หญิงสาวปวดหัวจนสลบไปเมื่อคืน หลังจากที่ตื่นขึ้นก็ได้รู้ว่าตนเองมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาพที่ลอยอยู่ตรงหน้า โดยไม่ต้องให้ผู้ใดมาอธิบาย
เมื่ออยากมองต้นท้อ ภาพก็เลื่อนเข้าหาต้นท้อและหมุนไปในมุมที่ต้องการทันที เผยให้เห็นรอยที่ถูกสลักเอาไว้ เป็นชื่อสกุลของปู่และย่าหลันซึ่งถูกสลักไว้ตั้งแต่พวกท่านยังเป็นหนุ่มสาว
แล้วข้าง ๆ กันเยื้องลงมานิดหน่อย เป็นชื่อพ่อแม่ของหลันถังเอง และชื่อของเธอสลักเอาไว้เพียงแต่ที่ข้าง ๆ ยังว่างเปล่า น่าจะเผื่อเอาไว้สลักชื่อสามีของเธอต่อไป
หญิงสาวเลิกสนใจต้นท้อเพราะรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย จากความรู้เกี่ยวกับภาพมิติที่ได้รับมา หากใช้พลังจิตมากเกินไปก็จะเหนื่อยขึ้นมาเหมือนกับการออกแรงด้วยร่างกายเลย จะใช้อย่างต่อเนื่องไม่ได้
“มิติจริงๆ มันคือภาพวาดมิติ ที่สามารถนำพืชเข้าไปปลูกได้ สวรรค์เมตตาต่อฉัน หรือเพียงแค่สมเพชเด็กกำพร้าบ้านแตกสาแหรกขาดคนนี้กันแน่” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเพื่อพูดกับสวรรค์ หากสวรรค์มีจริงนะ
“แล้วเหตุใดจึงส่งสิ่งนี้มาช้านัก หากมาเร็วกว่านี้ทั้งพ่อแม่ ปู่…ทุกคนควรจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแท้ ๆ”
หลันถังเริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อนึกถึงตรงนี้ ถ้ามิตินี้มาก่อนทุกคนในครอบครัวอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ เสียงร้องไห้ของเธอดังขึ้นหากมีคนมาได้ยินคงอดปวดใจกับหญิงสาวไม่ได้
เธอเพิ่งอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้นเอง ยังเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่กลับต้องสูญเสียญาติสนิททุกคนในครอบครัว และต้องอยู่ลำพังด้วยตัวคนเดียวให้ได้ ท่ามกลางยุคแห่งความวุ่นวายเกิดสงครามกลางเมืองไปได้ทุกหนแห่งและตลอดเวลา
หากบอกว่าไม่กลัวก็คงจะแปลกเกินไป หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่เคยมีพ่อแม่คอยดูแล มีปู่ให้พึ่งพิง แต่ต้องมาใช้ชีวิตเพียงลำพังจะไม่กลัวได้อย่างไร
เธอได้เรียนรู้แล้วว่า คนด้านนอกนั้นไม่มีใครเชื่อได้ ทุกสิ่งนอกบ้านล้วนแล้วแต่น่ากลัว แล้วคนที่มีความเชื่อแบบนี้จะอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้อย่างไร?
โครก~
เสียงท้องร้องเรียกความสนใจของหญิงสาวกลับมาที่ร่างกายตนเอง ความแสบในช่องท้องทำให้เธอถอนหายใจออกมา ยกมือลูบมันเบา ๆ
“ดูเหมือนยังมีสิ่งนี้ที่ฉันต้องดูแลต่อไป” หลันถังพึมพำกับตัวเอง
นี่คือร่างกายตัวเองที่บิดามารดาให้มา เธอจะดูแลมันอย่างดี และเฝ้าคอยหาโอกาส สักวันหนึ่งย่อมมีทางให้เอาคืนคนเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็เปิดดูมิติเพราะจำได้ว่ามีผลท้อสีทองอยู่สองลูกที่สุกพร้อมกินแล้ว เพียงแค่คิดว่าน่ากิน ผลท้อทั้งสองก็หายไปและปรากฏขึ้นในมือทันที ทำให้หญิงสาวอ้าปากเหวอ แม้รู้ว่ามิติภาพวาดมีความสามารถเช่นนี้ แต่ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี
“อืม…ผลท้ออร่อยมาก”
