวแล้ว เวลานี้สกุลจ้าวมีแค่ฉันที่เป็นนายน้อยเท่านั้น” พูดจบก็หันหลังเดินจากไปด้วยท่าทางเหนือกว่าทันที
หลันถังหยิบหนังสือหมั้นหมายขึ้นมาดูด้วยสีหน้าว่างเปล่า เธอมองชื่อที่ถูกเขียนในนั้นด้วยความเย็นชา
“ไม่ว่าจะเป็นจ้าวปิงฉือ หรือจ้าวเทียนซวี่ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากนัก จะแต่งกับใครก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลย” เธอเอ่ยขึ้นหลังจากที่อ่านชื่อว่าที่เจ้าบ่าวของตนเอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังอากาศตรงหน้า
หากมีคนผ่านมาเห็นคงคิดว่าหญิงสาวเหม่อลอย แต่แท้จริงแล้วหลันถังกำลังดูภาพวาดมิติที่อยู่ตรงหน้า นี่คือสิ่งที่สามารถช่วยให้เธอค่อย ๆ รวบรวมฐานอำนาจขึ้นมาได้ ย่อมต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดูแล้วหญิงสาวไม่ได้ใส่ใจงานแต่งที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ มากเท่ากับภาพวาดมิติตรงหน้าด้วยซ้ำ