หญิงสาวหลับตาพริ้ม ดื่มด่ำกับรสชาติหวานฉ่ำของผลท้อสีทองที่ละลายในปาก น้ำของผลท้อไหลรินอาบแก้มใบหน้าของหลันถังเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข ราวกับว่าความหวานของผลท้อได้เยียวยาหัวใจอันบอบช้ำของเธอ ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นและมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง
เธอกินจนกระทั่งอิ่มพอมีแรงแล้ว ก็จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างกับสภาพความเป็นอยู่เสียก่อน
อย่างน้อย ๆ ก็…ก่อนที่จะต้องจำใจแต่งงานออกไปกับตระกูลของศัตรู
หลันถังเดินลงไปในครัว ชะโงกหน้ามองไหใส่ข้าวสารพบว่ามันหมดเกลี้ยง แม้กระทั่งกระสอบข้าวในบ้านก็หายไปจนหมด คงมีเหลือเพียงข้าวเปลือกที่ยังไม่ได้สี ซึ่งชาวบ้านใจดีที่เคยทำนาในที่ดินของปู่แบ่งมาให้หลายกระสอบ และมีข้าวอยู่หลายชนิดแตกต่างกัน
เธอมองพวกมันอย่างจนใจ เพราะรู้ดีว่าพวกตำรวจเอาข้าวในบ้านเธอไปหมดแล้วในวันที่มาก่อเรื่อง ดังนั้นจึงคิดว่าถ้าเอาผลท้อออกมาได้ ก็คงเอาของเข้าไปได้เหมือนกัน ก่อนเก็บข้าวทั้งหมดเข้าไปในมิติเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครบุกมาเอาสิ่งใดในบ้านไปอีก หญิงสาวจึงเดินไปทั่วและกวาดทุกสิ่งลงในมิติภาพวาดทั้งหมด
เนื่องจากเวลานี้เธอเป็นหลานสาวคนสุดท้ายของสกุลหลันแล้ว หากว่าเธอตายไปก็ไม่มีใครสามารถเอาอะไรของสกุลหลันไปได้แม้แต่อย่างเดียว และนั่นคือสิ่งที่เธอต้องการเช่นกัน แม้ว่าข้าวเปลือกสักเม็ด เธอก็ไม่ต้องการให้คนชั่วพวกนั้นได้ไปอีก
ขณะที่คิดจู่ ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็บอกให้เข้าไปในมิติ เมื่อเข้ามาทันใดนั้นภาพประหลาดก็ปรากฏให้เห็น ตอนนี้มีร่างบางเบาสองร่างกำลังช่วยกันทำนาอย่างขยันขันแข็ง
“นาเหรอ” ตอนแรกยังไม่มีแปลงนา เผลอเพียงไม่นานทำไมถึงมีแปลงนาแล้วละ
คิดอย่างนั้นหลันถังก็เฝ้ามองภาพวาดนั้นอยู่นิ่ง ๆ จากมุมสูง ไม่นานก็พบว่ามีอีกสิ่งผิดปกติ นั่นคือข้าวในนาเติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป
นอกจากนี้สิ่งที่เหมือนมนุษย์ที่ลอยได้ทั้งสองนั้นก็หันไปทางด้านหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกขอบเขตที่หญิงสาวมองเห็น ไม่นานพวกเขาก็กลับมาพร้อมกับท่อนไม้ ก่อนเริ่มลงมือสร้างกระท่อมเล็กๆ สองหลัง
สองร่างนั้นยังคงลอยไปที่นาข้าว โบกมือเบา ๆ เก็บเกี่ยวข้าวเป็นเม็ดสวย ทั้งแบบข้าวสารและข้าวเปลือก เอาไปไว้ในกระท่อมทั้งสองแยกออกจากกัน
“เดี๋ยว ๆ ก่อน ช่วยปลูกข้าวทุกชนิดเลยได้ไหม” หลันถังลองพูดออกมา ทั้งสองร่างนั้นชะงักไปก่อนจะเริ่มขยับตัวอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาแบ่งแปลงนาเป็นหลายแปลง นับดูแล้วมีจำนวนเท่ากับเมล็ดพันธุ์ที่ชาวนานำมาให้
“ดูเหมือนทั้งสองจะทำตามที่เราต้องการจริง ๆ ข้าวอย่างแรกที่ปลูกยังเป็นข้าวสวย” หลันถังครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าอยากได้ข้าวสารมากรอกหม้อและกำลังหาวิธีที่จะกะเทาะเปลือกข้าวแม้ต้องใช้วิธีโบราณ
ใครจะคิดว่าเพียงแค่คิดแบบนั้นจะได้รับข้าวสารมาจริง ๆ แต่มาจากการเพาะปลูกในมิติเสียอย่างนั้น
"ทำ…อึ่ก” หญิงสาวพบว่าตนเองเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาจึงนั่งลงพัก และเห็นว่าวิญญาณทั้งสองเองก็หยุดนิ่งไป
ดูเหมือนการทำงานของวิญญาณนั้นจะเกี่ยวข้องกับพลังจิตที่ใช้ไปของเธอเหมือนกัน คงไม่สามารถปลูกข้าวเยอะ ๆ ได้ในเวลารวดเร็วอย่างที่คิด
แต่ความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับมิติภาพวาด ยังมีส่วนที่แนะนำวิธีการฝึกฝนให้พลังจิตแข็งแกร่งขึ้น หากฝึกทุกวันย่อมทำงานได้มากขึ้นแน่นอน
เพียงคิดถึงข้าวจำนวนมหาศาลหลันถังก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เนื่องจากยุคสมัยนี้มีสงครามกลางเมืองดั่งไฟลนก้น สิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุดแน่นอนว่าย่อมเป็นอาหาร หากสามารถหาเสบียงได้มาก ย่อมไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอำนาจอีกต่อไป
อำนาจขึ้นอยู่กับเสบียงไม่ใช่ทหาร แม้มีทหารนับล้านคน แต่หากไม่มีเสบียงทหารก็ไม่มีแรงทำสงคราม
คิดได้เช่นนั้นหลันถังก็เดินลงไปหุงข้าวกินอย่างอารมณ์ดี พอเดินออกไปนอกเรือน ก็เห็นลูกแมวน้อยตามกลิ่นข้าวออกมาจากกำแพงหลังบ้าน ก็เดินไปหยิบชาม ตักข้าวขาวหอม ๆ ใส่ชามให้พวกมันกินได้เต็มที่
“กินเถอะเจ้าแมวน้อย เลี้ยงพวกแกเชื่องกว่าเลี้ยงมนุษย์เยอะ เพราะจิตใจของมนุษย์นั้นซับซ้อนยิ่งนัก”
หลันถังนั่งมองภาพแมวน้อยกินอาหารด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่ายังคงมีความเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตา
ส่วนทางบ้านสกุลจ้าวเองก็มีหลายคนที่ร้อนใจเมื่องานแต่งใกล้เข้ามาทุกที โดยเฉพาะคู่หมั้นหนุ่มที่ไม่อยากได้หญิงสาวสกปรกคนนั้นมาเป็นภรรยา เมื่อกลับมาถึงบ้านก็รีบเข้าไปเอ่ยปากขอร้องผู้เป็นมารดาทันที
“แม่ ผมไม่แต่งจริงงานกับนังบ้านั่นนะ แต่งไม่ได้จริง ๆ แม่ก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นหยาบกระด้างแค่ไหน” ตอนเด็ก ๆ เคยมีแววสวยงามก็จริง แต่ผู้หญิงในเมืองหลวงมีหญิงสาวที่สวยงามและน่ามองกว่านั้นอีกมาก ตอนนี้เขายังติดหญิงสาวบ้านสกุลสืออยู่ ต้องการได้อีกฝ่ายมาเป็นภรรยา
“คุณพี่คะ เรื่องนี้ไม่เหมาะจริงๆ ถ้าตระกูลหลันมีสมบัติซ่อนอยู่จริง ก็คงจะโดนฝ่ายของนายท่านหานยึดไปนานแล้ว แต่นี่กลับไม่มีข่าวใดออกมาเลย แปลว่าที่เรายึดมาก็คงหมดคลังตระกูลหลันแล้วจริงๆ”
สินทรัพย์ที่ยึดมาจากคนทรยศส่วนหนึ่งจะตกอยู่กับตระกูลทหารที่ทำการเข้ายึด หัวหน้าจ้าวไม่ใช่คนดีอะไรเขายังเก็บสมบัติของสกุลหลันไว้กับตัวมากมายกว่าที่แจ้งกับทางการ
“นั่นสิครับพ่อ ถ้าพวกนั้นมีสมบัติเหลืออยู่ซ่อนเอาไว้จริง ๆ คงพยายามหาทางหนีออกไปต่างประเทศนานแล้ว หรืออย่างน้อยก็คงลงใต้ ที่ที่พวกนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง”
“ต่อไม่ถูกต้องจริง ๆ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดให้แกแต่งงานกับหลันถังอยู่แล้ว เลิกวุ่นวายแล้วไปทำหน้าที่ตัวเองให้ดีเสีย อย่ามัวแต่บ้าผู้หญิง!”
หัวหน้าจ้าวดุลูกชายคนเล็ก ทำให้เขาก้มหัวลงรีบลุกออกไปทำงานโดยไม่ต้องให้พ่อพูดอีก